องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 899 การกลับมาขององค์กรวิญญาณ!
ในขณะที่เฮ่อเหลียนเวยเวยกำลังคิดอะไรอยู่นั้น จู่ๆ ก็มีเสียงเบรกดังขึ้นอย่างกะทันหัน เสียงนั้นมาจากรถฮัมเมอร์แต่งเครื่องของชายชุดสูทที่ชื่อเอส สีหน้าของเขานั้นจัดว่าเคร่งเครียด ไม่สิ ต้องบอกว่าเขาดูเดือดดาลผิดจากสีหน้าปกติอันแสนอ่อนโยนที่เขาใช้ตอนไปรับสาวๆ อย่างมาก
แม้แต่ตอนเผชิญหน้ากับคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งอย่างที่สุด เขาก็ยังไม่เคยแสดงสีหน้าเช่นนี้ให้เห็นมาก่อน
ประตูรถยนต์ปิดดังปัง!
เอสไม่ได้ทักทายเฮ่อเหลียนเวยเวย แต่กลับรีบคว้ามือของเธอไว้แล้วโยนระเบิดลงทันที ”นายน้อยหายตัวไปครับ”
คำพูดเพียงไม่กี่คำนั้นทำให้บรรยากาศผ่อนคลายรอบๆ ตัวพวกเขาเปลี่ยนไปในทันใด
“เอส นายพูดอะไรของนาย?!” เวลาที่เหล่าเอ ไม่ยิ้ม เขาดูเหมือนหนึ่งในบรรดาอาชญากรจากในหนังที่ไม่ควรเข้าไปหาเรื่องเด็ดขาด เวลานี้รอยแผลเป็นจากการถูกมีดกรีดที่อยู่บนใบหน้าของเขายิ่งทำให้บรรยากาศหนาวเหน็บอย่างมาก
เอส ถูหน้าตัวเอง ”ฉันไปที่โรงเรียนอนุบาลมา แต่ตอนนั้นทางครูกลับบอกว่าเธอกำลังจัดการเรื่องเหตุทะเลาะวิวาทในชั้นเรียนอยู่ เธอก็เลยไม่รู้ว่านายน้อยหายไปไหน เธอบอกว่านายน้อยทำร้ายร่างกายเด็กคนหนึ่งเข้า ดังนั้นเธอก็เลยต้องการให้นายน้อยกับเด็กอีกคนรออยู่ในห้องเรียน แต่พอเธอคุยกับผู้ปกครองของอีกฝ่ายเสร็จ นายน้อยกับเด็กอีกคนก็หายตัวไปแล้ว พอฉันถามยาม เขาก็ยืนยันว่านายน้อยออกจากโรงเรียนไปพร้อมกับคุยกับผู้ชายคนหนึ่งที่น่าจะเป็นญาติไปด้วย ดังนั้นคนที่มารับเขาจึงน่าจะเป็นญาติสักคน ไร้สาระทั้งเพ! นอกจากพวกเราแล้วนายน้อยมีญาติคนอื่นซะที่ไหน นี่มัน…”
“เขาไม่ได้หายตัวไป” เฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยังนั่งอยู่บนรถจักรยานยนต์ตัดบทเอส ดวงตาของเธอแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชา ”แต่ถูกลักพาตัวไป”
“ลักพาตัวหรือ” ไม่ใช่แค่ชายฉกรรจ์ทั้งห้า แต่กระทั่งเด็กวัยหนุ่มที่ชื่อแอลก็ยังผุดลุกขึ้นยืนพร้อมกับปล่อยท่อเหล็กที่อยู่ในมืหล่นอลงข้างตัว
เดิมทีพวกเขาก็ไม่พอใจอยู่แล้วที่มีใครบางคนพยายามลักลอบค้าเด็กในถิ่นของพวกเขา แต่ตอนนี้คนพวกนั้นมันกลับกล้าแตะต้องแม้กระทั่งนายน้อยของพวกเขาด้วยซ้ำ!
พวกมันอยากตายนักหรือ?!
แอลเป็นคนตรงไปตรงมาที่สุด เขารีบคว้าอาวุธทั้งหมดที่อยู่ในอู่ออกมาแล้วพูดอย่างเย็นชา ”ไปกันเถอะ!”
คนที่ใจเย็นที่สุดในกลุ่มอาจจะเป็นเฮ่อเหลียนเวยเวยผู้เป็นแม่แท้ๆ ของเขา เธอมองพี่น้องที่อยู่ตรงหน้าตัวเอง แต่ละคนทำท่าเหมือนกำลังจะไปฆ่าใครบางคนไม่มีผิด แต่เธอก็ไม่ได้หวั่นใจแต่อย่างใด เพราะเธอรู้ว่าบนโลกใบนี้คงมีคนเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะสามารถทำอันตรายเสี่ยวชิงเฉิงได้จริงๆ
แต่เจ้าพวกนั้นกลับกล้าลักพาตัวลูกชายของเธอ พวกมันคงอยากตายจริงๆ!
เรื่องที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่เป็นห่วงลูกกับเรื่องที่ลูกของเธอถูกลักพาตัวนั้นเป็นคนละเรื่องกัน
“เหล่าเอโทรหาวานรแล้วบอกให้เขามาที่อู่เดี๋ยวนี้” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดระหว่างกระโดดลงจากรถโทมาฮอว์กและโยนหมวกกันน็อกทิ้งข้างๆ ท่ามกลางความมืดนั้น ผมสีน้ำตาลเหมือนเปลือกเกาลัดยาวจรดเอวของเธอปลิวสยายไปตามสายลม บรรยากาศหยิ่งผยองราวกับราชินีแผ่ออกมาจากร่างของเธอ หญิงสาวทั้งงดงามแต่ก็ดูดุดัน ”เอส ส่งข้อความออกไป บอกให้ทุกองค์กรรู้ว่า องค์กรวิญญาณ… กลับมาแล้ว!”
ชายทั้งหกตกตะลึงเมื่อได้ยินประโยคสุดท้าย แสงที่หายไปเสียนานพลันปรากฏขึ้นในดวงตาของพวกเขาอีกครั้ง
ชายชุดสูทที่ชื่อเอส มีข้อมูลติดต่อองค์กรลับแทบทุกองค์กรอยู่ในโทรศัพท์ ดังนั้นเขาจึงมีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการส่งอีเมลนั้นออกไป
องค์กรทหารรับจ้างอันดับหนึ่งของโลก องค์กรวิญญาณกลับมาแล้ว!
คนจำนวนหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขารีบติดต่อเขากลับมาทันทีด้วยกลัวว่าพวกเขาจะเผลอทำอะไรอันเป็นการเสียมารยาทต่อราชินีนักรบท่านนั้นไป
แต่แน่นอนว่าคนบางคนก็ไม่รู้จักกลัวตาย อย่างไรเวลาสามปีก็เป็นระยะเวลาอันยาวนาน ดังนั้น ’การฟื้นคืนชีพขององค์กรวิญญาณ’ จึงไม่ได้สร้างความแตกตื่นให้กับพวกเขาได้เหมือนเมื่อก่อน
พวกเขายังไม่ได้ลืมว่าสมัยนั้น ’องค์กรวิญญาณ’ เข้าสู่การหลับใหลเพราะลูกพี่ของพวกเขาได้รับบาดเจ็บสาหัส พวกเขาจะเป็นหรือตายก็ยังไม่มีใครรู้
แต่ผู้คนมากกว่าเก้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็ยังหวาดกลัวพวกเขาอยู่ โดยเฉพาะหัวหน้าใหญ่จากทางมาเก๊า ที่นั่นอยู่ใกล้ประเทศจีนและยังขึ้นชื่อเรื่องการพนัน
เขาตกใจอย่างมากและรีบโทรหาเอส ทันที ริมฝีปากที่คาบบุหรี่สั่นระริก ”เอส หรือ?”
“ผมพูดอยู่ครับ” ชายสวมชุดสูทกลับมามีท่าทางพร้อมรับมือกับคนภายนอกอีกครั้ง เขาดูสมกับเป็นมืออาชีพอย่างมาก
หัวหน้าใหญ่รีบชี้แจงจุดยืนของตัวเองอย่างรวดเร็ว ”ตอนนี้ฉันทำกิจการคาสิโนแค่อย่างเดียว” ที่เขาต้องการสื่อก็คือ ไม่ต้องมาหาฉัน ฉันไม่ได้แตะต้องเรื่องอาวุธเลยแม้แต่นิดเดียว แล้วก็ไม่ได้ไปหาเรื่องอะไรพวกนายด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นสายเรียกเข้านั้น เธอจึงเลิกคิ้วขึ้น ”ใครหรือ”
เมื่อหัวหน้าใหญ่ที่อยู่ปลายสายได้ยินเสียงนั้น เขาก็ถึงกับชาวาบไปทั้งหนังศีรษะ เขาไม่เคยลืมภาพตอนที่เธอเกือบเอาชีวิตเขาเมื่อครั้งก่อนได้ลง
ชายชุดสูทยิ้มแล้วตอบเฮ่อเหลียนเวยเวยที่ยืนอยู่ข้างเขาว่า ”ลุงกัวครับ”
“ส่งโทรศัพท์มา” เฮ่อเหลียนเวยเวยพูดห้วนๆ
ทันทีที่ได้ยินดังนั้น หัวหน้าใหญ่ก็เริ่มรู้สึกจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว เขารอให้เสียงนั้นดังขึ้นจากโทรศัพท์อย่างเงียบๆ
“ลุงกัว” เฮ่อเหลียนเวยเวยกระตุกริมฝีปากบาง ดวงตาของเธอเป็นประกาย ”สนใจทำธุรกิจกันไหม”
หัวหน้าใหญ่ชะงักไปราวกับคาดไม่ถึงว่าเฮ่อเหลียนเวยเวยจะพูดเรื่องเช่นนี้ออกมา ”ธุรกิจหรือ ธุรกิจอะไร”
“ตอนนี้ฉันกำลังสืบคดีค้าเด็กอยู่ และมีความเป็นไปได้สูงทีเดียวที่มันจะเป็นการลักลอบค้ามนุษย์ข้ามชาติ ส่งเด็กจากแผ่นดินใหญ่ไปข้างนอก ส่วนสถานที่ที่พวกเขาจะถูกพาไปขายนั้นฉันยังไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ แต่ลุงบอกทุกองค์กรได้เลยว่าฉันตั้งใจจะกำจัดเจ้าองค์กรค้ามนุษย์กลุ่มนี้ให้สิ้นซาก และใครที่ยอมให้ความร่วมมือกับฉันจะได้ผลประโยชน์อย่างามแน่นอน” เฮ่อเหลียนเวยเวยรับมือกับเรื่องต่างๆ ด้วยวิธีนี้มาโดยตลอด เธอจะใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่มีให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด วิธีนี้ออกจะแตกต่างไปจากวิธีที่เธอใช้ในสมัยโบราณอยู่บ้าง แต่ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะที่นี่เป็นยุคปัจจุบัน มันเป็นอาณาเขตของเธอ!
นักค้ามนุษย์พวกนั้นคงคาดไม่ถึงว่าพวกเขาจะกลายเป็นที่ต้องการตัวจากทุกองค์กรเพียงเพราะเด็กคนเดียว! พวกเขาอาจสามารถหลบเลี่ยงคนที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมได้อย่างง่ายดายเพราะประสบการณ์และวิธีการที่พวกเขาใช้
แต่ถ้าศัตรูของพวกเขาเป็นคนจากองค์กรวิญญาณ ละก็ เห็นทีพวกเขาคงได้เผชิญกับผลลัพธ์อันเหนือความคาดหมายอย่างแน่นอน!
เครือข่ายข้อมูลถูกเปิดใช้งานอย่างเต็มประสิทธิภาพทันทีที่เธอวางสาย
วานรกระวีกระวาดมาที่อู่ซ่อมรถพร้อมกับหอบคอมพิวเตอร์พกพาของตัวเองมาด้วย
เฮ่อเหลียนเวยเวยวิเคราะห์สถานการณ์ในใจ ”หลังจากลักพาตัวเด็กไป นักค้ามนุษย์มากประสบการณ์พวกนั้นจะต้องรีบพาเขาขึ้นรถไฟเพื่อออกจากเมืองนี้ และนักค้ามนุษย์จากองค์กรขนาดใหญ่อย่างเจ้าพวกนั้นจะต้องเตรียมตั๋วรถไฟเอาไว้ล่วงหน้าแน่ น่าจะมีคนจำนวนหนึ่งรับหน้าที่ให้การสนับสนุน และมีคนอีกจำนวนหนึ่งรับหน้าที่ลักลอบพาเด็กออกไป พวกเขาคงจะไม่เลือกใช้เส้นทางทางตอนใต้ของกรุงปักกิ่ง เพราะการตรวจตราของที่นั่นเข้มงวดเกินไป ทางตอนเหนือของกรุงปักกิ่งมีจำนวนรถยนต์น้อยกว่าทางนั้นมาก เพราะฉะนั้น วานร นายลองตรวจสอบเส้นทางการเดินรถปกติรอบๆ ฝั่งตะวันออกของกรุงปักกิ่ง แล้วคัดภาพวงจรปิดทั้งหมดจากช่วงหกโมงครึ่งถึงสองทุ่มออกมาสิ”
“ครับ” ความเร็วในการเจาะระบบครั้งนี้ช้ากว่าครั้งก่อน เพราะสิ่งที่เขาต้องเจาะคือระบบรถไฟ ไม่ใช่ระบบของโรงเรียนอนุบาล แต่เรื่องนี้ก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับวานร เขาเชื่อมต่อคอมพิวเตอร์พกพาของตัวเองเข้ากับหน้าจอขนาดใหญ่ จากนั้นเสียงเครื่องยนต์ของรถสปอร์ตหลายคันที่จอดอยู่ในอู่ก็ดังขึ้นพร้อมกัน พวกเขาเตรียมพร้อมออกเดินทางทันทีที่ได้ข้อสรุป
ภาพวงจรปิดถูกส่งเข้ามาในหน้าจอระบบนำทางของรถสปอร์ตทุกคันในรูปแบบวีดีโอ นี่หมายความว่านอกจากเฮ่อเหลียนเวยเวยแล้ว ทุกคนย่อมสามารถเห็นผลของการตรวจสอบนี้ได้เหมือนกัน
ดวงตาของวานรจับจ้องอยู่บนตัวอักษรที่แสดงอยู่บนหน้าจอคอมพิวเตอร์ขณะขยับนิ้วมือด้วยความว่องไว ดูเหมือนเขากำลังหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนสะกดรอยเจอ
“ลูกพี่ ได้แล้วครับ! แต่พวกเรามีเวลาแค่สิบห้านาทีเท่านั้น ครบสิบห้านาทีเมื่อไหร่ ผมต้องรีบลบร่องรอยการเข้าถึงระบบพวกนี้ทิ้งครับ”