องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 803 ความต้องการที่จะควบคุมขององค์ชาย
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของนาง บุตรแห่งราชานรกก็ชะงักไปทั้งที่ยังกางกรงเล็บอยู่ ”แม่นาง เจ้ากำลังแสดงความรักกับสามีต่อหน้าข้าหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สนใจเด็กชาย สายตาของนางจับจ้องอยู่ที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงคนเดียว
ในฐานะประธานจอมเผด็จการและเจ้าแม่ค้าอาวุธที่มีร้านขายอาวุธเป็นของตัวเอง นางย่อมมีความเชี่ยวชาญในการหยอดคำหวานได้แม้แต่ในเวลาคับขัน มีแต่เพียงวิธีนี้เท่านั้นที่นางจะสามารถทำให้คนสำคัญของนางประทับใจได้
เมื่อองค์ชายละลายอยู่ในอ้อมกอดเพื่อให้ข้าปลอบ ข้าก็จะบอกเขาอย่างหล่อเหลาว่าศัตรูหัวใจอะไรนั่นมันไม่มีอยู่จริง!
แต่นางคาดไม่ถึงว่าผู้ชายคนนี้จะทำเพียงเหลือบมองนางแค่แวบเดียว ก่อนจะเยาะขึ้นว่า ”ก็แน่อยู่แล้วมิใช่หรือ นอกจากข้าแล้วเจ้าจะตกหลุมรักใครได้อีกหรือ”
จากนั้น… เขาก็หันกลับไปจัดการกับปีศาจที่เหลือ!
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …ทำไมข้าถึงรู้สึกอยากหย่ากับเขาทุกครั้งที่พูดเช่นนี้ล่ะ
แต่องค์ชายกลับทำตัวต่างไปจากปกติ เพราะเขากลับเลือกไว้ชีวิตปีศาจจำนวนหนึ่งอย่างเหนือความคาดหมายหลังจากต่อยตีพวกมันไปเพียงไม่กี่ครั้ง จากนั้นเขาจึงหันกลับมามองเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วเอ่ยว่า ”มานี่สิ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยที่กำลังท้องอยู่ไม่อยากทำให้เรื่องเล็กกลายเป็นเรื่องใหญ่ ถ้าองค์ชายไม่พอใจ นางอาจจะไม่สามารถนำความทรงจำของตัวเองกลับมาได้
หลังจากชั่งน้ำหนักในใจเป็นที่เรียบร้อย นางจึงคิดว่าการเชื่อฟังองค์ชายและเดินเข้าไปหาเขาน่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า
แต่ก่อนที่นางจะทันได้เดินไปถึงตัวเขา ชายหนุ่มก็คว้าข้อมือของนางแล้วกระชากนางเข้าสู่อ้อมแขนอย่างแรง!
นางสูดหายใจเข้า และถูกกลิ่นของชายหนุ่มถาโถมเข้าใส่ทันทีกลิ่นนั้นเป็นกลิ่นของปีศาจ กลิ่นกายของเขาหอมราวกับดอกไม้งามที่บานสะพรั่งอยู่ในนรก และเป็นกลิ่นที่สามารถสะกดให้ทุกคนลุ่มหลงได้
ชายหนุ่มไม่เคยเป็นฝ่ายเดินเข้ามาหานางแม้กระทั่งตอนที่อยากกอดนางไว้ในอ้อมแขน
เขาจะเรียกนางเข้าไปหาทุกครั้ง
เขามักเป็นฝ่ายควบคุมอยู่เสมอ
เขานี่มันจริงๆ เลย…. ฮึ่ม!
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม แล้วถูใบหน้าของตัวเองเข้ากับอกของชายหนุ่ม ”ข้ามั่นใจว่าท่านเองก็คงไม่อยากให้ใครชิงพลังธรรมะของข้าไปเหมือนกัน”
“ดอกบัวเหม็นๆ ดอกนั้นคิดจะแตะต้องเจ้าหรือ” รอยยิ้มรังเกียจวาดขึ้นบนริมฝีปากสวยของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดกับตัวเองว่า อย่างไรนางก็เป็นถึงดอกบัวทองคำที่อยู่หน้าประตูของพระอรหันต์เชียวนะ องค์ชายคิดว่านางไร้ค่าได้อย่างไร
“ข้าอนุญาตให้เจ้าเอาความทรงจำกลับมาก็ได้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระซิบใส่หูนางด้วยน้ำเสียงอันไพเราะ ”แต่ฟังให้ดี เจ้าต้องเป็นของข้าคนเดียวตลอดไป ถ้าเจ้าคิดจะไปจากข้า ข้าจะจับเจ้าขังไว้ในแดนปีศาจ จากนั้น เจ้าจะไม่มีวันได้ก้าวออกมาจากห้องอีกตลอดชีวิต”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ”ท่านคิดว่าชาติก่อนข้าไม่เคยสนใจท่านหรือ”
“อย่าพูดอะไรยั่วโมโหข้า” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก้มหน้าลงกัดคอนาง พร้อมกับใช้ดวงตาสีแดงชั่วร้ายนั้นจ้องมองนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยหอมแก้มชายหนุ่มรูปงามตรงหน้าโดยไม่สนใจว่าจะมีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นมองพวกนางอยู่ นางยิ้มอย่างเขินๆ ก่อนจะเอ่ยว่า ”ไม่ว่าก่อนหน้านี้ท่านจะเคยทำอะไรกับข้า ข้าก็จะยังรักท่านเสมอ เหมือนอย่างที่ข้ารักท่านในตอนนี้”
“ข้าจะทำอะไรกับเจ้าหรือ นอกจากทำให้เจ้าร้องขอความเมตตาตอนที่อยู่บนเตียงแล้ว ข้าเคยทำอย่างอื่นด้วยรึ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะทันทีที่เอ่ยคำพูดน่าหวาดเสียวนั้นจบ นิ้วที่ลากไปตามแนวกระดูกสันหลังของนางเพิ่มความรุนแรงมากขึ้น
อ้อมกอดนี้เต็มไปด้วยกลิ่นสนิมจากหยดเลือด แต่นางกลับรู้สึกปลอดภัยภายในอ้อมกอดของเขา
เฮ่อเหลียนเวยเวยเมินคำถามของเขาไปโดยไม่รู้ตัว นางเปลี่ยนประเด็นพร้อมกับแก้มที่เริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดง ”เรารีบมุ่งหน้าไปที่เมืองเพื่อตามหากระจกวิเศษบานกันเถิด”
“เดี๋ยว” บุตรแห่งราชานรกเดินเตาะแตะเข้ามาพร้อมกับขวานในมือ ”ข้ารู้ว่าพวกเจ้าสองคนมีความสามารถมาก แต่ครั้งนี้ พอเข้าเมืองไปแล้วเจ้าต้องไม่ใช้พลังวิญญาณหรือพลังปีศาจของตัวเองเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นศัตรูจะสามารถระบุตำแหน่งของพวกเจ้าได้ทันที เจ้าควรหาทางร่วมมือกับคนในเมืองแล้วเข้าเมืองด้วยการปลอมตัวเป็นคนธรรมดา”
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า ”เช่นนั้นเราขโมยกระจกวิเศษมาเลยจะไม่เร็วกว่าหรือ”
“แม่นาง ข้าบอกเจ้าแล้วมิใช่หรือว่าพระชายาจะต้องผ่านนรกก่อนจึงจะเกิดใหม่ได้ เจ้าคิดว่าเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายเป็นสถานที่แบบไหน มันเป็นที่ที่มีฝูงปีศาจและวิญญาณนับร้อยเดินกันให้ทั่วในยามค่ำคืน มันดึงดูดปราณแห่งความเคียดแค้นจากฟ้าดิน อีกทั้งยังสามารถสร้างผลกระทบให้กับยมโลกได้อีกด้วย ตอนนี้เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไม่ได้เป็นเมืองของโลกมนุษย์อีกต่อไปแล้ว จำนวนปีศาจที่มุ่งหน้าเข้าไปในเมืองกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่ร้ายกว่านั้นคือการที่ปีศาจที่ว่านี้ไม่ได้ไปที่นั่นเพื่อทำร้ายหรือกินมนุษย์ ทันทีที่เส้นทางแห่งการเกิดใหม่กลับตาลปัตร เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจะกลายเป็นประตูสู่ยมโลกแห่งใหม่ จากนั้นปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนจะหนีออกมาจากใต้ดิน พวกมันไปที่นั่นเพื่อเฉลิมฉลอง และเพื่อหยุดยั้งไม่ให้มนุษย์คนใดสามารถเข้าไปในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายได้ในระหว่างนั้น จะได้ไม่มีใครไปรบกวนงานเลี้ยงที่พวกมันรอคอยมากว่าพันปีได้” บุตรแห่งราชานรกเงยหน้าขึ้นมองไปทางเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก คิ้วของเขายิ่งขมวดแน่นเข้าหากัน ”นอกจากนั้น ภายในเมืองก็ยังมีกลิ่นอายของสัตว์อสูรอยู่อีกด้วย ภารกิจนี้นับว่าไม่ง่ายเลย”
“ถ้าอย่างนั้น เราก็ต้องให้ใครสักคนช่วยดึงดูดความสนใจให้” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกยิ้มขณะวางแผนการอย่างรวดเร็ว เขาหมุนตัวกลับไป แล้วเอ่ยเสียงดังกับพื้นที่อันว่างเปล่าตรงหน้าว่า ”ออกมา!”
เสียงมังกรคำรามทำเอาบรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายหูแทบหนวก!
เมื่อพวกเขาหันกลับไป เมฆก็ปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า และสายลมก็เริ่มพัดอย่างรุนแรง
มังกรสีน้ำเงินขนาดยักษ์เริ่มปรากฏตัวขึ้นเหนือร่างของชายคนนั้น
ทางซ้ายมือของเขามีกิเลนจากยุคบรรพกาลที่สามารถอัญเชิญเปลวไฟแห่งนรกออกมาได้ยืนอยู่ข้างๆ
จูเก่ออวิ๋นกลืนน้ำลายด้วยความประหม่าเพราะเขาไม่ได้ยินคำพูดทั้งหมดของเฮ่อเหลียนเวยเวย ไม่มีใครสามารถเชื่อมโยงนางเข้ากับพระชายาได้
แต่ความสัมพันธ์อันแปลกประหลาดนี้ก็เพียงพอแล้วที่จะท้าทายความเชื่อของเขา
ในเวลานี้ สัตว์ศักดิ์สิทธิ์บรรพกาลที่ทรงพลังที่สุดทั้งสองตัวมาปรากฏตัวขึ้นที่นี่ตามคำสั่งของเขา!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายที่เหลือจ้องมองดวงตาและหนวดของมังกรยักษ์ด้วยความตกใจ พวกเขาพลันนึกถึงข้อความที่บันทึกอยู่ในตำราสำหรับผู้ขับไล่วิญญาณร้ายขึ้นมาได้ ว่ากันว่าเวลานั้นเป็นยุคที่ปีศาจยังออกอาละวาด และยังเป็นยุคสมัยแห่งความรุ่งโรจน์ของตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอันยิ่งใหญ่อีกด้วย
ในเวลานั้น โลกมนุษย์และแดนปีศาจตกอยู่ภายใต้การปกครองของราชาปีศาจผู้ยิ่งใหญ่
เพื่อทำให้โลกมนุษย์ปลอดจากการรุกรานของปีศาจ ตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายจึงตกลงใช้ผนึกขับไล่ปีศาจร้ายทั้งสามสิบแปดชิ้นตามคำสั่งของเทพองค์หนึ่งด้วยหวังว่ามันจะสามารถผนึกราชาที่ปกครองโลกทั้งใบเอาไว้ได้
ตำนานกล่าวว่าสี่สัตว์ศักดิ์สิทธิ์จะรับใช้อยู่ข้างกายของชายคนนั้น
หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ… เขาเป็นราชาที่สามารถออกคำสั่งกับปีศาจทุกตนบนโลกได้อย่างนั้นหรือ
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย กล้ามเนื้อบนใบหน้าของพวกเขาแข็งเกร็งยิ่งกว่าเมื่อก่อน พวกเขาตกตะลึงจนพูดไม่ออก
แม้แต่จูเก่ออวิ๋นก็นึกไม่ถึงว่าอีกฝ่ายจะมีสถานะนี้ กระบี่ไม้ท้อในมือของเขาร่วงลงกับพื้นจนเกิดเป็นเสียงดังเคร้ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเหลือบมองเขาและอ่านเขาออกในทันที นางถามเขาด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า ”ทำไม ฐานะของพี่เจวี๋ยยากจะรับได้หรือ”
“ก็ไม่เชิงขอรับ” จูเก่ออวิ๋นเกาศีรษะ ”ข้าคิดมาตลอดว่าเรื่องพวกนี้เป็นแค่เรื่องแต่ง และไม่เคยคิดมาก่อนขอรับว่าข้าจะได้มาพบกับตัวเอกที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ ไม่สิ ข้าหมายความว่า เขาไม่ได้สิ้นใจอยู่ใต้ผนึกขับไล่ปีศาจร้ายหรือขอรับ เขาฟื้นคืนชีพกลับมาได้อย่างไร”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ตอนแรกกำลังง่วนอยู่กับการมอบหมายภารกิจให้กับชิงหลงและกิเลนอัคคีบังเอิญได้ยินจูเก่ออวิ๋นเข้า เขากระตุกยิ้มออกมาทันที ”พวกเขาคิดว่ายันต์เล็กๆ สามสิบแปดแผ่นจะเอาชีวิตข้าได้หรือ มนุษย์ช่างโง่เขลาเสียไม่มี”
ผนึกขับไล่ปีศาจร้ายเป็นเพียงยันต์แผ่นเล็กๆ สำหรับเขาหรือ
จูเก่ออวิ๋นรู้สึกว่าอาชีพของตัวเองถูกดูถูกอย่างรุนแรง
แต่ในขณะเดียวกัน ความรู้สึกอับอายนั้นก็มาพร้อมกับความหวาดกลัว
ตอนนั้นเองผู้ขับไล่วิญญาณร้ายทุกคนจึงเพิ่งตระหนักได้ว่าชายที่ยืนอยู่ตรงหน้าพวกเขาไม่ใช่มนุษย์หรือปีศาจธรรมดา
การมีอยู่ของเขาเป็นตำนาน!
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอดมองไปที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้
ถ้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นชายคนนั้น แล้วผู้หญิงคนนี้ล่ะจะเป็นใคร?