องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 883 ทารกทั้งสอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น น้ำเสียงของนางมีความเหนื่อยล้าปรากฏอยู่ ”มันก็ไม่ใช่เพราะเด็กคนนี้ไปซะทั้งหมดหรอก ช่วงนี้ร่างกายของฉันไม่ค่อยดีเท่าไหร่ ดังนั้นคงไม่เหมาะที่จะรับภารกิจอีก”
เด็กหนุ่มที่ชื่อแอลมองนาง แล้วจึงกลับลงไปนั่งที่เดิม เขาพูดเบาๆ ว่า ”ผมไม่ไป ผมจะอยู่ที่นี่”
”ผมก็จะอยู่ที่นี่เหมือนกัน ไม่รับภารกิจก็ไม่เห็นจะเป็นไร” เหล่าเอเป็นคนตัวใหญ่ ดังนั้นเสียงหัวเราะของเขาจึงค่อนข้างดัง ”ยิ่งกว่านั้น เราก็ยังสามารถเลี้ยงดูเด็กคนนี้ไปพลางๆ ได้อีกด้วย ลูกพี่วางแผนว่าจะทำอะไรต่อหรือ”
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าพรรคพวกของนางไม่อยากให้นางอยู่คนเดียว ถึงคนพวกนี้จะเป็นคนหยาบกระด้าง แต่บางครั้งพวกเขาก็ทำให้นางรู้สึกอบอุ่นหัวใจ ”ฉันกะว่าจะเปิดอู่ซ่อมรถสักสองปี รอจนกระทั่งเด็กคนนี้เดินได้” ความจริงแล้ว นางอยากรู้ว่ามันพอจะมีหนทางที่นางจะกลับไปได้หรือไม่ต่างหาก
”เข้าใจแล้วครับ ถ้าอย่างนั้นพวกเราก็มาเปิดอู่ซ่อมรถกันเถอะ” ชายในชุดสูทพูด เขาดูตื่นเต้นและเหมือนจะอยากอุ้มเด็กที่อยู่ในอ้อมแขนของเฮ่อเหลียนเวยเวยอย่างมาก
แต่ทันทีที่เขายื่นมือออกไป เขาก็พลันสังเกตเห็นเงาสุนัขสีดำยืนอยู่ข้างๆ ดวงตาของสุนัขที่กำลังจ้องมองมาที่เขาเป็นสีแดงราวกับเลือด มันดูน่าสะพรึงกลัวอย่างมาก!
ชายในชุดสูทรีบชักแขนกลับมา แต่พอเขาตั้งใจมองดูอีกครั้ง สิ่งเดียวที่เขาเห็นก็คือใบหน้าน่ารักและสูงศักดิ์ของทารกน้อยเท่านั้น ราวกับว่าสิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่นี้เป็นเพียงแค่ภาพลวงตา
”เมื่อครู่นี้คืออะไรหรือครับ” ชายในชุดสูทไม่เชื่อว่าเขาตาฝาด คนที่อยู่ในธุรกิจประเภทนี้ย่อมประสาทสัมผัสไวกว่าคนปกติเป็นธรรมดา
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ปิดบังความจริงจากพรรคพวก นางหันหน้ากลับไปแล้วพูดขึ้นว่า ”เสี่ยวเฮย ออกมา”
ในวินาทีต่อมาก็ราวกับมีสายลมแห่งความมืดพัดเข้ามาในห้อง ท่ามกลางสายหมอกนั้นสุนัขปีศาจสีดำสนิทจึงค่อยๆ ก้าวเท้าออกมาจากอากาศ มันยืนอยู่ด้านหลังเฮ่อเหลียนเวยเวย ดวงตาของมันเป็นสีแดงเจิดจ้า
ชายในชุดสูทหรี่ตาลง มองครั้งเดียวเขาก็รู้ว่าเจ้าสิ่งนี้ไม่ใช่สุนัขสีดำธรรมดา
คนอื่นๆ ลอบมองตากัน พวกเขายังคงเงียบและรอให้เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นคนพูด
”ไม่ว่าพวกนายจะเชื่อหรือไม่ แต่หลังจากที่ฉันโคม่าอยู่เป็นเดือน เด็กคนนี้ไม่ใช่สิ่งเดียวที่ฉันได้มา หลังจากที่ฉันตื่นมา ก็ยังมีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นกับดวงตาของฉันด้วย” เฮ่อเหลียนเวยเวยกวาดตามองพรรคพวกที่ยืนอยู่ตรงหน้านาง ”ตอนนี้ฉันมองเห็นผีได้”
ทันทีที่ได้ยินคำพูดของนาง ทุกคนก็ถึงกับกลืนน้ำลาย พวกเขารู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่น่าเชื่อเอาเสียเลย
อย่างไรคนที่ทำอาชีพอย่างพวกเขาก็เป็นพวกวัตถุนิยม พวกเขาไม่เคยเชื่อในการมีอยู่ของเทพหรือปีศาจมาก่อน
แต่หลังจากอึ้งไปครู่หนึ่ง พวกเขาก็เริ่มมีท่าทางสนใจขึ้นมา โดยเฉพาะกับชายหนุ่มในชุดสูทคนนั้น ”ถ้าอย่างนั้นพวกเราน่าจะรับงานส่วนตัวเวลาว่างระหว่างทำกิจการอู่ซ่อมรถได้นะครับ” เขาขยิบตาให้เฮ่อเหลียนเวยเวย ”เราจะได้หาค่านมผงให้เขาได้ด้วย”
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม เป็นสัญญาณบอกว่านางเห็นด้วยกับคำพูดของเขา
เอสคือคนที่รับผิดชอบเรื่องบัญชีขององค์กรวิญญาณ
หน้าที่ของเขาเทียบเท่ากับนักบัญชีและผู้จัดการธุรกิจของกลุ่ม
ภายในเวลาแค่วันเดียว เขาก็พบที่ดินผืนหนึ่งในกรุงปักกิ่งของจีนได้อย่างรวดเร็ว ตำแหน่งของที่ดินผืนนั้นตั้งอยู่ในจุดที่มีชาวพื้นเมืองอาศัยอยู่
ทางทิศตะวันตกและทิศตะวันออกของที่แห่งนั้นมีร้านขายของเก่าตั้งอยู่ และยังมีโรงเรียนอยู่ที่สุดปลายถนนอีกด้วย
บนที่ดินผืนนี้มีอู่ซ่อมรถอยู่เพียงแห่งเดียวเท่านั้น
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ’องค์กรวิญญาณ’ ผู้ลือชื่อในแวดวงตำรวจและกลุ่มอันธพาลจึงยุบตัวลง
ไม่มีใครรู้ว่าพวกเขาหายไปไหน บ้างก็ว่าพวกเขาเข้าร่วมกับกองกำลังรักษาดินแดน บ้างก็ว่าพวกเขาอยู่ที่ทะเลทรายซาฮาร่า บ้างก็ว่าพวกเขาไปหาเงินที่ดูไบ
แต่ในความจริงมีเพียงนายน้อยผู้อยู่เบื้องหลังสำนักถังเท่านั้นที่รู้ความจริง
คนกลุ่มนี้ไม่ได้หายไปไหน พวกเขาปิดบังตัวตนที่แท้จริงและใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดา
”นายน้อย พวกเราควรทำอะไรกับเรื่องนี้ไหมครับ”
เด็กหนุ่มสวมหน้ากากสีดำที่ยืนอยู่หน้าบานหน้าต่างสูงจรดเพดานเอ่ยถามชายหนุ่มที่นั่งอยู่บนเก้าอี้สำนักงาน
ชายหนุ่มยิ้ม พลางหมุนถ้วยในมือ เขาจิบของเหลวสีแดงในนั้นก่อนจะเอ่ยอย่างชั่วร้ายว่า ”ไม่จำเป็น ปล่อยพวกเขาไป องค์กรวิญญาณจะตื่นขึ้นมาอีกครั้งเมื่อโอกาสมาถึง”
”รับทราบครับ นายท่าน” เด็กหนุ่มคนนั้นเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยต่อ ”การจำศีลขององค์กรวิญญาณน่าจะมีส่วนมาจากทารกคนนั้นครับ”
ชายหนุ่มเลิกคิ้ว มุมปากของเขาเต็มไปด้วยความขบขัน ”ลูกของเวยเวยน่ะหรือ ถ้าอย่างนั้นเรายิ่งต้องเตรียมเงินอั่งเปาให้เธอเพิ่มแล้วล่ะ นายรับผิดชอบนำเงินไปส่งให้เธอด้วยก็แล้วกัน”
เด็กหนุ่มเคลื่อนสายตาลงรับคำสั่งและไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น เขาถือกล่องไม้แล้วลัดเลาะไปตามทิวทัศน์ยามราตรีของเมืองหลวงราวกับเงา เมื่อปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาก็มาอยู่ที่หน้าอู่ซ่อมรถแล้ว
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้จักเขา นางมองหน้ากากบนใบหน้านั้น แล้วจึงมองกล่องไม้ที่อยู่บนพื้น ”ถังเส่าเป็นคนส่งมาหรือ”
”ครับ” เด็กหนุ่มดูหน้าตาหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง ดวงตาของเขางดงามยิ่งนัก ”คุณยังดูเหมือนเดิมทั้งๆ ที่คลอดลูกแล้ว ผมคิดว่าคุณจะอ้วนขึ้นเล็กน้อยเสียอีก นอกจากเงินรับขวัญจากถังเส่าแล้ว ในกล่องยังมีของขวัญจากผมด้วย”
พอเด็กหนุ่มพูดจบ เขาก็จับหมวกสีดำที่อยู่บนศีรษะของตัวเอง แล้วหายตัวไปบนถนนยามค่ำคืนพร้อมสเกตบอร์ดคู่ใจ
ทันทีที่เปิดกล่อง เฮ่อเหลียนเวยเวยก็รู้สึกตาแทบบอดเพราะทองคำที่ส่องประกายแวววาวอยู่ด้านใน จากนั้นนางจึงสังเกตเห็นของขวัญของเด็กหนุ่ม มันเป็นใบสำเนาทะเบียนบ้านในกรุงปักกิ่งของลูกนางนั่นเอง
แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยกลับรู้สึกปวดหัว
แซ่ที่อยู่บนนั้นคือเฮ่อเหลียน…
ลูกนางแซ่ไป๋หลี่ต่างหาก
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่ายหน้า นางมองท้องฟ้าที่แต่งแต้มไปด้วยหมอก จากนั้นนางก็ได้ยินเสียงอันคุ้นเคยดังมาจากอู่ซ่อมรถ
”เหล่าเอผมบอกคุณกี่ครั้งแล้ว อย่าให้นายน้อยจับปืนสิ! มันอาจจะเกิดอุบัติเหตุได้นะครับ!”
”อีกอย่าง คุณลืมเปลี่ยนผ้าอ้อมให้นายน้อยอีกแล้วหรือ”
”My God! แอล! วางระเบิดลงเดี๋ยวนี้นะ! เราจะเปิดอู่แล้ว! ไม่มีเวลามายุ่งกับอาวุธพวกนี้หรอก! จิน ถ้าฉันจับได้ว่านายป้อนเบียร์เยอรมันให้นายน้อยอีกละก็ ฉันจะโพสต์ลงในเว่ยป๋อว่านายชอบผู้ชาย!”
ชายหนุ่มในชุดสูทรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้า
ผู้ชายหัวทึบหกคนพยายามเลี้ยงดูองค์ชายตัวน้อยๆ ไปพร้อมกับแม่ผู้รักอิสระอย่างเฮ่อเหลียนเวยเวย ไม่มีใครรู้เลยว่าเด็กคนนี้จะโตมาเป็นแบบไหน
สิ่งเดียวที่มั่นใจได้ก็คือ เด็กคนนี้ไม่ใช่คนที่ใครจะสามารถล้อเล่นด้วยได้
แต่ถ้าเทียบกับทารกคนน้องแล้ว คนที่ไม่ควรเข้าไปหาเรื่องด้วยควรจะเป็นคนพี่มากกว่า เขาสามารถทำให้ทุกคนหลับไม่ลงเลยทีเดียว…
เวลาเช้าตรู่ ณ วังหลวงอันกว้างใหญ่
ขันทีซุนวิ่งไล่เด็กชายในชุดเสื้อคลุมสีเหลืองสลับกับหอบหายใจเป็นพักๆ
”องค์ชาย รอกระหม่อมก่อน! องค์ชาย!”
เด็กชายไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการกระทืบวิญญาณร้ายที่ตั้งใจจะขโมยอาหารจากวังหลวงไปกิน รอยยิ้มที่มุมปากของเขาดูชั่วร้ายอย่างมาก
นอกจากชิงหลงกับกิเลนอัคคีที่ติดตามอยู่ด้านหลังเขา ขันทีและนางกำนัลที่เหลือก็ไม่รู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ พวกเขาคิดว่าองค์ชายน้อยเพียงแค่มีเรี่ยวแรงเหลือเฟือเมื่อเทียบกับเด็กทั่วไปเท่านั้น
อย่างไรเมื่อเทียบกับเด็กคนอื่นๆ องค์ชายน้อยก็จัดว่าเฉลียวฉลาดอย่างมาก และเขายังมีบุคลิกเป็นของตัวเองอีกด้วย
ถ้าเทียบกับองค์ชายสาม องค์ชายน้อยเย็นชาและยากจะควบคุมยิ่งกว่าเขาเสียอีก
เขาไม่เคยยอมให้ใครอุ้ม บางทีอาจเป็นเพราะความเย่อหยิ่งที่ทำให้เขาดูถูกทุกคน ดวงตาของเขาเป็นสีแดงใสราวกับอัญมณี มันให้ความรู้สึกลึกลับและเก่าแก่เพียงแค่มอง แต่กระนั้น มันก็ยังเต็มไปด้วยความชั่วร้าย…