องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 871 เสียงคำรามอันแจ่มชัดของหงส์เพลิง
น้ำเสียงอันตรายถึงชีวิตดังขึ้นเหนือพื้นดิน ”ทหาร ประจำที่”
ราชครูเงยหน้าขึ้นทันที แล้วดวงตาของเขาก็พลันเบิกกว้าง
นั่น นั่นมัน!
”ลงมือ” เฮ่อเหลียนเวยเวยขยับนิ้ว ดวงตาของนางใสกระจ่างราวกับคบเพลิง
อีกด้านหนึ่งนั้น ราชครูกลับทำหน้าเหมือนเขาเพิ่งเห็นศัตรูตัวฉกาจที่สุดในชีวิตเข้า ริมฝีปากของเขาสั่นระริกขณะที่เอ่ยว่า ”คาถาเก้าอักขระ.. มนุษย์ผู้นี้รู้จักคาถาเก้าอักขระได้อย่างไร!”
”ทหาร” ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกขึ้น ”เรียงแถว ต่อหน้าข้า…”
ราชครูคิดว่าเขาจะสามารถหนีไปจากที่นี่ได้ เพราะอย่างไรเขาก็เป็นปีศาจที่พัฒนาขึ้นมาจนไร้รูปลักษณ์ทางกายภาพ ตราบใดที่เขาไม่ได้เข้าใกล้ฝ่าบาทเกินไป เขาก็ยังพอมีโอกาสหนี
แต่เขาไม่สามารถซ่อนตัวได้ง่ายนักเมื่อมีผู้ขับไล่วิญญาณร้ายอยู่ที่นี่
ดูท่าว่าวันนี้ เขาคงต้องละทิ้งกายหยาบร่างนี้ไปเสียแล้ว
รอยยิ้มของเฮ่อเหลียนเวยเวยเหยียดกว้างขึ้นราวกับอ่านความคิดของเขาออก จากนั้นนางก็ยื่นมือออกไปข้างหน้า ”ปัดเป่า!”
ครืน!
ลำแสงพลังวิญญาณนับพันราวกับล่องลอยอยู่ใต้ฝ่าเท้าของนาง พวกมันรวมตัวเข้าหากันกลางอากาศกลายเป็นหงส์เพลิงที่ลุกโชติช่วงไปด้วยเปลวไฟ พร้อมกับพุ่งลงสู่พื้นด้วยพลังแห่งพระพุทธคุณ!
ราชครูตื่นตระหนกอย่างมากในเวลานี้!
สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือความหวาดกลัวอย่างท่วมท้นที่ปะทุขึ้นมาจากส่วนลึกของร่างกาย!
แสงนี้ เขาเคยเห็นมันเพียงครั้งเดียวตอนที่อยู่บนภูเขาปู้โจว!
มันไม่ใช่คาถาเก้าอักขระธรรมดา แต่เป็นเสียงคำรามอันแจ่มชัดของหงส์เพลิงจากบรรพกาล!
มันจบสิ้นแล้ว!
ครั้งนี้ เขาคงถึงคราวจบสิ้นแน่แล้ว!
ก่อนที่ราชครูจะทันได้อ้าปาก ร่างกายของเขาก็พลันถูกลำแสงแห่งพระพุทธคุณแทงทะลุไปทั้งร่าง ความเจ็บปวดจากการถูกไฟแผดเผานั้นค่อยๆ ลามจากหน้าอกไปจนถึงส่วนที่เหลือของร่างกาย ทุกตารางนิ้วในร่างของเขาลุกเป็นไฟสว่างไสว
ทหารทุกนายตาโตเมื่อเห็นร่างร่างหนึ่งโผล่ออกมาจากร่างของราชครูที่พวกเขาเคยให้ความเคารพยกย่อง ร่างนั้นน่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง เสื้อคลุมที่เขาสวมอยู่ยังเปียกชุ่มและมีน้ำหยดลงมา อีกทั้งใบหน้านั้นก็ยังชั่วร้ายราวกับพ่อมดหมอผี!
อ๋าวเจียงที่ยืนอยู่ติดกับเขากลัวจนหน้าเปลี่ยนสีเมื่อเห็นภาพนี้ ขาของเขาอ่อนยวบจนแทบทรุดลงไปกับพื้น
ทหารที่เหลือดูหวาดกลัวยิ่งกว่าเขาเสียอีก ไหล่ของพวกเขาสั่นเทาด้วยความกลัว พวกเขาต่างกังวลว่าร่างเงาร่างนั้นจะกระโจนใส่พวกเขาเอาได้
แต่สิ่งที่พวกเขากังวลก็ไม่ได้เกิดขึ้น
เพราะทันทีที่ร่างนั้นลอยขึ้น มันก็ถูกเปลวไฟของหงส์เพลิงทำลายจนไม่เหลือซาก
มันพยายามดิ้นรนเป็นเฮือกสุดท้ายก่อนตายอย่างสิ้นหวังด้วยการเปล่งเสียงคำรามอันเจ็บปวดออกมาจากลำคอ
แต่ไม่ว่ามันจะพยายามดิ้นรนเพียงใด ก็หนีไม่พ้นจากชะตากรรมและถูกจับจนได้!
ลำแสงแห่งพระพุทธคุณมีความรวดเร็วอย่างมาก ดังนั้นสิ่งเดียวที่ทุกคนได้ยินจึงมีแค่เพียงเสียงร้องโหยหวนแห่งความเสียใจที่วิญญาณร้ายเปล่งออกมาเท่านั้น!
”ข้าไม่อยากเชื่อเลยว่าราชครูจะเป็นสิ่งชั่วร้ายที่คิดร้ายต่อเมืองหลวง!” ประชาชนต่างตื่นตระหนกขณะมองสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความหวาดกลัว จากนั้นจึงสวดมนต์ขึ้นมาว่าอมิตาพุทธ ”โชคดีที่พระชายาสามของเราอยู่ที่นี่ เจ้าเห็นสิ่งที่นางทำเมื่อครู่หรือเปล่า ตอนที่นางหงายมือขึ้น นางดูเหมือนกับเทพธิดาที่กลับชาติมาเกิดไม่มีผิดเลย!”
”พระอรหันต์ที่มีชีวิต! นางต้องเป็นพระอรหันต์ที่ยังมีชีวิตอยู่ตัวจริงเสียงจริงไม่ผิดแน่!”
”ช่างเป็นบุญของพวกเราจริงๆ ที่มีพระชายาสามอยู่!”
ในขณะที่ประชาชนทุกคนกำลังพูดคุยกันถึงเรื่องนั้น พวกเขาก็ตะโกนขึ้นมาอีกครั้งอย่างอดไม่ได้ว่า ”ขอพระชายาสามจงทรงพระเจริญหมื่นปีหมื่นหมื่นปี!”
เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนใจกว้างมาแต่ไหนแต่ไร ดังนั้นนางจึงบอกให้ทุกคนลุกขึ้นยืน
จากนั้นนางก็ชักมือกลับมา แล้วเอ่ยเสียงเบาว่า ”วิธีนี้คงช่วยให้เราสามารถประหยัดอาหารจานพิเศษให้กับลูกๆ ได้”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั่งอยู่ข้างนาง เขาขมวดคิ้วขึ้นทันทีที่ได้ยินคำพูดเช่นนี้
ทารกที่ตัวใหญ่กว่าขยับมือและเท้าของตัวเองอย่างเย็นชา
เฮ่อเหลียนเวยเวยลูบท้องตัวเองเบาๆ และหัวเราะออกมา ”ลูกๆ ดูเหมือนจะชอบทีเดียว”
องค์ชายรู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทุกครั้งที่เห็นผู้หญิงของตัวเองทุ่มความสนใจให้กับคนอื่นนอกจากเขา เขายื่นมือออกไปดึงเฮ่อเหลียนเวยเวยเข้ามากอดแล้วเย้ยหยันกับหน้าท้องของนางว่า ”นอกจากเรื่องกินแล้ว เจ้าตัวเล็กพวกนี้รู้จักเรื่องอื่นด้วยหรือ”
ทารกที่ตัวโตกว่าหรี่ดวงตาแดงก่ำราวกับเลือดของตัวเองลง แล้วหันหน้าไปทางทารกที่ตัวเล็กกว่าพร้อมกับพูดว่า ”ข้าว่าช่วงนี้ข้าคงใจดีกับท่านพ่อของพวกเรามากเกินไป”
ทารกที่ตัวเล็กกว่าถอนหายใจ แล้วลืมตาขึ้นช้าๆ ”ท่านพี่ เชื่อข้าเถอะขอรับ นั่นเป็นเพียงจินตนาการของท่านเท่านั้น”
”หืม” น้ำเสียงของทารกที่ตัวโตกว่าเปลี่ยนเป็นเย็นชา แต่ก็ฟังดูนุ่มนวล ”เอาเถอะ เดี๋ยวพวกเราก็จะได้ออกไปแล้ว เมื่อถึงเวลานั้น ข้าจะทำให้ท่านพ่อของพวกเราได้รู้ว่านอกจากเรื่องกินแล้ว ข้ายังสามารถสู้กับเขาได้อีกด้วย”
ทารกที่ตัวเล็กกว่า :… ทำไมมันถึงรู้สึกว่าตัวเองต้องคอยรับฟังปัญหาของท่านพี่อยู่เรื่อยเลยนะ
”ตอนนี้สุขภาพของเจ้าก็ดีขึ้นมากแล้ว พี่ชายจะได้ออกไปหาอาหารตอนกลางคืนได้สักที เอาไว้ข้าจะจับวิญญาณมาให้เจ้าเล่นด้วยสักสองสามตัวก็แล้วกัน” ทารกที่ตัวโตกว่าพูดพร้อมกับกอดทารกที่ตัวเล็กกว่าอย่างเอาแต่ใจ แต่เขาก็ยังดูเท่ยิ่งนัก!
ทารกที่ตัวเล็กกว่าพยักหน้า ”ขอรับ”
เด็กทั้งสองยังคงดูรักกันเหมือนอย่างเคย
แต่สิ่งที่เกิดขึ้นด้านนอกนั้นกลับไม่ได้สงบสุขเท่าใดนัก
ใต้เท้าเว่ยเป็นคนขี้ขลาด ยังไม่ทันที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะได้ถามอะไรกับเขา เขาก็คลานคุกเข่าเข้ามาร้องขอความเมตตาจากอีกฝ่ายเสียแล้ว ”องค์ชาย กระหม่อมรู้ถึงความผิดของตัวเองดีพ่ะย่ะค่ะ ครั้งนี้กระหม่อมรู้ซึ้งแล้วจริงๆ พวกกระหม่อมไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการหาเงินเข้าตัวก็จริง แต่กระหม่อมก็ไม่กล้าแตะต้องพวกมันแม้แต่น้อย พวกมันยังอยู่ที่จวนของกระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ เห็นแก่ที่กระหม่อมรับใช้ราชสำนักมาหลายปี องค์ชายได้โปรดไว้ชีวิตกระหม่อมด้วยเถิด!”
หลังใต้เท้าเว่ยพูดจบ เขาก็โขกศีรษะลงกับพื้นอีกครั้ง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้มองเขา แทนที่จะเป็นเช่นนั้น ดวงตาของเขากลับจับจ้องอยู่ที่อ๋าวเจียง แล้วเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจว่า ”เจ้าเป็นคนพาทหารทั้งหมดนี้มาหรือ”
เวลานี้อ๋าวเจียงกลัวจนทำอะไรไม่ถูก เขาตัวสั่นไปทั่วร่างเพราะสูญเสียกำลังสนับสนุนไป เขาอยากร้องขอความเมตตาให้ตัวเองเหมือนอย่างที่ใต้เท้าเว่ยทำ ดังนั้นเขาจึงโขกศีรษะลงพื้นอย่างแรงเช่นกัน ”พ่ะย่ะค่ะ แต่กระหม่อมนึกไม่ถึงว่าคนที่เข้าเมืองมาจะเป็นองค์ชาย กระหม่อมคิดว่า…”
ก่อนที่เขาจะทันได้พูดจบ อ๋าวเจียงก็เห็นองค์ชายหรี่ตาลง ดวงตาล้ำลึกคู่นั้นราวกับมีบางอย่างส่องประกายอยู่ในนั้น มันสามารถกัดกินเส้นประสาทของคนที่เห็นได้เลยทีเดียว
อ๋าวเจียงรู้สึกเพียงแน่นหน้าอกเหมือนจะระเบิด ความรู้สึกนี้เจ็บเสียจนทำให้ใบหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นสีขาวซีด
ตอนนั้นเอง เขาถึงเพิ่งตระหนักได้ว่าองค์ชายสามารถใช้กำลังภายในฆ่าเขาได้โดยไม่ต้องขยับนิ้วด้วยซ้ำ
โครม!
ร่างของเขาถูกพลังปริศนาอันไร้ที่มานั้นกระแทกจนกระเด็นไปอย่างแรง
เลือดไหลทะลักออกมาจากปากของอ๋าวเจียงกับใต้เท้าเว่ย พวกเขานอนราบอยู่บนพื้นเพราะแขนขาหัก
ความแตกต่างเดียวที่มีคือเส้นเลือดของคนหนึ่งในนั้นแตกในขณะที่อีกคนยังหายใจอยู่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะอย่างเย็นชาพร้อมกับเอ่ยว่า ”ที่นี่คืออาณาเขตของข้า ใครก็ตามที่ยกทัพเข้ามาจะต้องตาย”
คำว่า ’ตาย’ นั้น ทำให้เหล่าทหารที่เพิ่งยอมจำนนยิ่งรู้สึกหวาดกลัวไปถึงขั้วหัวใจ
เมื่อได้ยินดังนั้น อ๋าวเจียงก็ไม่สามารถทนความเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสที่แล่นพล่านไปทั่วร่างได้ ศีรษะของเขาเอียงไปด้านข้าง จากนั้นเขาก็หยุดหายใจไปทันที
หลังจากการปะทะกันสิ้นสุดลง ก็ไม่มีใครกล้าหยุดรถม้าเอาไว้อีก ทหารที่ได้รับการฝึกฝนมานับพันนายถอยทัพกลับไป เพื่อเปิดทางให้พวกเขามุ่งหน้าสู่วังหลวงโดยทันที
นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา
ไม่ว่าจะเป็นจักรวรรดิจ้านหลง หรือเมืองอื่นนอกเหนือจากนี้
ต่างก็ไม่มีใครกล้ายกทัพเข้ามาในเมืองหลวงอีก
เพราะทุกคนไม่เคยลืมว่าในวันนั้นองค์ชายสามแห่งจักรวรรดิจ้านหลงสังหารอ๋าวเจียงด้วยวิธีใด
อ๋าวเจียงไม่เพียงแต่เป็นทหารฝีมือดี แต่เขายังมีทักษะด้านการวางกลยุทธ์และเก่งเรื่องภูมิศาสตร์อีกด้วย
แต่องค์ชายสามก็ยังฆ่าเขาได้โดยไม่กะพริบตา
ไม่มีใครกล้าเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงเช่นนี้ ถึงพวกเขาจะเป็นมิตรกับไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้ แต่ก็อย่าได้เป็นศัตรูกับเขาเลย…