องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 854
เป็นแม่นางเว่ยนั่นเอง!
ดวงตาของจูเก่ออวิ๋นเป็นประกายด้วยความตื่นเต้นทันที
ผู้ขับไล่วิญญาณร้ายคนอื่นๆ ต่างก็หยุดเคลื่อนไหวเช่นกัน ดวงตาของพวกเขาทุกคนต่างก็เป็นประกาย ดวงตาที่เคยสิ้นหวังและหมดกำลังใจเหล่านั้นดูราวกับถูกชุบชีวิตขึ้นมาอีกครั้ง พวกมันดูสดใสบาดตายิ่งนัก
”อ๊าก!” ลูกศิษย์คนนั้นร้องออกมาด้วยความเจ็บปวดพร้อมกับทรุดลงไปนั่ง เขามองคนที่จับข้อมือของตัวเองอยู่ด้วยดวงตาสั่นเทา พร้อมกับตะโกนขึ้นว่า ”เจ้าเป็นใคร!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกยิ้ม ดวงตาของนางงดงามอ่อนช้อย นางยืนอยู่ใต้แสงไฟ ร่างเพรียวสูงนั้นเต็มไปด้วยความสง่างามราวกับนางพญามาเอง จากนั้นนางจึงตอบว่า ”ข้าเป็นใครน่ะหรือ คุณหนูใหญ่ของเจ้าที่แสร้งทำว่าตัวเองเป็นหงส์เพลิงน่าจะรู้ดีที่สุด”
”เจ้า เจ้ากล้าดีอย่างไรถึงได้ดูถูกคุณหนูใหญ่ของพวกข้า! เป็นอย่างที่คิดไว้ไม่ผิด เจ้าต้องเป็นหนึ่งในคนของจูเก่ออวิ๋นแน่ๆ!” ลูกศิษย์คนนั้นพยายามจะลุกขึ้นยืน…
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับหรี่ตาและมองเขาด้วยสายตาทิ่มแทง พร้อมกับตะโกนขึ้นว่า ”เสี่ยวเฮย จัดการเขาซะ!”
หลังจากสิ้นสุดคำสั่งของนาง เงาสีดำขนาดมหึมาก็ปรากฏขึ้นจากสายหมอก เจ้าสิ่งนั้นราวกับจะสามารถบดขยี้ทุกอย่างให้เป็นผุยผงได้ มันสะบัดขนสีดำของตัวเองแล้วกระโจนเข้าใส่ลูกศิษย์คนนั้น!
นั่นมันตัวอะไรกัน!
ทุกคนทำตาโต พวกเขาเพิ่งจะได้เห็นเงามืดขนาดมหึมานั่นอย่างชัดเจนก็ในตอนนี้นี่เอง
มันเป็นสุนัขปีศาจสีดำที่สามารถจัดการคนสี่ห้าคนได้พร้อมกันในครั้งเดียว กรงเล็บของมันดูอันตรายเป็นอย่างยิ่ง สุนัขตัวนี้เหมือนกับผู้ส่งสาส์นจากนรกไม่มีผิด ดวงตาสีแดงที่จ้องมองมายังพวกเขาราวกับจะบอกว่ามันสามารถจบชีวิตของพวกเขาได้ทันทีที่พวกเขากระดิกตัวเพียงแค่นิ้วเดียว
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วเกินไปจนพวกเขาไม่มีกระทั่งโอกาสให้โต้ตอบด้วยซ้ำ
ก่อนที่พวกเขาจะทันได้ตั้งตัว กระบี่ไม้ท้อในมือของพวกเขาก็ถูกปัดหลุดออกจากมือ พวกเขารู้สึกได้ถึงบรรยากาศอันตรายที่แผ่ออกมาจากสุนัขสีดำตัวนั้นได้อย่างไม่ต้องสงสัย
ลูกศิษย์สองสามคนจากตระกูลหนีที่คิดจะจับตัวจูเก่ออวิ๋นต่างรู้สึกหวาดกลัวอย่างมาก เพราะพวกเขาไม่เคยเห็นสุนัขปีศาจที่ตัวใหญ่เช่นนี้มาก่อน
นอกจากนั้น สุนัขปีศาจตัวนี้ก็ไม่ได้เกรงกลัวกระบี่ไม้ท้อ และพลังวิญญาณของพวกเขาเลยแม้แต่นิดเดียว มันดูราวกับจะสามารถฉีกพวกเขาให้เป็นชิ้นๆ ได้อย่างง่ายดายด้วยการขยับศีรษะเพียงครั้งเดียว
แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาหวาดกลัวยิ่งกว่านั้นก็คือการที่สุนัขปีศาจตัวนั้นชักกรงเล็บกลับเพียงเพราะคำสั่งธรรมดาๆ จากอีกฝ่าย
”เอาล่ะ กลับมาได้แล้ว” เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม
เมื่อได้ยินคำสั่งนั้น สุนัขปีศาจสีดำก็กลับไปยืนข้างนางด้วยความว่องไว ขนสีดำยาวของมันเต็มไปด้วยความชั่วร้ายและน่าสะพรึงกลัว พร้อมกับหมอกสีดำอันไร้ที่สิ้นสุดที่กระจายออกมาจากร่าง มันดูทรงอำนาจอย่างมาก ใครก็ตามที่ได้เห็นดวงตาสีแดงชั่วร้ายนั้นย่อมสิ้นใจในทันที
แม้จะเป็นเช่นนั้น แต่นางกลับยืนยิ้มอยู่ตรงหน้าของมันพร้อมกับเสื้อคลุมที่ปลิวไสวไปตามลม ราวกับจอมเผด็จการที่สามารถฝึกสัตว์อสูรได้ทุกตัว
ถนนทุกสายในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายตกอยู่ในความเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าก้าวออกมาแม้แต่ก้าวเดียว
บรรดาผู้อาวุโสเหล่านั้นต่างรู้สึกได้ถึงภัยคุกคามที่พวกเขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน ทุกคนมองตรงเข้าไปในดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วถามว่า ”เจ้าเป็นปีศาจอะไรกันแน่”
”ปีศาจหรือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความเหยียดหยาม นางไม่สนใจผู้ขับไล่วิญญาณร้ายพวกนั้น แต่กลับจ้องมองดวงตาอันสั่นเทาของหนีเฟิ่งพร้อมกับพูดขึ้นว่า ”เจ้าคงผิดหวังน่าดูที่ข้ายังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม คุณหนูหนี”
หนีเฟิ่งแตกตื่นอยู่ครู่หนึ่ง แต่นางก็เก็บอาการกลับมาเยือกเย็นดังเดิมได้อย่างรวดเร็ว ผู้หญิงคนนี้ยังมีชีวิตอยู่แล้วอย่างไร?
ถ้าไม่มีพระสารีริกธาตุ นางก็เป็นได้แค่คนไร้ค่า
นางคิดว่าตัวเองยังเป็นหงส์เพลิงคนเดิมที่สามารถชำระล้างทะเลเลือดและดูแคลนภพภูมิทั้งหกได้หรือ
หึ!
ไม่ใช่อีกต่อไปแล้ว!
นางเป็นเพียงแค่คนธรรมดาที่ข้าสามารถฆ่าให้ตายได้อย่างง่ายดาย!
นางคิดจะสู้กับข้าในร่างของมนุษย์ธรรมดาหรือ
ถ้านางไม่มีความทรงจำของหงส์เพลิงอยู่กับตัว นางก็ไม่คู่ควรที่จะเป็นคู่มือของข้าด้วยซ้ำ!
ต่อให้นางได้พลังวิญญาณของตัวเองกลับคืนมา แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาย่อมเป็นเหมือนเดิม
ทันทีที่หนีเฟิ่งคิดได้เช่นนั้น นางก็เคลื่อนสายตาขึ้นแล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงอันชัดเจนว่า ”ข้าไม่รู้ว่าเจ้าพูดเรื่องอะไรอยู่ แต่เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายย่อมไม่มีวันปล่อยให้ปีศาจมีชีวิตอยู่ได้ ในเมื่อเจ้าเป็นฝ่ายเข้ามาข้างในด้วยตัวเอง เช่นนั้นก็อย่าคิดเลยว่าจะได้ออกไป!”
”ข้าบอกตอนไหนว่าข้าอยากออกไป” เฮ่อเหลียนเวยเวยมองนางอย่างเกียจคร้าน จากนั้นจึงเอ่ยขึ้นอย่างชั่วร้ายว่า ”ข้าจะไม่ไปไหนจนกว่าข้าจะสามารถทำลายเจ้าให้สิ้นซากได้”
หนีเฟิ่งไม่กลัวนางเช่นกัน นางพยายามบิดเบือนความจริงด้วยการพูดว่า ”สรุปว่าตัวการที่อยู่เบื้องหลังเรื่องทั้งหมดนี้ก็คือเจ้านี่เอง วิญญาณร้ายพวกนั้นใส่ร้ายป้ายสีข้าตามคำสั่งของเจ้าจริงๆ ด้วย! เจ้าคงวางแผนการนี้เอาไว้ตั้งแต่ตอนที่เจ้าเข้าไปในตระกูลจูเก่อแล้วล่ะสิ ตอนนี้พอมาคิดดูให้ดี เจ้าปฏิเสธที่จะเข้าร่วมกับตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้ายตระกูลอื่นๆ และเลือกที่จะเข้าร่วมกลุ่มของตระกูลจูเก่อเพราะเจ้าจะได้ทำตามแผนการที่วางไว้ได้โดยง่าย เจ้าคงรู้อยู่แล้วว่าตระกูลจูเก่อมีความบาดหมางกับตระกูลหนีมาเป็นเวลานาน ดังนั้นเจ้าย่อมสามารถควบคุมจิตใจของพวกเขาได้ง่ายขึ้น ช่างเป็นแผนการที่ดีจริงๆ แต่น่าเสียดายที่ข้าได้แสดงแสงแห่งพระพุทธคุณและพลังธรรมะของพระพุทธองค์ให้พวกเขาเห็นแล้ว ดังนั้นเล่ห์เหลี่ยมของเจ้าย่อมใช้ไม่ได้ผลอีกต่อไป ผลสุดท้าย… คนที่แพ้ก็ยังเป็นเจ้าอยู่ดี!”
หลังจากได้ฟังคำพูดของหนีเฟิ่ง เสียงสบถสาปแช่งฟังไม่ได้ศัพท์ก็ดังขึ้นรอบตัวนาง
”เรื่องเป็นเช่นนี้นี่เอง! ตระกูลจูเก่อสูญเสียมโนธรรมของตัวเองไปแล้วจริงๆ! พวกเขาปล่อยให้ตัวเองถูกปีศาจควบคุมและยังหลับหูหลับตาใส่ร้ายคุณหนูหนีอีกด้วย!”
”แค่จับพวกมันไปขังยังไม่ทำให้ความเกลียดชังที่ข้ามีต่อพวกมันลดน้อยลงเลยสักนิดเดียว คนเช่นนี้ไม่สมควรจะได้อยู่ในเมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายด้วยซ้ำ!”
”พวกมันถึงกับโกหกว่าคุณหนูหนีเป็นตัวปลอมเชียวนะ ในความคิดของข้า คนจากตระกูลจูเก่อก็เพียงแค่อิจฉาเท่านั้น! พวกเขาอิจฉาตาร้อนที่ตระกูลหนีแข็งแกร่งกว่าตระกูลจูเก่อ!”
”ทั้งหมดเป็นเพราะปีศาจตัวนี้! นางชั่วร้ายจริงๆ ที่หลอกลวงและเล่นกับจิตใจมนุษย์เช่นนี้! คุณหนูหนี เลิกเสียเวลาคุยกับคนคนนี้เถิดขอรับ พวกเรามาจัดการนางกันดีกว่า! เรามีกันทั้งหลายคน ไม่จำเป็นต้องกลัวพวกมันหรอกขอรับ!”
”เมืองแห่งผู้ขับไล่วิญญาณร้ายไม่มีวันไว้ชีวิตปีศาจร้าย หรือตระกูลจูเก่อที่ซ่อนปีศาจเอาไว้เช่นกัน แม้กระทั่งจะฆ่าพวกมันข้าก็ยังรู้สึกสะอิดสะเอียนเลย!”
ยิ่งคำพูดเสียดแทงจิตใจนั้นเข้ามาในหูของเขามากเพียงใด กำปั้นของจูเก่ออวิ๋นก็ยิ่งกำแน่นขึ้นเท่านั้น เขาเอ่ยว่า ”เจ้า… พวกเจ้าทุกคน…”
เขาอยากพุ่งเข้าใส่คนพวกนั้น แต่ก็ถูกมือของเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยื่นออกมาหยุดเอาไว้ในทันที
แตกต่างจากจูเก่ออวิ๋น เฮ่อเหลียนเวยเวยเพียงแค่ยืนอยู่ตรงนั้น แล้วเหลือบมองรอบตัวอย่างสงบ น้ำเสียงของนางแผ่วเบาในระหว่างที่นางกล่าวว่า ”พวกเจ้าพูดจบแล้วหรือยัง”
ทุกคนรู้สึกไม่พอใจกับท่าทางของนางอย่างยิ่ง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเผยรอยยิ้มออกมา และเสริมว่า ”พวกเจ้าคงชอบถูกหลอกใช้ แต่ข้าไม่ชอบเห็นคนเสแสร้งจอมปลอมเดินลอยหน้าลอยตาอยู่ที่นี่” นางเคลื่อนสายตาไปมองหนีเฟิ่งทันทีที่พูดจบ ดวงตาของนางกระจ่างใสและเฉียบคม ผมของนางปลิวอยู่ในสายลมขณะที่นางเยาะขึ้นว่า ”ดอกบัวทองคำ เจ้าคิดว่าอาศัยเพียงแค่ฝีมือและแสงแห่งพระพุทธคุณอันน้อยนิด แล้วเจ้าจะสามารถปลอมตัวเป็นข้าได้หรือ”