องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 884 ระเบิดอารมณ์
นั่นคือภาพที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเห็นตอนที่เขาเดินออกมาจากห้องบรรทม พลังปีศาจที่เขามีเริ่มชัดเจนมากขึ้น แต่สีหน้าของเขากลับเรียบเฉยขึ้นเรื่อยๆ ตรงกันข้ามกับพลังปีศาจที่เพิ่มพูนขึ้นนั้น ไม่ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับใคร สีหน้าของเขาก็ยังคงนิ่งเฉยเฉกเช่นเดิม
ทารกคนพี่เห็นเขาเดินเข้ามา เขาจึงเคลื่อนสายตาขึ้นแล้วกางแขนกอดรอบขายาวของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างเย็นชาพร้อมกับกระตุกมุมปากขึ้นอย่างชั่วร้าย
ขันทีซุนรู้ว่าเวลาที่องค์ชายน้อยทำท่านี้ ย่อมหมายความว่าเขาอยากเข้าห้องน้ำ ดังนั้นเขาจึงรีบยกมือขึ้นปิดหน้าเพราะทนมองภาพที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่ได้!
แน่นอนว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยย่อมรู้สึกได้ถึงความเปียกชื้นที่ขา เขายื่นมือออกไปคว้าตัวเด็กชายขึ้น จัดการเปลื้องชุดที่เด็กน้อยสวมอยู่ แล้วจับขาเขาห้อยหัวลงให้ทุกคนเห็น
ทารกคนพี่ยิ้มแย้มแจ่มใสมาตลอด แต่หลังจากถูกทำเช่นนั้น ใบหน้าเล็กๆ อันหล่อเหลาของเขาก็ดำทะมึนในทันที!
ดวงตาของเขาที่กำลังมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอยู่นั้นไม่เป็นมิตรเลยแม้แต่น้อย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหยียดยิ้มแล้วสบตาเด็กชาย ”เจ้าหนู เจ้าควรทำตัวดีๆ อย่าทำให้ข้าหงุดหงิด”
ทารกคนพี่หรี่ตา สีหน้าของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คิดที่จะเชื่อฟังไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยซ่อนจิตสังหารไว้ลึกลงไปในดวงตา เขาเหลือบเห็นชิงหลงและกิเลนอัคคีที่อยู่ด้านข้างเข้า ดังนั้นเขาจึงกล่าวว่า ”ยังไม่มีข่าวคราวของคนแซ่เพ่ยผู้นั้นอีกหรือ”
“ไม่มีทั้งในพระพุทธศาสนาและภพสวรรค์ขอรับ เบื้องต้นข้ากับกิเลนอัคคีจึงคิดว่าเขาน่าจะอยู่ในโลกมนุษย์” ชิงหลงก้มหน้าลง ขนของมันยาวระพื้น
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยข่มโทสะของตัวเองไว้ในใจ จากนั้นจึงพูดด้วยน้ำเสียงอันเย็นชาว่า ”หาตัวเขาให้เจอ หรือจะทำอย่างไรก็ได้ให้เขาปรากฏตัวขึ้น คนแซ่เพ่ยคงไม่อยากเห็นคนในโลกมนุษย์ตายเป็นจำนวนมากหรอก”
ชิงหลงกับกิเลนอัคคีรู้ว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคิดจะทำอะไรทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น
ความคิดที่จะทำลายล้างโลกของเขายังไม่เปลี่ยนแปลง
ยิ่งเวลาผ่านไป ความคิดนี้ก็ยิ่งหยั่งรากลึกลงเรื่อยๆ
พวกเขาต้องเร่งมือเสียแล้ว ไม่อย่างนั้นปีศาจที่อยู่บนแผ่นดินนี้จะต้องจู่โจมและรุกรานโลกมนุษย์ภายใต้คำสั่งขององค์ชายอย่างแน่นอน
จริงอยู่ที่ผลลัพธ์นั้นไม่ได้ส่งผลกระทบร้ายแรงอันใดต่อพวกเขา
เพราะอย่างไรเมื่อหลายร้อยปีก่อน พวกเขาก็เคยประสบกับเหตุการณ์เช่นนั้นมาแล้ว
แต่ชิงหลงกับกิเลนอัคคีรู้ว่าหนทางที่ดีที่สุดที่จะทำให้ผู้เป็นนายสงบลงได้มีแค่การพาพระชายากลับมา ไม่ใช่การทำลายล้างทุกสรรพสิ่ง
กิเลนอัคคีเป็นคนที่ติดตามรับใช้ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมานานที่สุด มันจึงรู้ว่าเคยมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นมาก่อน
ตอนนั้นเจ้านายของมันยังเป็นเด็ก
แต่เขาก็เป็นเด็กที่สามารถฉีกปีศาจนับสิบตัวออกเป็นสองซีกได้ด้วยมือเปล่าหลังจากพระชายาหายตัวไป
คนทุกคนที่อยู่ในตำหนักนั้นต้องตายเพราะความกดดันที่องค์ชายแผ่ออกมา
สมัยนั้น องค์ชายยังไม่ได้แก่นวิญญาณดั้งเดิมของตัวเองกลับคืนมา แต่แม้จะเป็นอย่างนั้น เขาก็ยังไม่สามารถต้านทานพลังที่เขาปล่อยออกมาในตอนนั้นได้
ตอนนี้ องค์ชายเป็นทั้งเทพและปีศาจ ถ้าเขาต้องการทำเช่นนั้นจริง ภพภูมิทั้งหกจะต้องตกอยู่ในความวุ่นวายแน่ ดังนั้นพวกเขาจะปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยไม่ได้!
แต่กิเลนอัคคีนึกไม่ถึงเลยว่านายท่านของเขาจะระเบิดอารมณ์ออกมาเร็วถึงเพียงนี้
ประมาณสามเดือนต่อมา พวกเขาได้ข่าวมาว่ามีคนเห็นคนแซ่เพ่ยอยู่ที่เมืองตุนหวง
พวกเขาข้ามทะเลทรายอันไร้ที่สิ้นสุดเพื่อตามหาเขา แต่ก็ยังหาตัวเขาไม่พบ สิ่งเดียวที่พวกเขาพบก็คือเมืองโบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่กลางทะเลทรายแห่งนั้น
ป้อมปราการที่อยู่ตรงนั้นหน้าตาเหมือนวิหารกรีกโบราณ มันไม่ได้ทรุดโทรมมากนัก แต่ก็ไม่ได้อยู่ในสภาพสมบูรณ์
ข้างในนั้นไม่มีคนอยู่ อุณหภูมิสูงเสียจนทำให้รู้สึกกระหายน้ำ
บางครั้งถึงจะพบเห็นสัตว์เลื้อยคลายในทะเลทรายสักตัวสองตัว ทั่วทุกแห่งล้วนแต่เต็มไปด้วยทรายสีทอง พื้นที่อันแห้งแล้งนี้ทอดยาวออกไปอย่างไร้ที่สิ้นสุด ทุกครั้งที่ลมพัด ซากโครงกระดูกสีขาวก็จะปรากฏขึ้น
ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ธรรมดา นี่คือปฏิกิริยาแรกที่กิเลนอัคคีมี แต่เขาก็ไม่รู้ว่าสถานที่แห่งนี้คืออะไรกันแน่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่คนเดียวเบื้องหน้าซากกำแพงปรักหักพังของเมืองทะเลทราย แต่ทันใดนั้นเขาก็ยื่นมือขวาออกไปแล้วจับสิ่งที่อยู่ข้างตัวไว้อย่างรวดเร็ว
เงาร่างอันเพรียวบางและเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นในทันใด!
แต่ร่างนั้นก็เร็วไม่แพ้กัน เขาหยุดเท้าลงและยืนอยู่กลางอากาศ พร้อมกับถือสมุดปกหนังสีดำไว้ในมือ
ชายคนนั้นหน้าตาดีทีเดียว แต่ร่างกายของเขาเย็นมากเสียจนเหมือนกับว่าเขาเพิ่งเดินออกมาจากโลงศพ ผมของเขาเป็นสีดำยาวราวกับน้ำตก ทั้งยังไม่พันกันเลยแม้แต่นิดเดียว เขาดูเหมือนจะไม่มีพิษภัย แต่เขาก็ไม่มีกลิ่นอายแห่งความเป็นมนุษย์อยู่เลยแม้แต่น้อย
“ยมทูตหรือ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหรี่ตา ก่อนจะถามขึ้นด้วยท่าทางทรงอำนาจอย่างไม่อาจมองข้ามได้ว่า ”คนแซ่เพ่ยอยู่ที่ไหน”
ยมทูตปิดสมุดและตอบอย่างเย็นชาด้วยน้ำเสียงปกติของตัวเองว่า ”ข้าก็ตามหาเขาอยู่เหมือนกัน”
เมื่อไป๋หลี่เจียเจวี๋ยได้ยินประโยคนั้น เขาก็รู้ได้ทันทีว่าคนแซ่เพ่ยไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้ว
ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาต้องบังคับให้อีกฝ่ายปรากฏตัวขึ้นเอง
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้แพร่งพรายเรื่องที่เขากำลังตามหาตัวคนแซ่เพ่ยออกไป แต่กลับตรงไปที่แดนปีศาจที่อยู่ลึกลงไปสามพันฉื่อ เขาทิ้งตัวนั่งลงบนบัลลังก์แห่งความมืดที่อยู่ไกลออกไปด้วยความเฉยชา พร้อมกับมองฝูงปีศาจที่อยู่ใต้เท้า สีหน้าของเขาเย็นชาและกระหายเลือด จากนั้นจึงเค้นคำพูดออกมาจากริมฝีปากบางเพียงคำเดียวว่า ”ฆ่า”
ตลอดเวลาหลายยุคหลายสมัย ปีศาจรอบภูเขาปู้โจวล้วนแต่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ไร้ที่มาที่ไปนี้มาตลอด คำสั่งนั้นบอกว่าไม่ให้พวกมันไปยังโลกมนุษย์ เว้นเสียแต่ว่าพวกมันจะหิวมากจริงๆ
แต่ตอนนี้ ในที่สุดราชาของพวกมันก็ไม่สนใจสิ่งใดอีกต่อไปแล้ว
ดังนั้นพวกมันจึงไม่จำเป็นต้องทำตามกฎพวกนั้นอีก
นี่คืองานรื่นเริงของเหล่าปีศาจโดยแท้
เงาสีดำทั้งหมดต่างส่งเสียงกู่ร้องคำรามขณะพุ่งออกจากพื้นดิน ความชั่วร้ายจำนวนมหาศาลนี้มีมากพอที่จะสามารถเหยียบย่ำโลกทั้งสามและภพภูมิทั้งหกเอาไว้ได้!
ยิ่งกว่านั้น ชายที่นำขบวนปีศาจเหล่านี้อยู่ก็คือไป๋หลี่เจียเจวี๋ย ตี้จวินแห่งภพสวรรค์ที่เทพยดาและพระอรหันต์ยากจะรับมือได้
ในการโจมตีระลอกแรก โจรที่เคยก่อกรรมทำชั่วทั้งหมดต่างก็ถูกกวาดล้างไปจนหมดสิ้น
ไม่ใช่เพราะว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเป็นคนมีความยุติธรรม แต่เป็นเพราะโจรเหล่านั้นโชคร้ายที่ดันมาขวางทางขององค์ชายสามที่เพิ่งกลับจากแดนปีศาจเข้าพอดี
“เฮ้ย เจ้าน่ะ! เสื้อผ้าเจ้าดูดีไม่เลวนี่! ถอดออกสิ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า”
โจรกลุ่มนั้นเป็นกลุ่มที่รับมือยากที่สุดในทะเลทรายแห่งนี้ ทุกครั้งหลังจากที่พวกเขาปล้นหมู่บ้านใกล้เคียงได้ พวกเขาจะกลับมาซ่อนตัวในทะเลทราย กระทั่งทางราชสำนักก็ยังไม่สามารถจับกุมตัวพวกเขาได้แม้จะเข้าปิดล้อมโจมตีอยู่หลายครั้ง
พวกเขาเจ้าเล่ห์เกินไป และยังคุ้นเคยกับการต่อสู้ในทะเลทราย อีกทั้งทุกคนก็ยังเป็นคนที่แข็งแกร่งอย่างมาก
โดยเฉพาะหัวหน้า ชายคนนั้นมีรอยแผลเป็นอยู่บนหน้า หน้าตาเหมือนอันธพาลไม่มีผิด
“ทำไม กลัวจนพูดไม่ออกเชียวหรือ”
หัวหน้าของโจรกลุ่มนั้นเหลือบมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างดูถูก ชายหนุ่มคนอื่นๆ ที่อยู่บนหลังม้าด้านหลังเขาต่างส่งเสียงหัวเราะออกมาดังลั่น
แต่ยังไม่ทันที่พวกเขาจะได้หัวเราะจนสาแก่ใจ พวกเขาก็เห็นสัตว์ประหลาดขนาดใหญ่ยักษ์หลายตัวอยู่ข้างหลังเสื้อคลุมสีดำของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยที่สะบัดแรงตามลม
สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นมีรูปร่างใหญ่โต และดวงตาของพวกมันก็ยังเป็นสีแดงราวกับเลือด ฟันที่ยื่นออกมาเล็กน้อยนั้นราวกับจะสามารถฉีกพวกเขาออกเป็นชิ้นๆ ได้ทุกเมื่อ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเพียงยืนอยู่ตรงนั้นตาไม่กะพริบพร้อมกับหัวเราะเสียงต่ำออกมา
โจรทุกคนรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดราวกับว่าหัวใจของพวกเขากำลังจะระเบิด!
ใบหน้าของคนเป็นหัวหน้าบิดเบี้ยว ปัง! ร่างของเขาแหลกเละจนไม่อาจจำได้ ก่อนล้มลงกับพื้นทรายในทันใด
ปีศาจเหล่านั้นเป็นราวกับความมืดที่สามารถกลืนกินได้ทุกสรรพชีวิต มันกระจายตัวไปทั่วทะเลทรายได้อย่างรวดเร็ว
สุดท้ายก็เหลือแค่โจรที่ไม่ได้ขี่ม้าอยู่เพียงแค่สองคน พวกเขามองภาพนั้นด้วยเนื้อตัวอันสั่นเทา ขาของพวกเขาอ่อนยวบ และคุกเข่าลงบนพื้นทันที
เดิมทีนั้นพวกเขาไม่ควรได้มีชีวิตอยู่
แต่ตอนนั้นเองที่เสียงหัวเราะอันสุภาพอ่อนโยนของใครบางคนดังขึ้นในอากาศ…