องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 836 เอาพระสารีริกธาตุออกจากร่าง
ลำคอของนางราวกับถูกไฟแผดเผา อาการวิงเวียนศีรษะกระแทกเข้าใส่นางอย่างรุนแรง ทันใดนั้นหงส์เพลิงก็นึกถึงประโยคที่นางเคยเห็นตั้งแต่ตอนที่ยังไม่รู้อะไรเกี่ยวกับความรักขึ้นมาได้
คำพูดนั้นกล่าวเอาไว้เช่นนี้ ”ข้าอาจจะกุมมือท่านไว้ในยามที่เราเดินเคียงข้างกัน ข้าอาจจะทำให้ท่านประทับใจและทำอะไรบ้าๆ ให้ท่านมากมาย แต่สุดท้าย คนที่ต้องสัมผัสกับน้ำตาที่ไหลรินระหว่างที่ท่านเอ่ยถึงอดีตของเราอย่างไม่สนใจไยดียามเมื่อเราต้องแยกทางกันก็คือข้า”
บางที ความรักอาจเป็นเพียงแค่เกม
คนที่จริงจังก่อนย่อมเป็นฝ่ายพ่ายแพ้เสมอ
รอยยิ้มปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของหงส์เพลิง นางยืนอยู่คนเดียวครู่หนึ่ง ก่อนจะตั้งสติได้
เสียงหัวเราะพูดคุยจากบรรดาทวยเทพและเทพธิดายังคงแว่วมาจากที่ไกลๆ ท่ามกลางหมู่เมฆนั้น ไม่ว่าสายตาของนางจะหยุดลงที่ใด ทัศนียภาพของภพสวรรค์ก็ยังคงงดงามอยู่เสมอ
เป็นอีกครั้งที่หงส์เพลิงได้เห็นแม่มดสาวที่เพิ่งถูกเลื่อนขั้นให้เป็นเทพ นางยิ้มออกมา แล้วเดินกลับสู่พระพุทธศาสนาอย่างหมดเรี่ยวแรงโดยไม่พูดอะไรสักคำ
บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ยังคงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง
สามเณรน้อยวิ่งเข้ามาถามว่าหงส์เพลิงไปไหนมา เขาเอาแต่ถามเช่นนั้นไม่หยุดตลอดทาง
หงส์เพลิงไม่มีเวลาให้เสียใจ เพราะการชำระล้างทะเลเลือดไม่อาจล่าช้าได้อีกต่อไป
สามเณรน้อยเดินตามหลังนาง แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า ”พระอรหันต์ขอรับ สมเด็จมาตามหาท่านถึงสองครั้ง เขาถามว่าท่านจะลงไปที่นรกเมื่อใดขอรับ”
หงส์เพลิงยื่นมือออกไปเพื่อรดน้ำให้กับต้นโพธิ์โดยไม่ได้หยุดเคลื่อนไหวเลยแม้แต่น้อย ”ข้าจะไปที่นั่นทันทีหลังจากรดน้ำต้นไม้เสร็จ”
”ตี้จวินให้คนนำขนมกุ้ยฮวาของโปรดท่านมาให้และยังถามอีกด้วยว่าคืนนี้ท่านอยากกินอาหารมังสวิรัติชนิดใดขอรับ” สามเณรน้อยพยายามสุดชีวิตเพื่อจะยกน้ำศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ”ตี้จวินยังไม่รู้ใช่ไหมขอรับว่าท่านกำลังจะลงไปนรก”
หงส์เพลิงไม่คิดที่จะตอบคำถามของเขาอีก นางย่อตัวลงนั่งใต้ต้นโพธิ์และรดน้ำให้มันอย่างเงียบๆ ใบหน้าของนางปราศจากอารมณ์
สามเณรน้อยสงสัยว่าอรหันต์หงส์เพลิงอาจไม่ได้ยินที่เขาพูด
แต่ในขณะที่สามเณรน้อยกำลังจะทวนคำถามนั้นขึ้นมาอีกครั้ง ในที่สุดหงส์เพลิงก็ตอบด้วยน้ำเสียงอันราบเรียบว่า ”ข้าจะไม่ไปกินข้าวที่นั่น”
นางหมายความว่าอย่างไรที่บอกว่า ’จะไม่ไปกินข้าวที่นั่น’ หมายความว่านางจะไม่ไปที่นั่นอีกแล้วหรือ
ความสับสนปรากฏขึ้นบนใบหน้าของสามเณรน้อย ก่อนที่เขาจะทำความเข้าใจกับมันได้ หงส์เพลิงก็ยืนขึ้นแล้วรวบผมยาวถึงเอวของตัวเองขึ้นมัดเป็นหางม้า จากนั้นลูกประคำที่พันอยู่รอบข้อมือของนางก็กลายร่างเป็นดาบวงพระจันทร์และแผ่กลิ่นอายอันดุดันออกมา มันสะท้อนให้เห็นชุดที่นางสวมอยู่ได้อย่างไม่มีที่ติ ภาพนั้นทั้งดูน่าเกรงขามและทรงพลังราวกับเปลวเพลิงอันโชติช่วง
ไม่ต้องสงสัยเลยว่าหงส์เพลิงนั้นงดงามเพียงใด เส้นผมของนางทิ้งตัวลงมาราวกับน้ำตก เสื้อคลุมสีขาวหิมะที่ปลิวอยู่ดูเหมือนกับดอกบัวที่บานสะพรั่งมาเป็นเวลาหลายพันปี สิ่งที่อยู่ลึกลงไปในดวงตาของนางคือความสง่างามราวกับสายน้ำรินไหล แสดงให้เห็นถึงความงามอันไม่เป็นสองรองใครในฟ้าดิน
ใบหน้าเช่นนี้ย่อมไม่เหมาะกับผู้ปฏิบัติธรรม เพราะมันดึงดูดความสนใจมากเกินไป
แต่หงส์เพลิงก็ยังอยู่ที่นี่ แม้นางจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่นางก็จะไม่มีวันละทิ้งดาบวงพระจันทร์ของตัวเอง เช่นเดียวกันกับที่นางจะไม่มีวันโอนอ่อนต่อเจตนารมณ์ของผู้อื่น
กลิ่นเนื้อเน่าเหม็นกระจายไปทั่วอากาศภายในทะเลเลือดอันกว้างใหญ่ ณ แดนนรก สัตว์อสูรและปีศาจทุกตนคำรามอยู่ในทะเลรับการมาถึงของแสงแห่งพระพุทธคุณ
หงส์เพลิงลอยอยู่กลางอากาศขณะถูกล้อมด้วยวิญญาณร้าย ดาบวงพระจันทร์ขนาดใหญ่แต่เต็มไปด้วยความงามนั้นส่งเสียงอยู่ในสายลมกรรโชก
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่บรรดาวิญญาณร้ายที่ชอบเอาเปรียบผู้อื่นก็ยังรู้สึกได้ว่ามีอะไรบางอย่างที่ผิดปกติเกิดขึ้นกับนาง
”ฮ่าๆ แสงแห่งพระพุทธคุณของเจ้าอ่อนแอถึงเพียงนี้ กล้ามาที่นี่เพื่อชำระล้างทะเลเลือดได้อย่างไร”
”หงส์เพลิงแห่งพระพุทธศาสนาเทียบกับพวกข้ายังไม่ได้ด้วยซ้ำ!”
ขณะที่วิญญาณกำลังเยาะเย้ยนางอยู่นั้น กลิ่นเหม็นเน่าของทะเลเลือดอันสับสนอลหม่านก็พลันโชยออกมาจากทุกทิศทุกทาง ฝูงปีศาจและวิญญาณทั้งหลายล้วนแต่พุ่งเข้าหานางอย่างไม่ขาดสาย
”ในฐานะผู้ปฏิบัติธรรม การตัดขาดจากความปรารถนาทางโลกย่อมเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด แต่ความจริงแล้ว เจ้า คนที่ถูกขนานนามว่าอรหันต์หงส์เพลิงกลับตกหลุมรักคนผู้หนึ่งเข้า ในเมื่อเป็นเช่นนั้น สิ่งใดหรือที่ทำให้เจ้าคิดว่าเจ้าจะยังสามารถชำระล้างทะเลเลือดได้”
”วันนี้เป็นวันตายของเจ้า!”
วิญญาณร้ายกระโจนเข้าไปเกาะขาของหงส์เพลิงและพยายามที่จะเข้าสิงกายเนื้อของนาง
ในไม่ช้า แสงแห่งพระพุทธคุณอันอ่อนแอก็ถูกพวกมันกลืนกินไปทีละน้อย
ขณะที่วิญญาณร้ายกำลังจะใช้ปากของพวกมันกระชากลำคอของหงส์เพลิง จู่ๆ หงส์เพลิงก็หยุดอยู่กลางอากาศแล้วแทงดาบวงพระจันทร์เข้าที่ไหล่ซ้ายของตัวเอง
เลือดของหงส์เพลิงสามารถชำระล้างบาปทั้งปวงได้เช่นเดียวกันกับเปลวไฟในสวรรค์ชั้นเก้า!
ดวงตาของเหล่าวิญญาณร้ายเบิกกว้างด้วยความสับสน พวกมันมองนางยืนอยู่กลางอากาศขณะที่เท้าของนางแตะทะเลเลือดอย่างเงียบๆ นางยื่นมือออกไปข้างหน้าแล้วค่อยๆ ดึงกระดูกเปื้อนเลือดออกจากร่างของตัวเอง จากนั้นกระดูกชิ้นนั้นก็กลายร่างเป็นดาบในมือของนาง นิ้วสวยราวกับหยกที่เปรอะไปด้วยเลือดของนางเรืองแสงสีทองออกมา
ในวินาทีต่อมา นางก็พุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับตวัดดาบครั้งหนึ่งเข้าใส่วิญญาณร้ายที่อยู่ในทะเลเลือด!
เกิดเสียงดังสนั่น ตามมาด้วยแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง วิญญาณร้ายจำนวนนับไม่ถ้วนถูกดูดหายเข้าไปใต้ผืนดินโดยทันทีก่อนที่พวกมันจะมีโอกาสได้ปรากฏตัวขึ้น
”นาง นางดึงเอาพระสารีริกธาตุของตัวเองออกมา!” วิญญาณร้ายร้องลั่นด้วยความตกใจ
คลื่นน้ำขนาดยักษ์อันเกิดจากแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ทิ้งเงามืดไปทั่วผืนฟ้า วิญญาณร้ายทุกตนร้องโหยหวนด้วยความหวาดกลัวพลางกระเสือกกระสนหนีเพื่อรักษาชีวิตของตัวเอง
หงส์เพลิงยังคงมีสีหน้าเรียบเฉย นางกางนิ้วที่ชุ่มไปด้วยเลือดทั้งห้านิ้วของตัวเองออก ราวกับภูเขาน้ำแข็งที่ทนคลื่นลมมานับพันปี นางเป่าวิญญาณร้ายระดับสูงเหล่านั้นจนกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย ร่างของพวกมันระเบิดเหมือนกับดอกไม้ไฟสีเลือดอันงดงามที่ทอดตัวยาวออกไปนับพันลี้!
นางยังคงถือกระดูกรูปโค้งไว้ในมือพร้อมกับเลือดที่ไหลลงมาตามนิ้วนั้น แสงแห่งพระพุทธคุณสีทองที่แผ่ออกมาจากกระดูกของหงส์เพลิงผ่าสวรรค์ทั้งเก้าและดินแดนทั้งสิบ จากนั้นจึงเข้าปกคลุมเส้นทางชั่วร้ายทั้งสี่ทิศภายใต้เสียงแห่งอรหันต์อันไม่มีที่สิ้นสุด
นับตั้งแต่วันนี้ ขุมนรกจะต้องไม่มีทะเลเลือดอีกต่อไป!
หลังจากการสังหารหมู่เสร็จสิ้น หงส์เพลิงก็เก็บดาบวงพระจันทร์ของตัวเอง นางยกมือขวาขึ้นกุมไหล่แล้วพาร่างอันอ่อนแรงของตัวเองกลับไปที่พระพุทธศาสนา
สามเณรน้อยไม่เคยเห็นหงส์เพลิงในสภาพสะบักสะบอมเช่นนี้มาก่อน เพราะทุกครั้งนางมักจะกลับมาอย่างผู้ชนะเสมอ
แต่ครั้งนี้ แม้กระทั่งผมของนางก็ยังเปรอะไปด้วยเลือด นางดูราวกับจะล้มลงทันทีที่ก้าวขาออกเดินอีกเพียงแค่ก้าวเดียว
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่นางก็ยังยิ้มให้เขาเล็กน้อย และพยายามยืนตรง
คนที่อยู่ในสภาพเลือดอาบเช่นนี้ย่อมไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปในตำหนักต้าสยง
ดังนั้นหงส์เพลิงจึงทำได้เพียงแค่รออยู่ข้างนอกเท่านั้น
จุดที่ดีที่สุดคือใต้ต้นโพธิ์
มีแค่ที่นั่นเท่านั้นที่จะไม่มีใครรังเกียจที่นางเป็นคนบาป
หงส์เพลิงพิงร่างเข้ากับต้นไม้อย่างเหน็ดเหนื่อย ความเจ็บปวดแสบร้อนหลังจากนำพระสารีริกธาตุออกจากร่างตัวเองทำให้นางหอบหายใจออกมาอย่างแรง
”ไม่เป็นไร อู๋ซวง ความเจ็บปวดจะหายไปในไม่ช้า”
ใช่ ความเจ็บปวดจะหายไปในไม่ช้า
หงส์เพลิงค่อยๆ หลับตาลง บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เหนือภพภูมิทั้งหกนี้ นางเป็นเหมือนกับนกที่เหนื่อยล้าบินกลับรัง นางหลับตาและผล็อยหลับไปตลอดบ่ายนั้น
พระพุทธศาสนาปฏิเสธนางเพราะร่างของนางเต็มไปด้วยเลือด
ดังนั้นนางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากใช้วิธีการอันไร้ประสิทธิภาพนี้ในการรักษาบาดแผลของตัวเอง
เลือดยังคงไหลออกมาจากไหล่ของนาง แม้นางจะเป็นนกอมตะ แต่นางก็รู้ดีว่าความเจ็บปวดเป็นอย่างไร
วันนั้น สายลมที่พัดผ่านต้นโพธิ์อบอุ่นอย่างมาก
ต้นโพธิ์ได้เรียนรู้ความรู้สึกบางอย่างทันทีที่เลือดซึมลงไปในรากของมัน
ความรู้สึกนั้นคือสิ่งที่เรียกว่าความปวดใจ
พลังธรรมะของหงส์เพลิงกำลังอ่อนแอลงทุกขณะ มันอ่อนเสียจนเขาเริ่มเป็นห่วงนาง
แต่เขาก็เป็นเพียงแค่ต้นโพธิ์ เขาทำได้แค่เฝ้ามองดูทุกสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้าอย่างเงียบๆ เท่านั้น
หลายปีหลังจากนั้น พระพุทธเจ้าปรากฎตัวขึ้นที่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
ต้นโพธิ์เดินคุกเข่าคำนับขึ้นบันไดทั้งหมดเก้าพันขั้นท่ามกลางหิมะที่ตกหนัก
พระพุทธเจ้าตรัสถามต้นโพธิ์ว่า ”เจ้าปรารถนาสิ่งใด”
”ข้าขอให้นางมีสุขภาพดี และได้อยู่อย่างสงบสุข ไร้ซึ่งความกังวลตลอดไปขอรับ” นี่เป็นคำพูดเดียวที่เขาเอ่ยขึ้นหลังจากได้ร่างมนุษย์
การชำระล้างทะเลเลือดสร้างความพอใจให้กับภพภูมิทั้งหกเป็นอย่างยิ่ง
การชำระล้างครั้งนี้ต่างจากครั้งที่ตี้จวินลงไปที่นรก
ในระยะเวลาห้าร้อยปีต่อจากนี้ ที่ทะเลเลือดจะไม่มีวิญญาณชั่วร้ายปรากฏขึ้นอีก
แน่นอนว่าพระพุทธศาสนาต้องฉลองให้กับเรื่องนี้
การเฉลิมฉลองนี้จัดขึ้นเพื่อฉลองให้กับอานิสงส์จากการช่วยสรรพสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ แต่ที่สำคัญ มันเป็นงานฉลองชัยชนะที่พระพุทธศาสนามีเหนือภพสวรรค์
ในขณะเดียวกันนั้น ตี้จวินก็ขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีที่เขาได้รับข่าวนี้ ”หงส์เพลิงไปที่ทะเลเลือดมาหรือ”