องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 810 ใครกันแน่ที่มั่นใจในตัวเองเกินไป
เดิมทีเฮ่อเหลียนเวยเวยคิดว่ากระจกวิเศษบานนั้นน่าจะถูกเก็บไว้ในห้องประชุม เพราะสถานที่ที่อันตรายที่สุดมักจะเป็นที่ที่ปลอดภัยที่สุด
ห้องประชุมคือที่ที่ดีที่สุดในตระกูลหนีสำหรับเก็บสิ่งนั้น
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับกำลังขมวดคิ้วอยู่ในขณะนี้ เพราะนางหามันไม่พบ แม้จะค้นทั่วห้องแล้วก็ตาม ”หรือว่ามันไม่ได้อยู่ที่นี่”
ถ้าไม่อยู่ที่นี่ แล้วจะอยู่ที่ไหน
”มันอยู่ที่นี่” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือออกไปคว้านางไว้จากทางด้านหลังพร้อมด้วยรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้า ”มันเพียงแค่ไม่ได้อยู่เหนือพื้นดินเท่านั้น”
เฮ่อเหลียนเวยเวยถอยออกมาเพื่อให้มีพื้นที่ว่าง แล้วมองพื้นโดยไม่รู้ตัว ”ที่นี่ไม่มีห้องลับ”
”ยมโลก” น้ำเสียงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยแฝงไปด้วยการเสียดสี ”ที่ใต้จวนแห่งนี้เป็นประตูจากแดนมนุษย์สู่ยมโลก เจ้าต้นโพธิ์เน่านั่นจะต้องเอากระจกวิเศษไปไว้ในยมโลก และรอให้แสงแห่งพระพุทธคุณสาดส่องลงมาที่มัน ถึงความคิดนี้จะโง่เขลา แต่เมื่อของสิ่งนั้นอยู่ในนรก การหามันให้พบย่อมเป็นเรื่องยากทีเดียว”
”เช่นนั้น เราจะไปนรกกันหรือ” นางหัวเราะออกมาเล็กน้อยเมื่อนึกถึงคำที่องค์ชายใช้อธิบายทั้งสอง ดูเหมือนเขาจะสนใจเรื่องนี้จริงจังมากทีเดียว เพราะเขาเอาแต่เรียกทั้งสองว่า ’ดอกบัวเน่า’ กับ ’ต้นโพธิ์เน่า’ ไม่หยุด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยชำเลืองมองนาง พร้อมกับยื่นมือออกไปเชยคางนางขึ้น ”เจ้าหัวเราะอะไร”
”ไม่มีอะไร ไปกันเถอะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยจับมือเขา นางรู้ดีว่าในเวลานี้นางควรทำตามใจเขา
จากที่บุตรแห่งราชานรกบอก ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในปัจจุบันนั้นอาจจะแข็งแกร่งยิ่งกว่าสมัยที่เขาเป็นราชาปีศาจเสียอีก
ซึ่งนั่นรวมถึงความต้องการที่จะควบคุมของเขาด้วย
วิธีแสดงความรักขององค์ชายนั้นมักจะแตกต่างออกไปจากผู้อื่นเสมอ
นี่มันจริงๆ เลย…
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่รู้จะรับมือกับชายคนนี้อย่างไร ดังนั้นทางเดียวที่นางทำได้จึงเป็นการจับมือเขาเอาไว้เพื่อป้องกันไม่ให้เขาคิดอะไรแผลงๆ ขึ้นมาอีก
”ก็ดี” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดูจะอารมณ์ดีขึ้นจากการกระทำนั้น เขาฉีกยิ้มกว้าง ”ข้าไม่ได้ไปยมโลกมานานแล้ว ปีศาจที่อยู่ที่นั่นตัวใหญ่กว่าที่นี่ และมีจำนวนมากกว่าอีกด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : … น้ำเสียงตื่นเต้นนี่มันอะไรกัน
ในไม่ช้า เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ได้ค้นพบว่าองค์ชายตื่นเต้นเรื่องอะไร
ยมโลกแตกต่างจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยจินตนาการเอาไว้
นางคิดว่ามันจะเต็มไปด้วยความมืดอันไร้ที่สิ้นสุด
แต่มันกลับดูงดงามออกไปอีกแบบ ทะเลทรายไร้ขอบเขตปรากฏขึ้นในความมืดนั้น มีวัตถุทรงกระบอกสีขาวบริสุทธิ์ตั้งอยู่ท่ามกลางสายหมอก พวกมันดูเคร่งขรึมและสง่างาม แต่ก็ดูเยือกเย็นและอ้างว้างขณะเม็ดทรายกำลังเต้นรำอยู่ในกลุ่มควัน ทุกสิ่งทุกอย่างล้วนแต่เต็มไปด้วยความศักดิ์สิทธิ์
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่ตรงนั้นพร้อมกับเสื้อคลุมสีดำตัวยาวบนไหล่ สายลมหวีดหวิวเริงระบำราวกับปีศาจ พวกมันพัดผ่านความเจริญรุ่งเรืองอันอ้างว้างและทำให้เสื้อคลุมของเขาปลิวขึ้นไปในอากาศ
ที่ด้านหลังของเขา ตะวันกำลังจะลับขอบฟ้า
ในเวลานั้น โลกทั้งใบราวกับถูกย้อมเป็นสีเลือด
มันเป็นเวลาทองตอนตะวันกำลังลับฟ้า!
วิหารแห่งนี้เงียบสงบและดูเหมือนจะมีประวัติศาสตร์ยาวนานนับพันปี มันสูงตระหง่านอยู่เหนือพวกเขาราวกับก้อนเมฆ และดูยิ่งใหญ่อลังการอย่างมาก
ดอกปี่อั้นบริเวณทางเข้าวิหารบานสะพรั่งเป็นสีแดงราวกับเปลวเพลิงบนฟากฟ้า
เสาแกะสลักขนาดยักษ์มีร่องรอยแห่งสงครามและร่องรอยจากใยแมงมุมถักทอไปจนสุดสายตา พวกมันทอดยาวไปจนถึงประตูเหล็กก่อนจะถูกแทนที่ด้วยรูปปั้นหินขนาดใหญ่สองรูป รูปปั้นทั้งสองงดงามราวกับเทพเจ้า
เฮ่อเหลียนไม่แน่ใจว่านางคิดไปเองหรือเปล่า แต่นางคิดว่าหนึ่งในรูปปั้นนั้นดูคล้ายกับองค์ชายทีเดียว…
พวกเขามองเห็นกระจกวิเศษบานนั้นได้ทันทีที่ลงมาจากห้องประชุม
แต่กว่าจะไปถึงจุดที่วางกระจกได้ พวกเขาต้องเดินขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดของวิหาร
ทว่าวิหารแห่งนี้กลับเป็นศูนย์รวมของสัตว์อสูร แต่ละชั้นมีสัตว์อสูรเลื้อยคลานอยู่หลายสิบตัว พวกมันล้วนแต่จ้องมองผู้มาเยือนด้วยดวงตาแดงก่ำ
เฮ่อเหลียนเวยเวยศึกษาพวกมันอย่างละเอียดถี่ถ้วน และสังเกตเห็นว่าสัตว์อสูรพวกนี้ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ราวกับว่าพวกมันถูกอะไรบางอย่างมัดเอาไว้ เพียงแค่แตะ สัตว์อสูรที่ว่านี้ก็จะไม่สามารถโจมตีพวกเขาได้
เมื่อคิดได้ดังนี้ สายตาของนางก็หยุดลงที่ประตูเหล็กของวิหาร บนประตูนั้นมียันต์แปะอยู่ เป็นเพราะเจ้านี่หรือ
ยันต์แผ่นนี้คือสิ่งที่สะกดสัตว์อสูรพวกนี้เอาไว้หรือ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยค่อยๆ เดินเข้าไปหายันต์แผ่นนั้น แล้วใช้นิ้วชี้กับนิ้วกลางแตะมันเบาๆ
ฟุ่บ-
ยันต์ตกลงบนพื้น
ประตูเหล็กขนาดยักษ์คล้ายจะมีชีวิตขึ้นมา มันเปิดออกทีละน้อยภายใต้แสงจันทร์สีเลือด จากนั้นอีกาจำนวนนับไม่ถ้วนก็โผบินขึ้นจากวิหาร ขนนกสีดำร่วงหล่นลงพร้อมกับสัตว์อสูรที่เริ่มคลุ้มคลั่ง!
โครม!
เหนือขึ้นไปบนท้องฟ้า ร่างในชุดเสื้อคลุมสีขาวบริสุทธิ์กระโดดลงมาขวางทางเฮ่อเหลียนเวยเวย แม้เขาจะดูมีอายุมากกว่าร้อยปีและยังมีเคราสีขาว แต่กลิ่นอายที่เขาแผ่ออกมานั้นกลับยากที่จะมองข้ามไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่เขาร่อนลงมา พื้นรองเท้าของเขาจมลงไปในพื้นหินอ่อนได้อย่างง่ายดายเหมือนเหยียบก้อนสำลี เมื่อเห็นเช่นนั้น พวกเขาจึงแน่ใจว่าไม่ควรประมาทชายชราผู้นี้เด็ดขาด
”ข้ากำลังสงสัยอยู่เชียวว่าใครกันที่กล้าหาญถึงขั้นลงมาถึงนรกได้ ที่แท้ก็เป็นปีศาจพันปีนี่เอง” ชายชราหัวเราะแล้วมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างเฉยเมยราวกับไม่ได้เห็นเขาในสายตาเลยแม้แต่นิดเดียว ”ข้าแนะนำให้เจ้ากลับไปเสีย ในฐานะหนึ่งในคนของภพสวรรค์ ข้าย่อมไม่ปรารถนาที่จะฆ่าผู้ใด อีกทั้งยังไม่อยากให้เลือดปีศาจอันโสโครกของเจ้าเปรอะมือข้าอีกด้วย”
ภพสวรรค์หรือ
เฮ่อเหลียนเวยเวยเลิกคิ้ว ชายชราที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาเป็นเทพหรือ
เขาเป็นเทพที่คอยปกป้องยมโลกหรือ
ไม่แปลกใจเลยที่สัตว์อสูรพวกนี้จะติดตามอยู่ข้างหลังเขาอย่างเชื่อฟังถึงเพียงนี้…
”อย่าได้มั่นใจเกินไปนักว่าเลือดที่หลั่งในวันนี้จะเป็นของใคร” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะด้วยท่าทางชั่วร้ายอย่างไม่เคยเป็นมาก่อน ”ข้าไม่เหมือนเจ้า เพราะข้าสังหารเทพเจ้าเป็นงานอดิเรก”
เสื้อคลุมสีดำของเขาปลิวขึ้นลงอยู่ในอากาศขณะที่เอ่ยเช่นนี้ เกราะป้องกันอันลึกล้ำและใสราวกับน้ำปรากฏขึ้นที่ด้านหลังของเขา
กลิ่นอายปีศาจที่ลอยอยู่ในอากาศให้ความรู้สึกเหมือนกับท้องทะเลอันบ้าคลั่ง มันลึกไร้ที่สิ้นสุดและยากจะเข้าถึงได้
ชายชราหัวเราะเยาะ ”เจ้ากำลังบังคับให้ข้าเอาจริง สัตว์อสูรทุกตัวจงฟัง ข้ายกปีศาจตัวนี้ให้พวกเจ้า จะกินเขาอย่างไรก็ตามใจ!”
ทันทีที่ชายชราพูดจบ สัตว์อสูรที่ล้อมพวกเขาอยู่ก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที!
เขี้ยวและกรงเล็บของพวกมันแหลมคมยิ่งนัก สิ่งที่มาพร้อมกับสัตว์อสูรอันแข็งแกร่งเหล่านี้จึงมีแต่อันตราย
พวกมันทุ่มสุดกำลังและกระโจนเข้าใส่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย!
สัตว์อสูรรุมล้อมเขาเอาไว้หลายต่อหลายชั้น
”เจ้ามั่นใจในตัวเองเกินไป” ชายชราเคยพบเจอปีศาจฝีมือร้ายกาจมานักต่อนัก แต่ไม่ว่าปีศาจตนนั้นจะทรงพลังเพียงใด พวกมันก็ล้วนแต่ต้องพ่ายแพ้ให้กับสัตว์อสูรเหล่านี้
สัตว์อสูรแต่ละตัวล้วนแต่มีพลังเทพของเขาแฝงอยู่ในร่าง
ดังนั้นการฉีกกระชากร่างของปีศาจสักตนจึงไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด!
แต่ขณะที่ชายชรากำลังจะหันหลังกลับนั่นเอง…
สัตว์อสูรที่กระโจนเข้าใส่เหยื่อตัวนั้นก็พลันกระเด็นกลับมา!
โครม!
สัตว์อสูรนอนอยู่กับพื้น กรงเล็บของพวกมันกุมแน่นอยู่บนหน้าอกและคู้ตัวเข้าหากันด้วยความเจ็บปวดอย่างมาก!
ชายชราหันหน้ากลับมา แล้วจึงหรี่ตาลง ปีศาจที่ควรถูกฉีกเป็นชิ้นๆ ยังคงยืนอยู่ตรงนั้นโดยไร้รอยขีดข่วน!
ไม่เพียงแต่เขาจะไม่ได้รับอันตรายแม้แต่นิดเดียว แต่กระทั่งเสื้อคลุมของเขาก็ยังไม่มีรอยยับเลยด้วยซ้ำ นอกจากเลือดสดๆ อันบ่งบอกถึงการโต้กลับของเขาแล้ว ก็ไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยังถึงกับโอบเอวเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ขณะยืนอยู่บนดอกไม้ขนาดใหญ่อันงดงาม
ทั้งสองดูเหมือนกับปาฏิหาริย์ระหว่างทางไปยมโลกไม่มีผิด…