องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 844 จุดเริ่มต้นของการตกจากสวรรค์
”เจ้าคิดดีแล้วหรือ” สมเด็จประทับอยู่บนดอกบัวทองคำด้วยใบหน้าเยือกเย็นไร้การเปลี่ยนแปลง
หงส์เพลิงขยับนิ้ว แล้วเปลี่ยนดาบวงพระจันทร์ของตัวเองกลับเป็นลูกประคำ พวกมันพันเข้ารอบข้อมือของนาง ดวงตาของนางเป็นประกายเด็ดเดี่ยว ”เจ้าค่ะ”
”เจ้าจะไม่จับดาบเป็นเวลาหนึ่งร้อยปีหรือ” สมเด็จขมวดคิ้ว
หงส์เพลิงรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ดังนั้นนางจึงกระตุกริมฝีปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม ”ตอนที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แท้จริงเป็นของคนผู้หนึ่ง เขาให้สัจจะสาบานไว้ว่าตราบใดที่ทะเลเลือดยังไม่ว่างเปล่า เขาสาบานว่าจะไม่เป็นพระพุทธเจ้าเวลานี้ข้าเองก็อยากบำเพ็ญบุญครั้งใหญ่เช่นกัน ดังนั้นสมเด็จย่อมไม่มีเหตุผลสมควรอันใดในการห้ามข้า แม้ข้าจะเป็นดาบที่คมที่สุดของพระพุทธศาสนา แต่ข้าก็ต้องการพักเหมือนกัน”
”เจ้าต้องการบำเพ็ญบุญอันใด” สมเด็จที่นั่งอยู่สูงกว่านางเอ่ยถามเสียงเบา
หงส์เพลิงเคลื่อนสายตาขึ้น เกราะที่อยู่บนร่างของนางส่งเสียงดังเคร้งระหว่างที่นางตอบเขาด้วยน้ำเสียงอันชัดเจนว่า ”ทำให้ต้นโพธิ์กลายร่างเป็นมนุษย์”
สมเด็จชะงักไปครู่หนึ่ง คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันราวกับกำลังครุ่นคิด สุดท้ายเขาจึงพึมพำขึ้นว่า ’อมิตาพุทธ’ จากนั้นจึงหันไปทางสามเณรที่นั่งอยู่ข้างๆ แล้วกล่าวว่า ”ปล่อยนางไปเถิด ก็แค่หนึ่งร้อยปีเท่านั้น ไม่น่ามีปัญหาใหญ่อันใดเกิดขึ้นได้”
สามเณรน้อยที่เดินตามหลังหงส์เพลิงขมวดคิ้ว ”พระอรหันต์ ท่านเสียโอกาสดีๆ ไปอีกแล้วนะขอรับ แทนที่จะขออะไรให้ตัวเอง ท่านกลับขอให้ต้นโพธิ์กลายร่างเป็นมนุษย์แทน”
”แม้กระทั่งอิสรภาพข้าก็ยังไม่มี แล้วข้าควรจะขอสิ่งใดหรือ” หงส์เพลิงหัวเราะพร้อมกับหลุบตาลง ”ถ้าไม่มีต้นโพธิ์ ข้าก็ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะเป็นอย่างไร”
ทันทีที่ได้ยินดังนี้ สามเณรน้อยก็ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง แล้วกระซิบว่า ”ท่านก็ขอให้สมเด็จส่งตี้จวินมาให้ท่านอีกสักครั้งสิขอรับ”
”เจ้าคงลืมไปอีกแล้วกระมังว่าผู้ชายคนนั้นอยู่นอกเหนือการควบคุมของโชคชะตา” รอยยิ้มของหงส์เพลิงเลือนหายไประหว่างที่นางพูดต่อ ”ยิ่งกว่านั้น บางครั้งเขาก็ยังเป็นคนที่มีความสำคัญและพิเศษอย่างยิ่ง ดังนั้นข้าจึงไม่อยากใช้วิธีการนี้เพื่อให้ได้เขามา เพราะถึงข้าจะได้เขามา แต่นั่นก็ไม่ใช่เขาที่แท้จริง…”
แม้สามเณรน้อยจะตั้งใจฟังที่นางพูด แต่เขาก็ไม่เข้าใจว่านางหมายความว่าอย่างไร
แต่เขาก็พอจะรู้อย่างคร่าวๆ ว่าตี้จวินหมดความสนใจในตัวอรหันต์หงส์เพลิง และไปตกหลุมรักคนอื่นแทน
บางที นี่อาจจะเป็นสิ่งที่คนเขาเรียกกันว่า แสวงหาแต่ไม่ได้ดังหวัง
สามเณรน้อยรู้สึกสงสารหงส์เพลิง เขาเก็บข้าวของที่นางใช้ในชีวิตประจำวัน แล้วจึงใช้ดวงตากลมโตของตัวเองมองไปที่นาง ”อรหันต์หงส์เพลิงขอรับ เมื่อท่านได้ออกมาอีกครั้ง ข้ามั่นใจว่าเมื่อถึงตอนนั้นข้าคงกลายเป็นพระอรหันต์แล้ว หลังจากได้เป็นพระอรหันต์ ข้าคงต้องทำตัวให้รอบคอบขึ้นไม่เหมือนกับตอนนี้ แต่ข้าขอให้อรหันต์จดจำไว้นะขอรับว่าข้าจะก้าวออกมาช่วยท่านทันทีหากมีใครพูดจาว่าร้ายท่าน”
หงส์เพลิงยิ้มหลังจากได้ยินคำพูดนั้น นางใช้นิ้วลูบศีรษะโล้นเตียนของสามเณรน้อย จากนั้นจึงถือน้ำศักดิ์สิทธิ์เดินเข้าไปหาต้นโพธิ์
นั่นเป็นครั้งสุดท้ายที่หงส์เพลิงรดน้ำต้นโพธิ์
”ข้าจะไปจากที่นี่ในไม่ช้า หนึ่งร้อยปีนี้มันอาจจะนานกว่าปกติหน่อย แต่บนโลกนี้ เวลาหนึ่งร้อยปีนั้นไร้ความหมาย ต้นโพธิ์ หลังจากเจ้าได้กลายเป็นมนุษย์ ข้าย่อมจำเจ้าได้ทันทีที่เห็น ตอนที่เจ้าลงไปบนโลกมนุษย์ เจ้าช่วยสวดมนต์ให้ข้าด้วยล่ะ ในอนาคตมือของข้าอาจเปรอะเปื้อนไปด้วยเลือด แต่ข้าจะยกหน้าที่จุดธูปเทียนให้กับเจ้าแทน”
หลังจากพูดจบ หงส์เพลิงก็หยิบสัมภาระที่เตรียมไว้ขึ้น แล้วเดินเข้าไปในเขตหวงห้ามของเหล่าพระอรหันต์
ว่ากันว่ามันเป็นสถานที่ที่สวยที่สุดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ของทั้งหกภพภูมิ
ตอนที่ศากยมุนีได้กลายเป็นพระพุทธเจ้า ดอกบัวอันงดงามจะบานสะพรั่งทุกครั้งที่เขาสวดมนต์
เมื่อเวลาผ่านพ้นไป มันจึงกลายเป็นดินแดนแห่งพระพุทธศาสนา ล้อมรอบด้วยทุ่งดอกบัวไร้ที่สิ้นสุด ไม่มีภยันอันตรายใดๆ จะกล้ำกรายเข้ามาได้
มีแค่ผู้มีลำดับชั้นในพระพุทธศาสนาและคนที่ตั้งสัจจะอธิษฐานทำการใหญ่เท่านั้นที่จะสามารถเข้าไปได้
เวลาหนึ่งร้อยปีไม่ใช่เวลาอันยาวนานนัก มันเท่ากับเวลาเพียงแค่ปีเดียวในนรก
ระยะนี้หงส์เพลิงสร้างเสียงซุบซิบนินทาเอาไว้มากเกินไป ดังนั้นการกักขังนางไว้เป็นเวลาหนึ่งร้อยปีเพื่อแก้ไขความคิดที่มีต่อพระพุทธศาสนาย่อมเป็นการดีกว่า
แต่สมเด็จกลับนึกไม่ถึงเลยว่าในวันที่ห้าหลังจากหงส์เพลิงเข้าไปภายในเขตหวงห้ามของพระอรหันต์นั้น ภพสวรรค์จะเปิดฉากท้าทายพระพุทธศาสนาอย่างกะทันหัน
ท่ามกลางหมู่เมฆที่ม้วนตัวเข้าหากันนั้น มีชายหนุ่มรูปร่างสูงเพรียวแต่งกายด้วยชุดเกราะสีดำสนิทตั้งแต่หัวจรดเท้ายืนอยู่ ปีศาจจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของเขา
เกิดความวุ่นวายขึ้นทั่วพระพุทธศาสนา และพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่แท้จริงก็ไม่ได้เข้ากับฝ่ายใด
นอกจากหงส์เพลิงแล้ว คนในพระพุทธศาสนาต่างก็ไม่ถนัดเรื่องการต่อสู้
แม้ว่าพระพุทธศาสนาจะยอมรับการท้าทายนั้น แต่สุดท้ายพวกเขาก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ไม่มีใครจากภพภูมิทั้งหกสามารถหยุดยั้งชายคนนี้ได้!
บรรดาพระอรหันต์ยืนอยู่บนก้อนเมฆ ณ ภูเขาซวีหมี
กระแสคลื่นแห่งความชั่วร้ายอันคาดไม่ถึงกวาดล้างพวกเขาจากทางท้องฟ้าราวกับพยายามบีบบังคับให้พระพุทธศาสนาส่งใครบางคนไปให้เขา
เทพจากภพสวรรค์ต่างก็รู้สึกสงสัยกับเหตุการณ์นี้เช่นกัน ”เกิดอะไรขึ้นกับพระพุทธศาสนาอีกหรือ พระพุทธศาสนาถูกโจมตีจนตกอยู่ในสภาพนี้ แล้วทำไมหงส์เพลิงถึงไม่ออกมาช่วยล่ะ”
ทันทีที่ได้ยินคำถามนี้ ชายหนุ่มก็เงยหน้าขึ้น มือของเขายังมีเลือดหยดอยู่ ดวงตาของเขากวาดมองไปในกลุ่มพระอรหันต์เหล่านั้น
แต่เขาก็หาร่างดั่งเปลวเพลิงที่มักถือดาบวงพระจันทร์ยืนอยู่แนวหน้าไม่เจอ
นางไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยงของพระพุทธศาสนาเมื่อคราวก่อนเช่นกัน
เขาคิดว่าการต่อสู้สักครั้งสองครั้งก็น่าจะเพียงพอแล้วที่จะล่อให้นางออกมา
แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีวี่แววของนางแต่อย่างใด
เขารู้มาตลอดว่านางเป็นคนประเภทที่จะตัดความสัมพันธ์ทั้งหมดทิ้งทันทีที่พวกเขาแยกทาง
แต่รู้แล้วจะมีประโยชน์อะไร ในเมื่อเขาไม่สามารถยับยั้งความรู้สึกโกรธนี้ได้ด้วยซ้ำ
ตี้จวินกำขวานในมือข้างหนึ่งแน่นพร้อมกับทะยานข้ามแสงแห่งพระพุทธคุณแล้วยื่นมือออกไปกำรอบคอของหนึ่งในพระอรหันต์ จากนั้นเขาจึงหัวเราะเย็นชาพร้อมกับพูดว่า ”อรหันต์หงส์เพลิงสุดที่รักของเจ้าไม่เป็นห่วงพวกเจ้าที่อยู่แนวหน้าหรือ คราวนี้พวกเจ้าวางแผนการอะไรเอาไว้อีกล่ะ เจ้าพยายามทำให้ภพสวรรค์ประมาทแล้วจะได้เอาชนะเราในเวลาที่เราคาดไม่ถึงที่สุดหรือ”
”ป.. เปล่าเลย…” พระอรหันต์เอ่ยอย่างยากลำบาก ”ตี้จวินขอรับ ภพสวรรค์กับพระพุทธศาสนาเป็นครอบครัวเดียวกันมาตลอด ไม่ว่าฝั่งไหนจะทรงอำนาจมากกว่ากัน พระพุทธศาสนาก็จะไม่มีวันเอ่ยถึงเรื่องนั้นขอรับ ส่วนพระอรหันต์หงส์เพลิง นางไม่ได้อยู่ที่นี่จริงๆ ขอรับ เมื่อห้าวันก่อนนางเดินทางเข้าไปในภพอรูปภูมิเพื่อบำเพ็ญเพียรครั้งยิ่งใหญ่ให้สำเร็จ-” เขาหายใจเข้า ”มีน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้ มัน.. มันจึงไม่น่าประหลาดใจแต่อย่างใดที่ตี้จวินจะเข้าใจพระพุทธศาสนา-” น้ำเสียงของเขาแหบแห้ง ”เข้าใจเจตนาของพระพุทธศาสนาผิดขอรับ!”
ทันใดนั้น!
ดวงตาของชายหนุ่มก็แปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ”เจ้าบอกว่านางเข้าไปที่ไหนนะ”
”ภพอรูปภูมิขอรับ” อรหันต์รู้สึกหวาดกลัวอย่างมากเมื่อเห็นสายตาที่อีกฝ่ายมองเขา ดังนั้นเขาจึงอธิบายต่อ ”ตี้จวิน ภิกษุมิอาจโป้ปดได้ เพื่อทำให้ต้นโพธิ์ได้กลายร่างเป็นมนุษย์ อรหันต์หงส์เพลิงจึงไปขอร้องกับสมเด็จขอรับ นางยอมวางดาบของตัวเองและสวดมนต์เป็นเวลาหนึ่งร้อยปีเพื่อแลกเปลี่ยนกับสิ่งนั้น”
”เพื่อทำให้ต้นโพธิ์ได้กลายร่างเป็นมนุษย์หรือ” ชายหนุ่มทวนคำพูด แล้วระเบิดหัวเราะออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย หมอกสีดำที่ไม่เคยมีมาก่อนซ่อนลึกอยู่ในดวงตาของเขา เพียงแค่เห็นหมอกสีดำไร้รูปร่างนั้น บรรดาปีศาจทุกตนก็ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว
อรหันต์ตกใจกับท่าทางของอีกฝ่ายจนพูดไม่ออก
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงสิ่งที่คนพูดกันก่อนหน้านี้ขึ้นมาได้ ว่ากันว่าสาเหตุที่ทำให้ตี้จวินยกทัพมาที่นี่เพื่อโจมตีพระพุทธศาสนาด้วยตัวเองนั้นมาจากการหายตัวไปของแม่มดสาว
ดังนั้นอรหันต์จึงรีบตะโกนขึ้นเสียงดังว่า ”ตี้จวิน ท่านต้องใจเย็นๆ นะขอรับ พระพุทธศาสนาไม่ใช่คนที่อยู่เบื้องหลังการหายตัวไปของแม่มดสาวนางนั้นจริงๆ!”
ไม่ว่าจะเป็นคนจากภพสวรรค์หรือพระพุทธศาสนา ทุกคนต่างก็ได้ยินคำพูดของเขาอย่างชัดเจน
ภพสวรรค์ตระหนักได้ทันทีว่ามีบางอย่างผิดปกติ ครั้งนี้พวกเขามาทำสงครามกับพระพุทธศาสนาก็จริง แต่พวกเขาก็นึกไม่ถึงว่ามันจะก่อให้เกิดปัญหาขึ้นมากมายถึงเพียงนี้
ที่เป็นเช่นนี้เพราะหากไม่มีพระพุทธศาสนาอยู่ในภพทั้งหก ความสมดุลในนรกจะลดน้อยลงอย่างมาก
ตี้จวินน่าจะรู้เรื่องนี้ดีเหมือนกัน อย่างไรมันก็เคยเป็นเรื่องเป็นราวกันมาก่อน
แต่ทำไมวันนี้เขาถึงทำเช่นนี้เล่า…
ไท่จื่อกลัวว่าสถานการณ์จะบานปลาย เขาจึงเดินเข้าไปข้างๆ ตี้จวินแล้วกระซิบใส่หูเขาว่า ”พอได้แล้วกระมัง พระพุทธศาสนายอมรับความพ่ายแพ้แล้ว พวกเราเองก็ควรจะถอนทัพกลับได้แล้ว ท่าน…”