องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 879 ความบ้าคลั่งขององค์ชาย
ไม่มีใครสังเกตเห็นเลยว่าในขณะที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยกำมือแน่นอยู่นั้น การกระทำของเขาจะทำให้เกิดหมอกสีดำจางๆ ปรากฏขึ้นในทุกซอกทุกมุมของวังหลวง
หมอกสีดำพวกนั้นดูน่าสะพรึงขวัญเป็นอย่างมาก เพราะพวกมันกำลังพยายามหดตัวเข้าหากันเป็นทรงกลม พวกเขาไม่เคยเห็นชายหนุ่มเดือดดาลเช่นนี้มาก่อน ดังนั้นพวกเขาจึงไม่กล้าพูดอะไรออกมาแม้แต่คำเดียว และทำได้เพียงแค่อดทนต่อความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นในอกนี้เท่านั้น สิ่งเดียวที่พวกเขาสามารถทำได้คือการจ้องมองไปที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพร้อมกับจินตนาการสิ่งที่เขาอาจจะทำต่อจากนี้ด้วยความหวาดกลัว
ในฐานะสัตว์พาหนะของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย กิเลนอัคคีและชิงหลงย่อมสามารถสัมผัสถึงจิตสังหารอันรุนแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนนี้ได้
พวกมันเผยร่างจริงออกมาและลอยอยู่เหนือวังหลวง
ทันทีที่กิเลนอัคคีลอบมองไปที่ห้องห้องนั้น มันก็พอจะเดาออกว่าเกิดอะไรขึ้น สีหน้าของมันเปลี่ยนไปทันที!
มันเคยคิดอยู่เหมือนกันว่าหากถึงเวลาที่เจ้านายตัวน้อยเกิด ความเชื่อมโยงระหว่างเฮ่อเหลียนเวยเวยกับโลกนี้อาจจะถูกตัดขาด
แต่กิเลนอัคคีไม่เคยคิดเลยว่ามันจะสร้างความไม่สบายใจให้เขาถึงเพียงนี้เมื่อเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นจริงๆ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนตัวแข็งอยู่ท่ามกลางความมืดนั้นไม่สนว่าผู้คนที่อยู่รอบตัวจะส่งเสียงหวีดร้องออกมาอย่างไร
เขาดูเหมือนจะไม่ได้ยินอะไรเลยสักนิดเดียว ในเวลาเดียวกันนั้น นิ้วของเขาก็จิกเข้าหากันจนเลือดซึมออกมา
เขาไม่เคยทำร้ายตัวเองเช่นนี้มาก่อน
หมอหลวงยังตั้งสติกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้ แต่ลึกลงไปนั้น พวกเขาต่างรู้สึกได้ถึงความหวาดกลัวอย่างมหาศาล
ในที่สุดไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ขยับตัว เขายกมือเปื้อนเลือดนั้นขึ้นมาปิดหน้าตัวเอง เสียงหัวเราะอันบิดเบี้ยวที่ถูกกลั้นไว้ดังออกมาจากลำคอของเขา
”ข้าเคยบอกแล้วมิใช่หรือว่าไม่มีใครสามารถพรากนางไปจากข้าได้”
เสียงหัวเราะแหบพร่านั้นค่อยๆ เลือนหายไปพร้อมกับเสียงของเขา
หินอ่อนที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของชายหนุ่มปรากฏรอยร้าวให้เห็นอย่างชัดเจนจากพลังอันไม่อาจต้านทานที่เขาแสดงออกมา
แรงสั่นสะเทือนนั้นทำให้ตำหนักทั้งหลังพังครืน!
หมอหลวงถึงกับอึ้ง ใบหน้าของพวกเขาซีดด้วยความตกใจ
ท่ามกลางกลุ่มควันโขมงนั้น ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยในชุดเสื้อคลุมสีดำสนิทก้าวเท้าออกมาพร้อมกับอุ้มร่างของเฮ่อเหลียนเวยเวยเอาไว้ ดวงตาของเขาแตกต่างไปจากเดิมเพราะมันเต็มไปด้วยสีของเลือดราวกับทับทิมที่มีเลือดหยดลงมา ดูน่ามองอย่างยากจะหาใดเปรียบ
ขนนกสีดำกลุ่มใหญ่ร่วงหล่นลงมาจากฟากฟ้า ทิ้งความตกตะลึงให้กับทุกผู้คน เพราะสิ่งเดียวที่พวกเขาเห็นคือเงาอันบิดเบี้ยวของปีศาจจำนวนมากที่อยู่ด้านหลังของชายหนุ่ม
ร่างเงาเหล่านั้นได้รับอิทธิพลจากผู้เป็นนาย พวกมันวิ่งพล่านไปทั่ววังหลวงพร้อมกับความรุนแรงที่แทบจะสามารถฉีกกระชากทุกสรรพสิ่งได้
ไม่มีใครเคยสัมผัสกับความบ้าคลั่งอันพลุ่งพล่านเช่นนี้มาก่อน!
ไม่มีใครกล้าลงมือทำอะไรผลีผลาม
เห็นได้ชัดว่าเวลานี้ ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้เสียสติไปเสียแล้ว
ไม่สิ แทนที่จะบอกว่าเขาเสียสติ ต้องบอกว่าเขาดูเป็นตัวเองยิ่งกว่าครั้งใดมากกว่า
เมื่อไม่มีเฮ่อเหลียนเวยเวยคนคนเดียวที่เขาห่วงใย เขาก็ไม่จำเป็นต้องสนใจอะไรอีก
หลายคนกล่าวว่าวิธีการของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยนั้นโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง
แต่ความจริงนั้น เขาพยายามใช้วิธีการเหล่านี้เพื่อปกปิดกลิ่นอายแห่งความกระหายเลือดอันชั่วร้ายของตัวเองเพราะเมื่อก่อนมีเฮ่อเหลียนเวยเวยอยู่ด้วยนั่นเอง
ตอนนี้เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยไม่อยู่ที่นี่ เขาจึงไม่จำเป็นต้องเสแสร้งอีกต่อไป
ส่วนเรื่องที่ว่าตัวตนที่แท้จริงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยน่าสะพรึงกลัวเพียงใดนั้น ทุกคนที่เคยอยู่ในสงครามระหว่างภพสวรรค์กับพระพุทธศาสนากับเขาย่อมรู้ดี
ในเวลานั้น ทุกคนต่างแตกตื่นอย่างมาก
พระอาจารย์จากวัดหลิงอิ่นยืนอยู่ข้างแม่น้ำสีเลือดพลางเอ่ยว่าอมิตาพุทธ เขารู้ดียิ่งกว่าผู้ใดว่าหากเวลานี้ไม่มีใครก้าวออกไปห้ามไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้ เขาย่อมสามารถทำลายเมืองหลวงได้ทั้งเมือง
”องค์ชายพ่ะย่ะค่ะ!” ขันทีซุนตะโกนขึ้นด้วยความเป็นห่วง บนใบหน้าแก่ชรานั้นไม่มีสิ่งอื่นใดนอกเหนือไปจากความหวาดกลัวและความทุกข์ใจ ”ถ้าท่านทำเช่นนี้ต่อไป ท่านจะทำให้องค์ชายน้อยบาดเจ็บเอาได้นะพ่ะย่ะค่ะ!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่หยุด เมื่อเขาก้มหน้าลงและเห็นว่าทารกน้อยยังกอดอยู่ที่เท้าของเขา ดังนั้นเขาจึงเตะเขาออกแล้วเดินต่อ
เมื่อได้เห็นภาพนั้น ขันทีซุนก็ตกใจแทบตาย ทารกแรกเกิดจะไปต้านทานแรงเตะนั้นได้อย่างไร
เขารีบร้อนเดินเข้าไป แต่แล้วก็พบว่าองค์ชายน้อยไม่เพียงแต่ยังสุขสบายดี แต่หลังจากถูกเตะไปเมื่อครู่ เขากลับยิ่งกอดขาขององค์ชายสามแน่นขึ้น
ขันทีซุนตกใจ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเด็กที่ทนมือทนเท้าถึงเพียงนี้ กลับกลายเป็นว่าในเวลานี้ คนที่ตกใจจนแทบลุกขึ้นยืนไม่ได้เพราะบรรยากาศที่เกิดขึ้นก็คือเขานี่เอง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่สนใจภาระเล็กน้อยที่พันแข้งพันขาตัวเองอยู่
ความคิดเดียวที่เขามีอยู่ในใจคือการมุ่งหน้าไปที่นรก
เมื่อวิญญาณมนุษย์หายไป ที่เดียวที่มันจะไปอยู่ได้ก็คือข้างกายราชาแห่งนรก
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยพยายามข่มโทสะที่กำลังจะระเบิดของตัวเองเอาไว้แล้วต่อยพื้นใต้ฝ่าเท้าของตัวเองอย่างจัง!
แผ่นดินเกิดการสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนๆ
ภูเขาไฟอันร้อนระอุปรากฏขึ้นในสถานที่ที่ไม่คาดคิดที่สุด นั่นก็คือวังหลวง
ปีศาจปรากฏตัวขึ้นราวกับคลื่นน้ำ อีกาจำนวนนับไม่ถ้วนโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้า
สัตว์อสูรบรรพกาลกรูกันเข้ามาจนแทบทำให้พื้นดินถล่ม
เมืองหลวงที่เดิมเคยเจริญรุ่งเรือง บัดนี้กลับตกอยู่ใต้ภัยพิบัติครั้งใหญ่
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้บรรดาผู้ขับไล่วิญญาณร้ายกระวนกระวายอย่างยิ่ง
เหล่าทวยเทพและพระอรหันต์ที่อยู่ในภพภูมิทั้งหกรู้ดีว่าภูเขานี้ไม่ใช่ภูเขาธรรมดา แต่เป็นภูเขาปู้โจวที่อยู่ในนรก!
ชิงหลงและกิเลนอัคคีลอบมองตากัน พวกมันพุ่งตัวตามหลังชายหนุ่มไปโดยไม่ลังเล
พวกมันมีลางสังหรณ์ในใจว่าครั้งนี้ องค์ราชากลับมาแล้ว
ไม่ใช่เพียงแค่พละกำลังของเขา แต่ยังเป็นเพราะนิสัยอันโหดเหี้ยมผิดมนุษย์ของเขาด้วย
นอกจากเฮ่อเหลียนเวยเวย คนอื่นๆ ก็ล้วนแต่ไร้ค่าในสายตาขององค์ราชา
นรกที่คนเล่าลือกันปรากฏขึ้นบนโลกมนุษย์ด้วยเหตุนี้
เดิมทีนั้น ระหว่างโลกมนุษย์กับนรกมีขอบเขตขวางกั้นเอาไว้อย่างชัดเจน นั่นคือความมืดและแสงสว่าง
ผู้คนในโลกแห่งความมืดนั้นสามารถมองเห็นการกระทำและได้ยินทุกบทสนทนาของผู้คนที่อยู่ในแสงสว่าง
แต่คนที่อยู่ในแสงสว่างจะไม่สามารถแอบมองบรรดาผู้คนที่อยู่ในโลกแห่งความมืดได้
แน่นอนว่าย่อมมีคนจำนวนหนึ่งที่ไม่เคยเชื่อเรื่องการเกิดใหม่และภูตผีวิญญาณ
เมื่อพวกเขาได้เห็นภาพที่สะท้อนอยู่ในดวงตาตัวเองเวลานี้ ทั่วทั้งเมืองหลวงจึงตกอยู่ในความโกลาหลอย่างรวดเร็ว
ภาพที่พวกเขาเคยแต่จินตนาการผ่านตัวหนังสือพวกนั้น มาตอนนี้กลับปรากฏขึ้นต่อหน้าต่อตาตัวเอง
ดวงวิญญาณบางส่วนถูกยมทูตเฆี่ยนตีพร้อมที่จะถูกจองจำ ในขณะที่ดวงวิญญาณอีกจำนวนหนึ่งถูกโยนลงไปในกระทะน้ำมันร้อนๆ ทอดจนสุก แต่เพราะพวกมันต้องแบกรับผลลัพธ์จากบาปกรรมของตัวเอง ดังนั้นพวกมันจึงจำต้องลุกขึ้นมาแล้วกระโดดลงไปในนั้นซ้ำไปซ้ำมา
ภาพนี้ไม่ได้ปรากฏให้เห็นนานนัก เพราะราชานรกที่มีหน้าที่รับผิดชอบแดนนรกสังเกตเห็นถึงความผิดปกตินี้ได้อย่างรวดเร็ว เขาสะบัดแขนเสื้อยาวของตัวเอง ใบหน้าหล่อเหลาเต็มไปด้วยความทรงอำนาจ ”เกิดอะไรขึ้น”
”ฝ่า ฝ่าบาท มีคนเปิดประตูนรกได้ด้วยกำปั้นเดียวพ่ะย่ะค่ะ” ผู้พิพากษาวิญญาณเอ่ยตะกุกตะกัก
ราชานรกถีบเขาออกไปด้วยความโมโหอย่างมาก ”ข้ารู้แล้วว่ามีคนฝืนเปิดประตูนรกเข้ามา ข้ากำลังถามว่าเจ้าคนที่ว่านี้มันเป็นใครต่างหาก!”
แม้จะเป็นเวลาเพียงแค่สิบวินาที แต่สำหรับราชาแห่งนรกแล้ว การที่ทุกสิ่งในแดนนรกตกอยู่ภายใต้สายตาของชาวมนุษย์เช่นนี้ย่อมไม่ต่างจากการถูกท้าทาย!
”คือว่า คือ…” ก่อนที่ผู้พิพากษาวิญญาณจะทันได้พูดจบ เสียงดังปังก็ลอยแว่วมาในอากาศ
ประตูไม้ของนรกขุมที่สิบแปดถูกถีบออกเหลือแต่ซาก
ท่ามกลางฝุ่นไม้ที่ปลิวว่อน ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเดินตรงไปหาราชาแห่งนรกแล้วเอ่ยขึ้นเพียงแค่สองคำสั้นๆ ว่า ”ข้าเอง”