องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 87 ความทรงจำเลือนราง
“ได้” เวยเวยยักไหล่เพื่อบอกว่า ‘ไม่มีปัญหา’ เพราะไม่ว่าจะกินอาหารแค่หนึ่งมื้อ หรือสองมื้อก็คือการกิน อาหารอยู่ดี มันเป็นเพียงแค่การไปร่วมงานเลี้ยงฉากหนึ่งเท่านั้น ยิ่งจบเร็วเท่าไหร่ นางก็จะยิ่งมีสมาธิกับการเตรียมตัวสำหรับการทดสอบประลองยุทธ์ได้เร็วขึ้นเท่านั้น
ท่านปรมาจารย์ไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังคิดอะไรอยู่ หลังจากที่มองนางอยู่นาน เขาก็ลุกขึ้นยืนเสียงดัง “ศิษย์เอ๋ย เจ้าวางใจได้ แม้ว่าองค์ชายสามจะไม่เลือกเจ้า แต่ก็ยังมีชายสูงศักดิ์คนอื่นๆ ในงานเลี้ยงอยู่ดี หากทุกอย่างไม่ราบรื่น ชายหนุ่มจากตระกูลเฮยก็ไม่ได้เลวร้ายนัก”
“ลืมไปได้เลย ตอนนี้ ข้าไม่สนใจเรื่องการแต่งงานหรอก” เฮ่อเหลียนเวยเวยหัวเราะ พร้อมกับดันส่วนประกอบในมือ จนสร้างอาวุธชั้นยอดขึ้นมาหนึ่งชิ้น
อาวุธชิ้นนี้แตกต่างจากอาวุธชิ้นอื่นๆ อย่างเห็นได้ชัด มันทำจากวัสดุสีดำที่มีคุณภาพขนาดเท่าฝ่ามือ หลังจากประกอบให้เป็นรูปเป็นร่างแล้ว อาวุธชิ้นนี้ก็กลายเป็นเคียวที่มีเพียงเทพเจ้าแห่งความตายในนิทานเท่านั้นที่คู่ควรจะได้ครอบครองมัน มันดูน่ากลัวแต่ก็สง่างาม ความคมของใบมีดสามารถคว้านสิ่งของได้อย่างงดงามและเยือกเย็น ราวกับว่ามันดูถูกเหยียดหยามสิ่งมีชีวิตทุกชนิด แสดงให้เห็นถึงความเยือกเย็นของปีศาจและความตาย
เมื่อปรมาจารย์เห็นอาวุธชิ้นนี้ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย
“ปีกแห่งเทพราตรี ศิษย์เอ๋ย เจ้าคิดจะขายอาวุธชิ้นนี้ในราคาเท่าไหร่กัน ข้าจะให้ราคาที่สูงขึ้นอีก เจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า เจ้าสนใจจะขายมันให้ข้าหรือไม่”
เวยเวยเองก็รู้สึกพึงพอใจกับอาวุธชิ้นนี้ที่ตนเองสร้างขึ้นมาอย่างมาก นางยกมันขึ้นบนไหล่อย่างสบายๆ แล้วริมฝีปากของนางก็โค้งเป็นรอยยิ้ม “ท่านอาจารย์ ข้าไม่สามารถขายอาวุธชิ้นนี้ได้ ข้าจะมอบมันให้กับใครบางคน ท่านสามารถเลือกอะไรก็ได้ที่ท่านชอบจากที่เหลืออยู่นี้ได้เลย”
“ก็ได้” เขาแสดงออกว่าผิดหวังอย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม หาก ‘ปีกแห่งเทพราตรี’ อยู่กับเขา ก็ไร้ประโยชน์ เพราะเขาแก่แล้ว และไม่สามารถควบคุมอาวุธที่มีพลังทำลายล้างสูงเช่นนี้ได้อีกต่อไป ดังนั้น แทนที่สมบัติดีๆ เช่นนี้จะต้องอยู่ในร้านที่ฝุ่นเขรอะ เขาก็ควรให้มันไปอยู่ในมือของคนที่เหมาะสมจะดีกว่า
แต่เขาก็ไม่รู้ว่าทำไม ครั้งแรกที่เห็นอาวุธชิ้นนี้ เขาก็นึกถึงผู้ชายน้ำแข็งคนนั้นที่กำลังคัดเลือกพระชายาอยู่
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เขาก็ยังไม่รู้เลยว่าใครคือ ‘วิหคแดง’ กันแน่
ทุกวันนี้เขาคอยเฝ้าดูดวงดาวทุกคืน แต่ก็ยังไม่สามารถเดาได้ว่าแม่นางผู้นั้นเป็นใคร
“อาจารย์ ข้าขอตัวก่อน” เมื่อนิ้วของเวยเวยสัมผัสไปด้านข้าง กลไกของเคียวนั้นก็ราวกับถูกกระตุ้น มันพับเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ก่อนจะนอนอย่างสงบบนฝ่ามือของหญิงสาว
ปรมาจารย์มองด้านหลังของอีกฝ่ายที่กำลังเดินจากไป ก่อนจะส่ายศีรษะอีกครั้ง หากลูกศิษย์ของเขางดงามกว่านี้อีกสักหน่อยก็คงจะยอดเยี่ยมเลย เพราะหากเป็นเช่นนั้น แม้ว่าชายหนุ่มผู้เย็นชาคนนั้นจะไม่เต็มใจ แต่เขาก็จะสามารถส่งตัวลูกศิษย์คนโปรดคนนี้เข้าไปในวังได้อยู่ดี
แต่ตอนนี้ก็เป็นอย่างที่เห็น เฮ้อ
ปรมาจารย์ถอนหายใจยาว เขาหวังว่าในงานเลี้ยงคืนนี้ ลูกศิษย์คนโปรดของเขาจะไม่ถูกคนพวกนั้นอาฆาตมาดร้าย และทำตัวร้ายกาจใส่อีก…
ก่อนจะถึงช่วงค่ำ ภายในสำนักก็มีกิจกรรมมากมายเพื่อต้อนรับการเสด็จมาของอดีตฮ่องเต้ โคมไฟถูกจุดและแขวนไว้ทุกที่ แม้แต่ย่านการค้าเองก็ยังดูครึกครื้นเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ จิ้งอู๋วั่งถูกส่งตัวเข้าคุกไปแล้ว และการกลับมาของเจ้าสำนักตู๋ซูเฟิงก็ทำให้งานเลี้ยงทั้งหมดเต็มไปด้วยบรรยากาศของสำนักศึกษา
เห็นได้ชัดว่ารูปแบบงานหลังจากนั้น มีการยกระดับมากขึ้นกว่าเดิม
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้รีบไปร่วมงานเลี้ยงแต่อย่างใด นางยังไม่ได้แต่งตัวหรือแต่งหน้าใดๆ เลย หนำซ้ำ นางยังนัดเจอกับ ‘น้องชาย’ ของตนเองอีกด้วย นางยืนอยู่ใต้ต้นฮว๋ายด้วยท่าทีเกียจคร้านและอ้าปากหาว
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่ปลอมตัวเป็นศิษย์อีกครั้งปรากฏตัวขึ้นและเห็นฉากนั้น เขาก็ตรวจสอบตัวเองอีกทีว่าร่างกายของตนเองนั้นไม่มีกลิ่นเหล้าแล้ว จากนั้นก็เดินเข้าไป ก่อนจะพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย “มีเรื่องด่วนอะไรหรือ”
“หืม เจ้ามาถึงแล้วหรือ” ในเสี้ยวอึดใจหนึ่ง เวยเวยรู้สึกว่าน้ำเสียงของเขาฟังดูคุ้นเคยอย่างมาก แต่นางก็นึกไม่ออกว่าตนเองเคยได้ยินมาจากที่ไหน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยส่งเสียง ‘อืม’ แล้วสายตาที่มีเสน่ห์ดึงดูดใจคู่นั้นก็ตกลงบนริมฝีปากบางของนาง
นั่นทำให้เวยเวยนึกถึงการถูกจูบที่เกิดขึ้นในวังขององค์ชายสามเมื่อช่วงเย็นก่อนหน้านี้
นางรู้ดีว่าไม่มีใครรู้เรื่องนี้ แต่เวยเวยก็แอบรู้สึกเสียความมั่นใจเล็กน้อย นางหลบสายตาของเขาพร้อมกับควานหาของในกระเป๋า ก่อนจะหยิบสร้อยข้อมือสีดำออกมา แล้วโยนให้เขา “ลองดูสิ ข้าเคยสัญญากับเจ้าไว้ว่าจะทำอาวุธให้”
แม้ว่าเขาจะเป็นไป๋หลี่เจียเจวี๋ย แต่เมื่อเขาเห็นอาวุธชิ้นนี้ ดวงตาของเขาก็เผยประกายแสงบางอย่างออกมา เว้นแต่ว่าประกายแสงนั้นถูกซ่อนไว้ลึกเกินไป จนมีเพียงเขาเท่านั้นที่รู้
“มันเป็นของชิ้นเล็กๆ แล้วข้าต้องสวมมันไว้ที่ข้อมือของข้าหรือ” ชายคนนั้นแสร้งทำเป็นงุนงงขณะเอ่ยถาม
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม “กดปุ่มเล็กๆ ตรงด้านซ้ายของมันสิ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยให้ความร่วมมืออย่างมาก เขาทำตามที่นางบอก และทันใดนั้น เคียวสีดำที่ยาวเท่ากับความสูงของคนๆ หนึ่งก็ปรากฏขึ้นภายใต้แสงจันทร์
“นี่คือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเลิกคิ้ว
ริมฝีปากบางของเวยเวยโค้งขึ้น “ปีกแห่งเทพราตรี เมื่อข้าเห็นเจ้าครั้งแรก ข้าก็รู้สึกว่าอยากจะทำเคียวเช่นนี้ขึ้นมา อย่าดูถูกว่าอาวุธชิ้นนี้ไม่ได้ทำมาจากเงินเชียว จริงๆ แล้ว คุณภาพของวัสดุชิ้นนี้ก็ไม่ได้ด้อยไปว่าเงินเลยสักนิด เสี่ยวไป๋ช่วยข้าขุดโลหะออกมาจากป่าวิญญาณ ว่ากันว่ามันมีพลังที่สามารถดูดวิญญาณได้ดียิ่งกว่าเงินเสียอีก…”
“เจ้าจะมอบมันให้ข้าจริงๆ หรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพูดขัดจังหวะนางเสียงเบา
เฮ่อเหลียนเวยเวยกะพริบตารูปหงส์คู่สวยของตนเอง “ทำไมเล่า เจ้าไม่ชอบมันหรือ”
“เปล่า ข้าชอบมันมาก” ดวงตาลึกซึ้งของชายหนุ่มมองนางนิ่ง และทันใดนั้น เขาก็ยกมือเปิดผมหน้าม้าของอีกฝ่ายขึ้น จากนั้นก็เอนตัวเข้าไปประทับริมฝีปากบางของตนลงบนหน้าผากของหญิงสาว ริมฝีปากของเขาเผยให้เห็นถึงความร้ายกาจ “ขอบคุณผู้สนับสนุนทางการเงินสำหรับของขวัญชิ้นนี้ด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยจับหน้าผากของตนเอง และผลักตัวเขาออกไป “ทำอะไรน่ะ เจ้าไม่รู้กฎระเบียบของสำนักหรืออย่างไร” ครั้งก่อน ในห้องโถงเขาก็ทำให้ตัวเองกลายเป็นจุดเด่น แล้วก็ไม่ได้มีความเคลื่อนไหวใดๆ อีก แต่ครั้งนี้ ต่อให้เป็นการล้อเล่น เขาก็เล่นมากเกินไปแล้ว
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยิ้มอย่างเกียจคร้านพร้อมกับรับเคียวนั้นมาสวมที่ข้อมือของตนเอง “ข้าได้ขอบคุณสำหรับของขวัญชิ้นนี้แล้ว หรือท่านผู้สนับสนุนทางการเงินอยากได้รับความรู้สึกที่ลึกซึ้งยิ่งกว่านี้หรือไม่”
“เช่น การทุบเจ้าให้แหลกเป็นชิ้นๆ เช่นนั้นหรือ” เวยเวยก็หัวเราะออกมาด้วย ขณะที่หมุนข้อมือซ้ายของนาง ท่าทีนั้นดูราวกับเป็นปีศาจก็ไม่ปาน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยื่นมือของเขามากำรอบหมัดของนาง ก่อนที่ริมฝีปากบางของเขาจะอ้าออกราวกับต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง
แต่แล้ว จู่ๆ ก็มีเสียงเยาะเย้ยดังขึ้นมาจากระยะไกล
“ข้าเคยบอกแล้วอย่างไรเล่า ว่าคนบางคนที่ขี้ขลาดและคิดหมกมุ่นนั้น ไม่อาจอยู่ได้โดยไร้ผู้ชาย”
คนที่พูดก็คือเฮ่อเหลียนเหมย และด้านหลังนางก็มีเหล่าหญิงสาวผู้สูงศักดิ์ที่กำลังจะไปร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำเดินตามมาด้วย พวกนางต่างก็แต่งตัวมาอย่างงดงาม โดยเฉพาะเฮ่อเหลียนเจียวเอ๋อร์ที่สวมชุดสีขาวบริสุทธิ์ปักลายผ้าเป็นรูปดอกไม้กำมะหยี่สีทองเข้มและสีเงิน นางสวมเสื้อคลุมตัวนอกสีชมพูอ่อนทับบนชุดยาวนั้น ตรงระหว่างคิ้วของนางมีลายวาดเป็นรูปดอกชบาที่ละเอียดอ่อน เหมือนเป็นการบ่งบอกถึงความงดงามและอ่อนโยนของหญิงสาวประจำตระกูล
“อย่าไปรบกวนนางเลย คนอย่างนาง สมควรแล้วที่จะอยู่กับคนจากหอสามัญเช่นนี้”
“น้องเนี่ยพูดถูก อย่าไปรบกวนนางเลย มาพูดถึงเรื่องน่ายินดีกันดีกว่า เจ้าได้ยินข่าวหรือไม่ ในวังมีข่าวออกมาว่าวันนี้ อดีตฮ่องเต้ไม่ได้มาเพื่อคัดเลือกพระชายาให้กับองค์ชายสามเท่านั้น แต่ยังมาเพื่อจัดงานชมดอกไม้อีกด้วย คุณชายทุกคนจะเข้าร่วมงานด้วย และพวกเขาจะถือดอกอิงฮวา[1]สีขาวไว้ในมือเพื่อมอบให้หญิงสาวที่ตนเองชอบ”
“เมื่อถึงเวลานั้น ใครบางคนจะต้องทุกข์ใจอย่างแน่นอน เพราะนางจะไม่ได้รับดอกไม้แม้แต่ดอกเดียว แล้วนางจะไม่รู้สึกอับอายเกินไปหรอกหรือ”
คำพูดเยาะเย้ยถากถางนั้นดังมากขึ้นเรื่อยๆ จนผู้คนหัวเราะเยาะออกมาอย่างโจ่งแจ้ง “ถ้าเช่นนั้น คืนนี้ก็คงจะมีเรื่องสนุกๆ ให้ดูอีกน่ะสิ งานชมดอกไม้เมื่อปีที่แล้วก็มีใครบางคนเล่นตลกให้พวกเราได้ดูเช่นกัน จำได้หรือไม่ ฮ่าๆๆๆๆ…”
[1] ดอกซากุระ