องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 843 หากระจกวิเศษ
สีหน้าของเขายังคงดูไม่สะทกสะท้านเหมือนปกติ แต่ความจริงแล้วเขากลับรู้สึกกังวลอยู่เล็กน้อย
ไท่จื่อสงสัยอย่างมาก ”นี่ ท่านกำลังมองหาอะไรอยู่หรือ”
แต่ตี้จวินกลับไม่สนใจเขาแล้วย่อตัวลง จากนั้นจู่ๆ เขาก็ก้าวเท้าลงไปในทะเลสาบสวรรค์
”น้ำมัน…” เย็น ไท่จื่อยังพูดไม่ทันจบ เขาก็เห็นชายหนุ่มโน้มตัวลง พร้อมกับเอื้อมมือออกไปโดยไม่สนใจว่าเสื้อคลุมสีม่วงสลับขาวของตัวเองจะเปียกน้ำระหว่างสัมผัสกับก้นทะเลสาบ
ไม่มีวี่แววของมันแม้แต่นิดเดียว!
มันจะหายไปไหนได้
เมื่อครู่นี้เขาเพิ่งโยนมันทิ้งไว้ตรงนี้ชัดๆ!
”เจ้าลงมานี่ แล้วช่วยข้าหาด้วย” น้ำเสียงของตี้จวินเย็นชา และไม่เปิดโอกาสให้อีกฝ่ายต่อรองแต่อย่างใด
ไท่จื่ออ้าปากค้างพร้อมกับชี้นิ้วเข้าหาตัว ถ้าคนจากภพภูมิทั้งหกรู้ว่าไท่จื่ออย่างเขากระโดดลงไปในทะเลสาบสวรรค์ตอนกลางวันแสกๆ เข้าละก็ เขาคง…
”ลงมา” สายตาของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเย็นชาและข่มขู่
ไท่จื่อกระแอมในลำคอ แล้วสาวเท้าออกไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล
เขาไม่กล้าทำให้ผู้ชายคนนี้อารมณ์เสีย
นอกจากหงส์เพลิงแล้ว คนที่เข้าไปยุ่งกับชายหนุ่มไม่เคยมีจุดจบที่ดีเลยสักราย
ยกตัวอย่างเช่นบุตรชายของเทพองค์หนึ่ง ว่ากันว่าจนกระทั่งถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่หายดีเลยด้วยซ้ำ ไม่เพียงแต่เขาจะถูกริบสถานะเทพ แต่เขายังถูกลดขั้นลงไปเป็นเพียงสัตว์ธรรมดาอีกด้วย
เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา บุตรชายของเทพองค์อื่นๆ จึงไม่กล้าขอหงส์เพลิงแต่งงานโดยไม่ที่ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นเช่นไร
ดังนั้นจึงว่ากันว่าอย่าได้ยั่วโมโหตี้จวินเป็นอันขาด
น้ำของทะเลสาบสวรรค์ไม่เหมือนกับน้ำบนโลก เพราะมันเย็นเฉียบ เมื่อเขาจุ่มนิ้วลงไปในน้ำ ความเย็นก็แล่นปราดเข้าไปถึงกระดูกของเขาทันที
ไท่จื่อแทบเสียสติเมื่อเขาเห็นสายตาที่เหล่าเซียนมองพวกเขาตอนเดินผ่านไป
พวกเขาสองคนคือไท่จื่อผู้ยิ่งใหญ่และตี้จวินแห่งภพสวรรค์ ไม่มีอะไรน่าสนใจกว่าการเล่นน้ำในฤดูหนาวเช่นนี้แล้วหรือ
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่พวกเขาใช้เวลาหนึ่งชั่วยามเต็มไปกับการหาของสิ่งนั้นอีกด้วย!
”ตี้จวิน พี่น้องข้า” ไท่จื่อถูมือที่ถูกแช่แข็งของตัวเองเข้าหากัน แล้วพูดว่า ”ท่านต้องบอกข้าว่าท่านกำลังหาอะไรอยู่”
ชายหนุ่มไม่คิดที่จะเงยหน้าขึ้น แต่กลับตอบเขาเพียงแค่สองพยางค์ว่า ”กระจก”
”ทั้งหมดนี้เพื่อกระจกบานเดียวหรือ” ไท่จื่อตะโกนลั่น
ชายหนุ่มหยุดในสิ่งที่กำลังทำอยู่ แล้วหันหน้าไปมองเขา สีหน้าที่เขาแสดงออกมาเต็มไปด้วยความเย็นชา
ไท่จื่ออึกอัก และแก้ตัวว่า ”เอ่อ ข้าหมายความว่า พี่น้องข้า ไม่ว่ากระจกที่ท่านต้องการจะเป็นกระจกแบบใด ข้าก็มีทุกแบบ ท่านไม่จำเป็นต้องทำให้ตัวเองลำบากเช่นนี้ และยิ่งกว่านั้น ทันทีที่ของสิ่งใดตกลงไปในทะเลสาบสวรรค์ ก็มีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่มันจะตกลงไปบนพื้นโลก อาจมีคนเก็บมันไปแล้วก็ได้ ดูสิ ฟ้าเริ่มมืดแล้ว ต่อให้ท่านค้นหาต่อไปก็ไม่มีประโยชน์”
พูดตามตรงว่าพวกเขาค้นหาจนทั่วบริเวณนี้แล้ว
ด้วยความช่วยเหลือจากเทวจิตของพวกเขา พวกเขาย่อมไม่มีทางมองข้ามกระจกบานนั้นไปได้ถ้ามันยังอยู่ในทะเลสาบสวรรค์จริงๆ
ชายหนุ่มย่อมรู้เรื่องนี้เช่นกัน
น้ำจากทะเลสาบสวรรค์กระเด็นขึ้นมาโดนหน้าของเขา
ตี้จวินไม่ได้โน้มตัวลงอีก บางทีเขาอาจจะอยู่ในท่าเดิมเป็นเวลานานเกินไปจนแม้กระทั่งหลังของเขาก็ยังรู้สึกแข็งเกร็ง
เมื่อเห็นว่าเขาไม่คิดที่จะค้นหาต่อ ไท่จื่อจึงเป็นฝ่ายเดินนำเขาออกมาจากทะเลสาบสวรรค์
แต่ขณะที่เขากำลังจะพูดอะไรขึ้น เขาก็ได้ยินน้ำเสียงทุ้มต่ำแหบพร่าราวกับเปียกชุ่มไปด้วยน้ำเอ่ยขึ้นว่า ”คนที่ถูกทิ้งคือข้า”
มันกะทันหันอย่างมาก!
ไท่จื่อหันหน้ากลับไปทันที แล้วมองไปยังใจกลางของทะเลสาบสวรรค์!
ชายหนุ่มยืนอยู่ตรงนั้นอย่างเงียบๆ เสื้อคลุมขนสัตว์สีขาวที่หรูหราที่สุดบนฟ้าดินเปียกชุ่ม และมีน้ำหยดลงมาตามผมสีดำของเขา
นิ้วของเขาที่ไม่เคยแม้แต่เปื้อนฝุ่นถูกบางอย่างบาดเข้าจนเลือดไหลซึม
ไท่จื่อไม่เคยเห็นชายหนุ่มในสภาพนี้มาก่อน ดวงตาดอกท้อของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา เขาก้มหน้าลงน้อยๆ ผมสีดำของเขาปิดบังดวงตาของเขาอยู่ และสิ่งเดียวที่เขาได้ยินก็คือชายหนุ่มที่กระซิบประโยคเดิมออกมาอย่างแผ่วเบา
”คนที่ถูกทิ้งคือข้า”
ไท่จื่อมองเขาด้วยความสับสน ”หา? ท่านล้อข้าเล่นหรือ”
ตี้จวินไม่ได้พูดต่อ เขาขึ้นจากทะเลสาบสวรรค์แล้วทิ้งไท่จื่อไว้ข้างหลัง
ไม่รู้ทำไม แต่เมื่อไท่จื่อมองแผ่นหลังอันเปียกชุ่มของชายหนุ่มแล้วเขาก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายไม่ได้พูดเล่น…
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ตี้จวินก็แทบไม่ออกจากตำหนักเทพอีกเลย มิหนำซ้ำยังดูเหมือนไม่สนใจสิ่งใดอีกด้วย
คนของภพสวรรค์ได้ยินเพียงแค่ว่าตี้จวินสูญเสียของรักไป แต่พวกเขาไม่รู้ว่าสิ่งนั้นคืออะไร
บางครั้งพวกเขาจะจัดการงานเลี้ยงฉลองขึ้นสักครั้ง แต่ชายหนุ่มก็ไม่ได้มาร่วมงาน และยังปฏิเสธทุกคำเชิญอีกด้วย
เซียนสองคนยืนอยู่หน้าประตูและรับหน้าที่ปฏิเสธทุกคน
”คำเชิญที่ถูกส่งมาให้ตี้จวินกองกันแทบจะเป็นภูเขาอยู่แล้ว แค่ของเทพธิดาหิมะเพียงคนเดียวก็ปาเข้าไปห้าหรือหกฉบับแล้ว เราจะจัดการกับพวกมันอย่างไรดี”
”ทิ้งไปให้หมด ตี้จวินไม่ไป”
”ขอรับ” เซียนทั้งสองคนเคลื่อนย้ายเทียบเชิญเหล่านั้นออกไปอย่างทุลักทุเลพร้อมกับแอบมองเข้าไปในตำหนัก
ตอนนั้นเองที่มีคนจากพระพุทธศาสนามาส่งเทียบเชิญให้ เขาถามว่า ”ตี้จวินอยู่ข้างในหรือไม่ วันพรุ่งนี้สมเด็จจะจัดงานเลี้ยงฉลองให้กับเทพทุกองค์”
”หือ ข้าต้องขอโทษจากใจจริง พักนี้ตี้จวินรู้สึกไม่ค่อยสบายนัก เขา…” ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ น้ำเสียงทุ้มลึกก็ดังขึ้นตัดบทเขาเสียก่อน
”พรุ่งนี้กี่โมง” เป็นตี้จวินนั่นเอง เขาเดินออกมาจากตำหนักด้วยใบหน้าหล่อเหลาและสง่างามเหมือนเช่นเคย
สามเณรแจ้งเวลากับเขา จากนั้นจึงเดินพนมมือกลับไป
เซียนทั้งสองมองไปทางตี้จวินอย่างสงสัย น่าประหลาดใจยิ่งนัก เพราะพวกเขาคิดว่าตี้จวินจะไม่ไปร่วมงานเลี้ยงอีกต่อไป
ทำไมเขาถึงตกลงจะไปงานเลี้ยงของพระพุทธศาสนาล่ะ
”บางครั้งข้าเองก็อยากออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์เหมือนกัน” นี่เป็นคำตอบที่ชายหนุ่มให้กับเซียนเหล่านั้น
แต่พวกเขาคิดว่ามันมีอะไรมากกว่านั้นที่พวกเขาคิดไม่ถึง
โชคดีที่พระพุทธศาสนามาส่งเทียบเชิญถึงที่นี่ อารมณ์ของตี้จวินดูจะดีขึ้นเล็กน้อยในวันถัดมา แม้กระทั่งบรรดาปีศาจที่ติดตามอยู่ข้างหลังของเขาก็ยังไม่มีพิษภัยแต่อย่างใด
แต่ในระหว่างงานเลี้ยงของพระพุทธศาสนาที่เชิญเทพทุกองค์มาร่วมนั้น หงส์เพลิงกลับไม่ได้นั่งอยู่ในตำแหน่งที่สูงที่สุด
อย่างไรหงส์เพลิงก็ยังมีบาปและยังอยู่ในช่วงกักบริเวณ สมเด็จอนุญาตให้นางสวดมนต์อยู่ด้านหลังร่างของพระพุทธองค์
เสียงเครื่องดนตรีขับขานโดยพร้อมเพรียงดังประสานอยู่ในตำหนักต้าสยง มีคนเดินเข้ามาในห้องนั้นอย่างต่อเนื่อง และแลกเปลี่ยนบทสนากันเสียงเบา
เมื่อเป็นเช่นนี้นางจึงไม่สามารถนอนต่อได้อีก นางเพียงสุ่มหยิบหนังสือจากชั้นหนังสือไม้ออกมาและกำลังเตรียมตัวที่จะอ่านมัน
จากนั้นนางก็ได้ยินใครบางคนเอ่ยเรียกเขา ”ตี้จวิน”
นิ้วของหงส์เพลิงเกร็งแน่น
เสียงนั้นเอ่ยต่อ ”ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้ตี้จวินอารมณ์ไม่ดี เป็นเพราะหงส์เพลิงหรือ”
”อารมณ์ของข้าเกี่ยวอะไรกับนางหรือ” น้ำเสียงของชายหนุ่มลึกล้ำและฟังดูราวกับเยาะหยัน
หงส์เพลิงเอียงศีรษะ รอยยิ้มแผ่กว้างขึ้นบนใบหน้าของนาง เสียงดนตรีภายในตำหนักแห่งนี้ยังคงลอยอยู่ในอากาศรอบตัวพวกเขา
”ใช่แล้ว ตี้จวินจะอารมณ์ไม่ดีเพราะนางได้อย่างไร ข้าว่าน่าจะเป็นเพราะการหายตัวไปอย่างกะทันหันของแม่มดสาวนางนั้นมากกว่า ข้าได้ยินมาว่าพระพุทธศาสนายอมรับนาง…”
ครั้งนี้ชายหนุ่มไม่ได้ปฏิเสธ
หงส์เพลิงไม่ได้ฟังต่อ นางหยิบหนังสือแล้วหมุนตัวกลับ แต่นางไม่สามารถหยุดปลายนิ้วอันสั่นเทาของตัวเองในระหว่างที่เดินอยู่ได้
ลึกๆ แล้วน้ำเสียงไม่สะทกสะท้านของเขาได้สร้างบาดแผลให้กับนาง
อารมณ์ของเขาเกี่ยวอะไรกับนางหรือ
เมื่อเป็นเช่นนี้ นางจึงสามารถกลับได้ทันทีที่นางต้องการ
วันต่อมา นางจะสูญเสียผัสสะ[1]ทั้งหกแล้วก้าวเข้าสู่ภพอรูปภูมิ
หากนางอยู่ที่นั่นสักร้อยปี และเติมเต็มความปรารถนาอันยิ่งใหญ่นั้นคงเป็นการดีกว่า เพราะอย่างไรนางก็ต้องถูกกักบริเวณอยู่ดี
ในอดีตนั้น นางมักคิดอยู่เสมอว่าการใช้ชีวิตร่วมกันย่อมหมายถึงการรักใคร่ซึ่งกันและกัน
ตอนนี้นางเข้าใจแล้วว่าช่วงเวลาอันสมบูรณ์แบบและสวยงามเหล่านั้นจะปรากฏขึ้นได้ก็แค่ในความคิดของนางเท่านั้น…
[1] ผัสสะ ในทางพระพุทธศาสนา หมายถึง สัมผัส การกระทบกับรูป รส กลิ่น เสียง และสิ่งที่รับรู้ได้ทางกาย