องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 901 ใครบางคนกำลังจะดวงกุด
เฮ่อเหลียนเวยเวยกระแอมออกมาเบาๆ ”ทำไมนายต้องอารมณ์เสียถึงขนาดนั้นด้วยล่ะ”
“ผมทนให้คนพวกนั้นเกลียดนายน้อยเพราะความจนไม่ได้หรอกครับ!” วานรผุดลุกขึ้นยืนทันที
เฮ่อเหลียนเวยเวยปลอบเขาว่า ”เอาล่ะ ไว้เราค่อยมาคุยเรื่องนี้กันอีกทีหลังจากเจอตัวเขาก็แล้วกัน ยิ่งกว่านั้นในไม่ช้าเจ้าพวกนั้นจะต้องตระหนักได้แน่ว่าการลักพาตัวเสี่ยวชิงเฉิงเป็นความผิดที่ใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตของพวกมัน”
“เราต้องจัดการพวกมันให้สิ้นซาก!” วานรยังโกรธจนควันออกหู
เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงกล่าวว่า ”ถึงเราจะขุดไม่ได้ว่าเจ้าของรถแลมโบกินีคันนั้นเป็นใคร แต่พวกเราก็น่าจะกระจายข่าวให้เขารู้ได้ว่าลูกชายเขาถูกลักพาตัวไป”
“จริงด้วยครับ” วานรสงบลงเล็กน้อย เขาคิดว่าเจ้าของรถคันนั้นคงเป็นผู้มีอิทธิพลอย่างมาก ถ้าอีกฝ่ายร่วมมือด้วย พวกเขาจะต้องสามารถพบตัวเด็กๆ ได้เร็วขึ้นแน่
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้พูดอะไรไปมากกว่านั้น เธอจัดแจงรัดสายหมวกกันน็อกพร้อมกับพาดขาขึ้นคร่อมรถโทมาฮอว์กของตัวเอง ก่อนจะรีบมุ่งหน้าออกจากอู่ซ่อมรถ
ห้านาทีต่อมา ณ คฤหาสน์อันพลุกพล่านที่อยู่ลึกเข้าไปในใจกลางของกรุงปักกิ่ง อาคารแห่งนั้นมีดอกกุหลาบหลากสีสันขึ้นปกคลุมไปทั่วผนังราวกับกันไม่ให้แสงแดดส่องผ่านเข้าไปได้
ชายร่างสูงคนหนึ่งนั่งหลังตรงไขว่ห้างอยู่เบื้องหน้าหน้าต่างกระจกใสสูงจรดเพดาน พร้อมกับก้มหน้าลงรับฟังรายงานจากคนที่อยู่ด้านล่าง
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นเท้าคางอย่างเกียจคร้านและดูไม่ใส่ใจกับเรื่องนั้นแม้แต่นิดเดียว ผมสีเงินยาวปรกหน้าผากและปิดบังดวงตาของเขาเอาไว้ จึงทำให้ยากจะมองเห็นรูปร่างหน้าตาของเขาได้อย่างชัดเจน
สิ่งเดียวที่ปรากฏให้เห็นคือปลายคางเรียวได้รูปของเขาเท่านั้น
แต่เขากลับเป็นจุดศูนย์กลางของหมอกสีดำไร้รูปร่างที่กระจายออกมาจากทางด้านหลังนั้น หมอกมืดๆ พวกนั้นเหมือนมีอะไรบางอย่างซ่อนอยู่ภายในและพร้อมที่จะกระโจนออกมาได้ทุกเมื่อ
“ทะ ท่านชายไป๋หลี่ ผมเพิ่งได้รับแจ้งเข้ามาว่า นายน้อยซ่างเสียน่าจะ.. น่าจะถูกลักพาตัวไปครับ” ชายวัยกลางคนนั่งคุกเข่าอยู่บนพื้น ฟันของเขากระทบกันขณะเอ่ยต่อว่า ”พวกเรา พวกเราแจ้งให้ทางโรงเรียนตามหาเขาแล้ว และกำลังรอข้อมูลอยู่ว่ามีใครรู้หรือไม่ว่านาย นายน้อยหายไปไหน”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองเขาจากทางหางตาในทันทีที่ได้ยินเรื่องนี้ ดวงตาเรียวยาวของเขาที่เชิดขึ้นเล็กน้อยเต็มไปด้วยความเฉลียวฉลาด ผิวขาวซีดดูอมโรคแต่มองไกลๆ แล้วกลับเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์นี้ทำให้ชายหนุ่มดูเหมือนผีดูดเลือดชั้นสูงจากในศตวรรษที่สิบเก้าไม่มีผิด เขาทั้งดูสง่างามและหยิ่งผยอง ”ฉันจะไปหาเขาด้วยตัวเอง แล้วเรื่องที่สั่งให้ไปตรวจสอบล่ะ”
เมื่อเห็นสายตาเช่นนั้น สีหน้าของชายคนดังกล่าวก็เปลี่ยนไป ความหวาดกลัวอันไม่อาจปิดบังปรากฏขึ้นในดวงตาที่สั่นระริกนั้นขณะที่ตอบว่า ”ส่วนเรื่องที่ท่านชายไป๋หลี่ต้องการทราบนั้น ผมกำลังทำการตรวจสอบอยู่ครับ แต่พวกเราไม่สามารถเอาประเทศจีนไปเทียบกับทวีปยุโรปหรืออเมริกาได้ มีหลายอย่างที่เราไม่สามารถทำได้เมื่ออยู่ที่นี่ ดังนั้นผมจึงจำเป็นต้องใช้เวลาอีกสักเล็กน้อยถึงจะสามารถตัดสินได้ว่าคุณหนูเฮ่อเหลียนอยู่ในกรุงปักกิ่งหรือไม่”
“สามวัน” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมองเขาอย่างเย็นชา ”ผู้อำนวยการจาง ฉันให้เวลาคุณอีกแค่สามวันเท่านั้น”
“สามวันหรือ” ผู้อำนวยการจางเช็ดเหงื่อเย็นๆ ออกจากใบหน้า ”มัน.. มันไม่เร็วไปหน่อยหรือครับ”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหัวเราะ และเอ่ยเสียงเบาว่า ”คุณคิดว่ามันเร็วไปหรือ นี่เป็นเวลาที่นานที่สุดที่ฉันจะปล่อยให้คุณได้มีชีวิตอยู่ต่างหาก”
ทันทีที่เขาพูดจบ หมอกสีดำที่อยู่ข้างหลังก็เคลื่อนไหวอย่างรุนแรงจนสามารถมองเห็นได้ ดูเหมือนในนั้นจะมีปีศาจซ่อนอยู่เป็นจำนวนนับไม่ถ้วน ดวงตาของพวกมันเป็นสีแดงราวกับเลือด
ทันใดนั้นผู้อำนวยการจางก็รู้สึกเหมือนมีอะไรกำลังบีบคอเขาอยู่ เขาไม่กล้าปฏิเสธจึงทำได้เพียงรีบตอบว่า ”ท่านชายวางใจได้เลยครับ ผมจะต้องหาตัวเธอเจออย่างแน่นอน ผมจะใช้ทรัพยากรทั้งหมดที่ผมมีในตอนนี้ตามหาตัวเธอต่อ!”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยรู้สึกพอใจในที่สุด เขาอนุญาตให้องครักษ์เงาที่อยู่ข้างหลังเปิดทางให้กับผู้อำนวยการจาง
เมื่อเห็นดังนี้ ผู้อำนวยการจางก็ไม่กล้าอยู่ที่นี่ต่ออีก เขากลัวจนแทบสิ้นสติ และรีบวิ่งหนีออกจากคฤหาสน์หลังนั้นอย่างรวดเร็ว
เฉิงหลงคุน พ่อของเด็กอ้วนแซ่เฉิงยืนรอผู้ที่เป็นทั้งลุงและหัวหน้าของตัวเองอยู่ที่ด้านนอกของคฤหาสน์ เมื่อเห็นลุงของตัวเองในสภาพเช่นนี้ เขาก็อดพึมพำขึ้นมาตอนที่เปิดประตูรถไม่ได้ว่า ”เราอย่ามาที่นี่อีกจะดีกว่า ตระกูลจางมีอิทธิพลมากมายในกรุงปักกิ่ง ทำไมลุงถึงต้องกลัวนักธุรกิจไร้หัวนอนปลายเท้าแบบเขาด้วย”
“หุบปาก!” ผู้อำนวยการจางกลัวว่าจะมีใครได้ยินพวกเขาเข้า เขามองไปรอบๆ ก่อนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก ”จากนี้ไป ห้ามพูดอะไรเกี่ยวกับท่านชายไป๋หลี่อีก เขาอยู่ห่างไกลจากคำว่านักธุรกิจธรรมดาอย่างมาก แกต้องจำเอาไว้ให้ดีว่าคนคนนี้ไม่ได้เพียงแค่กุมชะตาของตระกูลจางอยู่ แต่ยังสามารถซื้อหุ้นและอสังหาริมทรัพย์ของตระกูลอื่นๆ ได้อีกด้วย ฉันเจอเขาครั้งแรกที่อังกฤษ ถ้าฉันเข้าใจไม่ผิด เขาน่าจะมีสายเลือดของราชวงศ์อังกฤษอยู่ด้วย”
เฉิงหลงคุนไม่เชื่อ ”ผมก็เคยเห็นท่านชายไป๋หลี่อะไรนี่มาก่อนเหมือนกัน ถึงจะเห็นไม่ชัดเพราะอยู่ไกล และถึงผมของเขาจะเป็นสีเงิน แต่หน้าตาของเขาก็เหมือนกันกับคนเอเชียเราไม่ใช่หรือครับ เขาจะไปมีสายเลือดของราชวงศ์อังกฤษได้อย่างไร”
“แกนี่ไม่รู้อะไรเลย ยิ่งราชวงศ์มีความเก่าแก่เท่าไหร่ เลือดความเป็นคนเอเชียในตัวพวกเขาก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น” ผู้อำนวยการจางนวดหน้าผากอันปวดร้าวของตัวเอง ”เรื่องพวกนี้จะเป็นอย่างไรก็ไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญก็คือท่าทางของแกต่างหาก แกอย่าได้ทำตัวหยาบคายกับท่านชายไป๋หลี่อีกเชียว ไม่อย่างนั้นแกจะทำให้คนทั้งตระกูลของพวกเราถูกฆ่า!”
อีกฝ่ายดูจริงจังมากเสียจนในใจของเฉิงหลงคุนเริ่มรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาเล็กน้อย เขาไม่กล้าพูดอะไรอีกแม้แต่คำเดียว แต่กลับหมุนพวงมาลัยออกจากคฤหาสน์อันยากจะทำความเข้าใจได้แห่งนี้
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยยืนอยู่หน้าหน้าต่างสูงจรดเพดานบานนั้น เขาละสายตาออกจากภาพตรงหน้าอย่างเย้ยหยันพร้อมกับหมุนถ้วยบรรจุของเหลวสีแดงในมือไปมา
“นายท่านขอรับ” หมอกแห่งความมืดก่อตัวขึ้นจากส่วนลึกของคฤหาสน์ ก่อนจะค่อยๆ กลายร่างเป็นมนุษย์ ”ดูเหมือนมีอะไรบางอย่างกลบกลิ่นของนายน้อยอยู่ขอรับ ผมพยายามลองตามกลิ่นเขาอยู่หลายครั้งแต่ก็ไม่สามารถระบุตำแหน่งของเขาได้เลย”
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยไม่ได้กังวลเรื่องปีศาจน้อยตัวนั้นมากนัก เขาเงยหน้าขึ้นมองนาฬิกาที่แขวนอยู่บนผนัง ”อีกไม่ช้าเขาก็จะเริ่มหิว เจ้าคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับคนที่ลักพาตัวเขาไป”
เงาสีดำเงานั้นลดสายตาลง พูดตามตรงว่าเขาไม่กล้าคิดถึงผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นเลยจริงๆ
เสียงเครื่องจักรดังกึกก้อง รถไฟที่เดินทางออกจากทางตะวันตกของกรุงปักกิ่งจะมาถึงสถานีแรกในอีกสิบนาที สถานีนี้เป็นเมืองขนาดเล็ก ข้อดีของมันคือการที่มันตั้งอยู่ระหว่างกรุงปักกิ่ง-เมืองเทียนจิน-และมณฑลเหอเป่ย[1] ดังนั้นระบบคมนาคมของมันจึงได้รับการพัฒนาเป็นอย่างดี ยิ่งกว่านั้นระบบการรักษาความปลอดภัยในเมืองเล็กๆ เช่นนี้ก็หละหลวมมากทีเดียว
ดังนั้นพวกค้ามนุษย์จึงวางแผนกันว่าจะลงที่สถานีนี้ ก่อนจะแยกกันไปคนละทาง
เป็นเรื่องปกติที่รถไฟชั้นธรรมดามักจะมีผู้โดยสารมาก บางครั้งแม้กระทั่งบนทางเดินก็ยังมีขยะถูกกองทิ้งเอาไว้ และยังมีคนจับกลุ่มกันเล่นไพ่บนรถไฟอีกด้วย
โดยพื้นฐานแล้ว เวลานี้ยังไม่มีใครเข้านอน
พวกค้ามนุษย์ยังให้เด็กน้อยทั้งสองนั่งบนเบาะเดียวกัน ที่ตรงนั้นเป็นเบาะที่อยู่ด้านในสุดและมีเด็กสาวมหาลัยคนหนึ่งนั่งอยู่ที่เบาะหลัง
เด็กมหาลัยคนนั้นดูเด็กอย่างมาก ยิ่งกว่านั้นหน้าตาของไป๋หลี่ซ่างเสียกับเฮ่อเหลียนชิงเฉิงก็ยังน่ามองมากเสียจนทำให้ทุกคนรู้สึกอยากมองพวกเขาอยู่อย่างนั้น
เรื่องเดียวที่ทำให้เธอรู้สึกเสียดายก็คือการที่เด็กทั้งสองหลับมาตลอดทางตั้งแต่ขึ้นรถไฟ และยังไม่ตื่นจนกระทั่งตอนนี้ เธออยากหยอกล้อพวกเขาด้วยของกินอร่อยๆ แต่ก็ไม่สามารถทำได้
ถึงตอนนี้ นักค้ามนุษย์เองก็เริ่มหิวขึ้นมาเหมือนกัน พวกเขาทิ้งคนไว้ดูเด็กทั้งสองแค่คนเดียว ส่วนคนอื่นๆ เดินไปเข้าห้องน้ำ จากนั้นพวกเขาจึงเตรียมตัวลงจากรถไฟ
ตอนแรกแผนการทุกอย่างเป็นไปอย่างราบรื่น รวมถึงขั้นตอนการตรวจตั๋วระหว่างลงจากรถไฟด้วย
แต่ทันทีที่พวกเขาออกจากสถานีรถไฟ ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป
ที่เป็นเช่นนี้เพราะตอนนี้ไป๋หลี่ซ่างเสียตัวน้อยตื่นขึ้นมาแล้ว…
[1] จิงจินจี้ เป็นชื่อย่อของเขตเศรษฐกิจจิงจินจี้ ประกอบด้วย กรุงปักกิ่ง เมืองเทียนจิน และมณฑลเหอเป่ย เป็นเขตพัฒนาเศรษฐกิจที่ทางรัฐบาลจีนจะผลักดันให้เป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจและการเงินนานาชาติแห่งที่ 3