องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 877 ลูกคลอดแล้ว
คนส่วนมากยังไม่สามารถพูดคำว่า ’ข้าจะรับผิดชอบเจ้าอย่างเต็มที่’ ออกมาเหมือนอย่างที่พระชายาพูดได้เลยด้วยซ้ำ
แต่พระชายากลับพูดเช่นนั้นด้วยความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยม
ที่ด้านนอกของห้องทรงอักษรทางทิศใต้ ผู้คนในวังหลวงต่างมองดูร่างสองร่างที่นั่งเคียงกันอยู่นั้น คนหนึ่งโอบอีกคนจากทางด้านหลังพร้อมกับพู่กันในมือ ใบหน้าด้านข้างของพวกเขาดูงดงามชวนมองเป็นพิเศษเมื่ออยู่ใต้แสงแดด
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่สามารถนั่งนิ่งๆ ได้อีกต่อไป นางยกฝ่ามือข้างซ้ายขึ้นมาเท้าคางอย่างเกียจคร้านขณะลากพู่กันนั้นด้วยความระมัดระวังอย่างมาก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยใช้นิ้วเคาะศีรษะของนางพร้อมกับกล่าวว่า ”ลายมือเจ้าเหมือนถูกสุนัขนอนทับไม่มีผิด สมัยนั้นเจ้าอ่านพระไตรปิฎกออกได้อย่างไร คนในพระพุทธศาสนาเขาเขียนหนังสือกันแบบนี้หรือ”
”ท่านเคยเห็นข้าอ่านพระไตรปิฎกมาก่อนหรือเปล่าล่ะ” เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งเสียงฮึมฮัมอยู่ในลำคอ ”ตอนนั้นพระอาทิตย์สว่างจ้าเกินไปจนข้านอนไม่หลับ ข้าก็เลยเอาพระไตรปิฎกมาปิดหน้าต่างหาก ข้ามั่นใจว่าท่านคงไม่เคยเห็นข้าตอนที่อยู่ในพระพุทธศาสนาเป็นแน่”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้พูดอะไร แต่กลับเผยยิ้มขึ้นแล้วบีบอุ้งมือของนางอีกครั้ง
ความจริงแล้ว จะว่าเขาไม่เคยเห็นภาพนั้นมาก่อนก็ไม่ถูก
นางเป็นคนเดียวในพระพุทธศาสนาที่กล้าทำตัวเช่นนั้น ทุกครั้งที่เขาไปที่นั่น เขาจะต้องเห็นนางถือพระไตรปิฎกไว้เป็นเกราะกำบังเสมอ
นางคงคิดว่าไม่มีใครสังเกตเห็นตอนนางทำเช่นนั้น
พูดอีกอย่างก็คือ หงส์เพลิงผู้หยิ่งผยองนั้นแท้จริงแล้วเป็นเพียงแค่สิ่งมีชีวิตตัวน้อยที่รักการนอนและขี้เกียจสุงสิงกับคนอื่นนั่นเอง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา เขาก็คิดมาตลอดว่าเขาไม่ควรปล่อยเจ้าตัวเล็กนี่เอาไว้ในพระพุทธศาสนา นางควรจะอยู่ในที่ที่เขาสามารถเฝ้ามองนางได้ตลอดเวลามากกว่า
และจะยิ่งสมบูรณ์แบบถ้าเขาได้เป็นคนเลี้ยงดูนาง
อันที่จริงก็เป็นไปตามที่เขาต้องการอย่างไม่ผิดเพี้ยน
หงส์เพลิงที่อยู่ในอ้อมแขนของเขาคู่ควรให้เขาเลี้ยงดูเป็นที่สุด
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะออกมาเบาๆ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เข้าใจเหตุผลเบื้องหลังเสียงหัวเราะนั้น นางจึงขมวดคิ้วด้วยความสับสน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยดึงนางเข้ามากอดอีกครั้งพร้อมกับออกคำสั่งว่า ”เขียนต่อได้แล้ว เจ้าเป็นคนบ่นเองมิใช่หรือว่าเราต้องพัฒนาเรื่องการอบรมทารกในครรภ์ให้ดีขึ้น ลูกๆ ของข้าในอนาคตจะเขียนหนังสือน่าเกลียดเหมือนเจ้าได้อย่างไร”
”นี่ การอบรมทารกในครรภก์ก็อยู่ส่วนการอบรมทารกในครรภ์สิ ท่านไม่เห็นต้องโจมตีข้าเป็นการส่วนตัวเช่นนี้ตลอดเวลาก็ได้” เฮ่อเหลียนเวยเวยท้วงด้วยความตลกขบขัน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกระตุกริมฝีปากขึ้น ก่อนจะกล่าวว่า ”ข้าก็แค่กำลังใช้ตัวอย่างที่เห็นได้ทั่วไปอบรมพวกเขาอยู่ก็เท่านั้น เขาจะได้จดจำได้ว่าลายมือของเจ้าน่าเกลียดขนาดไหน หวังว่ามันจะกลายเป็นเครื่องเตือนใจให้พวกเขาตั้งใจเรียนกันมากขึ้นหลังจากเกิดมาแล้ว”
เฮ่อเหลียนเวยเวย : …
เขาฟังดูมีเหตุผลจนนางไม่สามารถคัดค้านได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าองค์ชายกลั่นแกล้งนางเพื่อความบันเทิง ดังนั้นนางจึงไม่คิดที่จะนำเรื่องนี้มาใส่ใจ นางหันหน้ากลับไป นั่งหลังตรง แล้วเขียนพู่กันต่อโดยมีไป๋หลี่เจียเจวี๋ยป้อนของกินให้
วันเวลาของทั้งสองในห้องทรงอักษรทางทิศใต้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันสำหรับพวกเขา และไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยังเป็นคนเผด็จการเหมือนอย่างเคย
ทุกวันนี้ เวลาที่เขาจัดการกับราชโองการต่างๆ เขามักจะถือพวกมันไว้ในมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งก็ป้อนอาหารให้กับเฮ่อเหลียนเวยเวย หรือไม่ก็จะพานางไปทำกายภาพบนเตียง
การทำเช่นนี้ย่อมทำให้ชีวิตการตั้งครรภ์ของนางสะดวกสบายขึ้น
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว และแล้วเดือนมีนาคมก็มาถึง ทั่วทั้งวังหลวงต่างก็เริ่มสัมผัสได้ถึงบรรยากาศของฤดูใบไม้ผลิ
วันหนึ่ง เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังนั่งศึกษาอาวุธชิ้นใหม่ของนางอยู่ข้างไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ขณะที่นางกำลังคิดหาวิธีนำดินปืนมาผสมกับอาวุธจำพวกของมีคมอยู่นั้น จู่ๆ นางก็รู้สึกปวดท้องขึ้นมา
เสียงฟ้าร้องจากทัณฑ์สายฟ้าสวรรค์นับสิบดังผ่านก้อนเมฆลงมาพร้อมกับแสงแห่งพระพุทธคุณและเปลวเพลิงร้อนระอุ
ภาพอันเลือนรางที่ปกติจะปรากฏขึ้นเฉพาะในภูเขาซวีหมีพลันปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์
คนทุกคนในเมืองหลวงต่างเดินออกมาจากบ้าน แล้วแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้าที่แทบจะหาความสงบไม่ได้นั้น
ทั้งในและนอกวังหลวงต่างก็ตกอยู่ในความชุลมุนวุ่นวายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
อ่างใส่น้ำร้อนถูกสาวใช้ประจำวังหลวงนำเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่หมอหลวงทุกคนเดินวนไปวนมาอยู่นอกห้องบรรทมอย่างใจจดใจจ่อ
แม้แต่พระอาจารย์จากวัดหลิงอิ่นก็ยังถูกนิมนต์มาที่เมืองหลวง
แสงแห่งพระพุทธคุณส่องสว่างไปทั่วห้อง หมอหลวงที่รับหน้าที่ทำคลอดให้นางพึมพำออกมาเบาๆ ว่า ’อมิตาพุทธ’ ทันทีที่เห็นภาพนี้
พูดตามตรงว่าพวกเขาตกอยู่ในสภาพสับสนงุนงงอย่างมาก แต่ตัวตนขององค์ชายสามที่อยู่ข้างเตียงก็ทำให้พวกเขาไม่สามารถทำงานล่าช้าได้
แต่ลึกลงไปในใจนั้น นางคิดว่าการคลอดโอรสของพระชายาในครั้งนี้เป็นเรื่องมหัศจรรย์อย่างยิ่ง
แม้จะเป็นในวัด นางก็ยังไม่เคยเห็นแสงแห่งพระพุทธคุณมากมายมหาศาลเช่นนี้มาก่อน
หมอหลวงฝืนข่มความตกใจของตัวเองพร้อมกับเตรียมผ้าสำลีและกรรไกรที่ต้องใช้ในภายหลังด้วยนิ้วมืออันสั่นเทา
เมื่อการเตรียมการใกล้จะเสร็จสิ้น นางกำนัลที่ยืนอยู่ข้างๆ จึงเอ่ยขึ้นเบาๆ ว่า ”องค์ชาย ได้เวลาที่ท่านต้องออกไปแล้วเพคะ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหันหน้ากลับไปทางนาง แล้วเอ่ยขึ้นเพียงว่า ”ไสหัวไป”
น้ำเสียงนั้นเย็นชาอย่างมาก มันไม่มีร่องรอยแห่งความอบอุ่นอยู่เลยแม้แต่นิดเดียว
สาวใช้ประจำวังหลวงกลัวจนไม่กล้าเปิดปากพูดอีกครั้ง
หมอหลวงไม่รู้ว่าจะเกลี้ยกล่อมองค์ชายอย่างไรเหมือนกัน หากว่ากันตามเหตุผลแล้ว เวลาที่พระชายาที่อยู่ในวังหลวงจะคลอด องค์ชายทุกคนต่างก็ไม่เคยอยู่ตรงนั้นเพราะพวกเขากลัวว่าเลือดสกปรกจะทำให้สายเลือดขัตติยะของราชวงศ์ต้องมัวหมอง
แต่เห็นได้ชัดว่าในเวลานี้ ไม่มีใครสามารถทำให้องค์ชายสามออกไปจากห้องได้
หมอหลวงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องทำงานต่อ…
แต่ตอนนั้นเองที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเริ่มพูดออกมา ดวงตาของนางจับจ้องอยู่ที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ย น้ำเสียงอันอ่อนล้าของนางเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะ ”ท่านไปรออยู่ข้างนอกได้หรือเปล่า ข้าไม่อยากให้ท่านเห็นข้าในสภาพเช่นนี้”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเข้าไปในดวงตาของนางอย่างเคร่งเครียด แล้วจึงยื่นมือออกไปปัดปอยผมสีดำให้ออกไปจากหน้าของนาง จากนั้นเขาก็จูบริมฝีปากของนางเบาๆ แม้มันจะเป็นเพียงแค่การสัมผัส แต่ก็เพียงพอแล้วที่จะพิสูจน์ให้เห็นว่าเขากำลังพยายามควบคุมตัวเองเพียงใด ”เข้าใจแล้ว”
สุดท้ายเขาก็ยอมทำตามที่นางขอ
แต่คำสั่งของเขาทำให้ทุกคนรู้สึกเสียวสันหลังยิ่งกว่าครั้งใด ”ดูแลพระชายาให้ดี ถ้ามีเรื่องร้ายอันใดเกิดขึ้นกับนาง เจ้ามั่นใจได้เลยว่าพวกเจ้าทุกคนจะได้ถูกฝังไปพร้อมกับนางแน่นอน”
หมอหลวงพยักหน้าด้วยความหวาดกลัว พวกนางดูแลเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นพิเศษ
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้รู้สึกไม่สะดวกใจแต่อย่างใด นางกัดผ้าสีขาวไว้ในปาก และสวมเสื้อผ้าไว้อย่างหลวมๆ
ใครสักคนตัดกระโปรงของนางออก เสียงนั้นดังก้องไปทั่วบรรยากาศ
”พระชายาเพคะ พยายามอีกนิดเพคะ ใช่เพคะ ใช่แล้ว…” เสียงของหมอหลวงสะท้อนอยู่ในหูของนาง
เฮ่อเหลียนเวยเวยปรับลมหายใจและกำลังตามความรู้ทางการแพทย์ที่นางเคยเรียนสมัยอยู่ในโลกยุคปัจจุบัน ทุกครั้งที่นางออกแรง นิ้วของนางจะจิกกับผ้าปูที่นอนแน่น!
ในที่สุด นางก็ได้ยินหมอหลวงพูดขึ้นว่า ”ศีรษะออกมาแล้วเพคะ ศีรษะออกมาแล้ว! ตัวก็ออกมาใกล้หมดแล้วเพคะ!”
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น เฮ่อเหลียนเวยเวยก็กัดริมฝีปากของตัวเองแล้วเบ่งสุดแรง!
ขนนกสีดำค่อยๆ ลอยลงมา ราวกับต้อนรับทารกเจ้าของดวงตาสีแดงที่ถูกหมอกล้อมรอบเอาไว้!
แต่ในเวลานั้นเขายังไม่ได้ลืมตา ใบหน้าเล็กๆ สีแดงระเรื่อนั้นจึงทำให้ทุกคนหลงคิดไปว่าเขาเป็นเทวดาองค์น้อยที่สวรรค์ส่งมาเกิด
”พระชายา เป็นองค์ชายเพคะ ท่านได้องค์ชายน้อยเพคะ!” น้ำเสียงยินดีของหมอหลวงคล้ายจะแผ่ไปทั่วบรรยากาศ ทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มอย่างอ่อนโยนพร้อมกับเอียงคอเล็กน้อย
ทารกคนนั้นเชื่อฟังอย่างมาก เขาดูดนิ้วหัวแม่มือของตัวเองอยู่เงียบๆ ไม่เหมือนทารกคนอื่นๆ ที่จะร้องไห้เสียงดังทันทีที่เกิด
ตรงกันข้าม เขากลับยิ้มกว้างอย่างไม่กลัวเกรง ราวกับกำลังเย้ยหยันเทพเจ้าและพระอรหันต์อยู่ไม่มีผิด…