องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 902 นักค้ามนุษย์ตกอยู่ในความหวาดกลัว (1)
ความมืดกำลังมาเยือน งานเลี้ยงของปีศาจใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
นักค้ามนุษย์ไม่รู้เลยว่าเด็กที่พวกเขาพามาด้วยนั้นอันตรายเพียงใด
สิ่งเดียวที่พวกเขาต้องการในเวลานี้คือการหาโรงแรมที่สามารถเช็กอินโดยไม่ต้องยืนยันบัตรประชาชนได้ จากนั้นพวกเขาจะได้สั่งข้าวมากินให้เป็นกิจลักษณะ แล้วได้พักผ่อนสบายๆ สักที แต่พวกเขาจำเป็นต้องวางยาสลบสินค้าสองชิ้นนี้ก่อนที่จะแยกกลุ่มกัน
แต่พวกเขากลับนึกไม่ถึงว่าจู่ๆ ผู้หญิงที่อุ้มไป๋หลี่ซ่างเสียอยู่จะมีท่าทางเหมือนคนถูกผีสิงทันทีที่พวกเขาเข้ามาในห้อง ใบหน้าของเธอราวกับถูกปกคลุมไปด้วยหมอกสีดำ มิหนำซ้ำหมอกกลุ่มนั้นยังพยายามแทรกเข้าไปในร่างของเธอทีละน้อยอีกด้วย
“กรี๊ด!” ความเจ็บปวดอย่างสุดแสนทำให้ผู้หญิงคนนั้นโยนไป๋หลี่ซ่างเสียออกไปจากตัวทันที
ดวงตาของเธอจับจ้องอยู่ที่เด็กชาย เธอทำท่าเหมือนจะพูดอะไรออกมา แต่มันก็สายเกินไป หมอกสีดำแทงทะลุดวงตาของเธอและดูดกลืนพลังชีวิตออกจากร่างนั้นไปจนหมดอย่างรวดเร็ว
การตายของเธอแทบจะไม่มีสัญญาณเตือนอะไรเลยสักนิด แต่ร่างของเธอกลับล้มลงไปนอนแข็งทื่ออยู่กับพื้นในเวลาเพียงแค่เสี้ยววินาที
ไป๋หลี่ซ่างเสียยืนอยู่ตรงหน้าเธอ ผมสีดำตัดสั้นของเขายังชี้ไม่เป็นทรงเพราะเพิ่งตื่น และสีหน้าของเขาก็ยังดูเย็นชาเป็นอย่างยิ่ง เด็กชายเลียริมฝีปากบางของตัวเองด้วยท่าทางโหดเหี้ยมอำมหิต พร้อมกับกระตุกยิ้มขึ้นอย่างชั่วร้ายเหมือนยังไม่พอใจในรสชาตินั้น
เสียงกรีดร้องของผู้หญิงคนนั้นเรียกความสนใจจากทุกคนได้เป็นอย่างดี และนั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้บรรดานักค้ามนุษย์ไม่ทันสังเกตเห็นความผิดปกติของไป๋หลี่ซ่างเสีย
อีกด้านหนึ่ง เสี่ยวชิงเฉิงเพิ่งตื่นเพราะเสียงเอะอะนั้น เขายกมือน้อยๆ ขึ้นขยี้ตาคู่โตของตัวเองพลางหันศีรษะไปมองไป๋หลี่ซ่างเสียที่เป็นเด็กเหมือนกัน คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันทันทีที่ตระหนักได้ว่าร่างจริงของไป๋หลี่ซ่างเสียคือตัวอะไร คนคนนี้เป็นปีศาจที่กินวิญญาณเป็นอาหาร
แต่เขาไม่เคยเห็นปีศาจที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขามาก่อน
โดยปกติแล้ว ปีศาจจะไม่เปิดเผยร่างที่แท้จริงของตัวเองออกมา
เมื่อเวลาผ่านพ้นไป ปีศาจพวกนี้ย่อมสามารถเข้ามาปะปนและใช้ชีวิตอยู่ในสังคมมนุษย์ได้อย่างแนบเนียนเช่นเดียวกันกับบรรดาผีดูดเลือด
อันที่จริง พวกมันใช้ชีวิตหรูหราฟุ่มเฟือยกว่ามนุษย์เสียอีก เพราะโดยส่วนมากแล้ว เจ้าพวกนี้มักจะมาจากตระกูลขุนนางในหลายๆ ประเทศ ยิ่งพวกมันดูสง่างามเท่าใด ฐานะที่แท้จริงของพวกมันก็ยิ่งสูงส่งมากเท่านั้น
ว่ากันว่าสิ่งเดียวในชีวิตที่บรรดาปีศาจไล่ไขว่คว้าก็คือสุนทรียภาพ
แม้แต่ตอนที่พวกมันกินอาหาร บนใบหน้าของพวกมันก็จะเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ดูเพียบพร้อมไปด้วยมารยาท ไร้ซึ่งความหยาบคาย
ไป๋หลี่ซ่างเสียที่อยู่ตรงหน้าเขาก็เหมือนกัน เรื่องนี้ทำให้เสี่ยวชิงเฉิงรู้สึกสงสัยอย่างยิ่ง เขาอยากพาหมอนี่กลับไปเลี้ยงที่บ้านจริงๆ
แต่เขาไม่แน่ใจว่าเวยเวยคนสวยจะยอมให้เขาเลี้ยงปีศาจน้อยหรือเปล่า
น่าจะยอมมั้ง?
เสี่ยวชิงเฉิงถูใบหน้าเล็กๆ ของตัวเองอีกครั้ง เขาดูเหมือนกระรอกน้อยอย่างมากตอนที่ทำเช่นนั้น ทุกครั้งที่เขาตื่นเขาจะมีอาการเหม่อลอยเล็กน้อย และจะกลับมามีสติครบสมบูรณ์ได้ก็ต่อเมื่อกะพริบดวงตาคู่โตนั้นสองสามครั้ง ตอนนี้ไม่ใช่เวลาคิดเรื่องเลี้ยงปีศาจ แต่เป็นเวลาที่เขาต้องหยุดไม่ให้อมนุษย์ตนนี้กินอาหารต่างหาก
เขายื่นมือเล็กๆ ของตัวเองออกไปคว้าข้อมือของไป๋หลี่ซ่างเสียเอาไว้ แล้วส่ายหน้าสองครั้ง สีหน้าของเขาดูน่ารักมากทีเดียว
ไป๋หลี่ซ่างเสียยังไม่อิ่ม แต่หลังจากเห็นคนที่เขาคิดเองเออเองว่าเป็นลูกน้องตัวน้อยตื่นขึ้น เขาก็แสดงสีหน้าห่วงใยออกมาครู่หนึ่ง แล้วถามว่า ”นายซื้อเค้กช็อกโกแลตที่กินตอนนั้นมาจากไหนหรือ”
ดูเหมือนว่าความห่วงใยของเขาจะไม่ได้มีไว้ให้กับลูกน้องตัวน้อย แต่เป็นเค้กช็อกโกแลตชิ้นนั้น
การเอ่ยถึงเค้กช็อกโกแลตนี้เพิ่มน้ำหนักการตัดสินใจให้กับเสี่ยวชิงเฉิง เขาตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ปล่อยให้นักค้ามนุษย์ทั้งหมดนี้ถูกฆ่า แต่การตัดสินใจนั้นก็ไม่ได้ส่งผลกระทบต่อบทสนทนาระหว่างเขากับปีศาจน้อยที่ดูเหมือนจะอายุมากกว่าเขาแต่อย่างใด เขาตอบว่า ”ฉันไม่ได้ซื้อ แม่ของฉันเป็นคนทำให้ต่างหาก”
“อ้อ” ไป๋หลี่ซ่างเสียอยู่ในยุคปัจจุบันมาได้ระยะหนึ่งแล้วก็จริง แต่เขาไม่เคยรู้สึกอยากค้นหาผู้เป็นแม่เลยจนกระทั่งตอนนี้ ความรู้สึกนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นเมื่อเสี่ยวชิงเฉิงบอกว่าแม่เป็นคนทำเค้กช็อกโกแลตให้เขาเอง ปีศาจน้อยดูเหงาเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำตอบนั้น
แน่นอนว่าวิธีแสดงความเหงาของไป๋หลี่ซ่างเสียย่อมแตกต่างจากคนอื่นอย่างมาก เขาเดินเข้าไปหาผู้ชายอีกคนพร้อมกับหรี่ตาสีแดงคู่นั้นลงหลังจากลืมตาขึ้น ดูเหมือนเขากำลังเตรียมพร้อมที่จะลิ้มรสอาหารจานถัดไป
เสี่ยวชิงเฉิงรีบเข้ามาขวางทางเข้าไว้อย่างรวดเร็ว เด็กชายยังคงมีสีหน้าน่ารักน่าชังระหว่างที่กระซิบหูเขาว่า ”เราต้องเก็บพวกมันไว้ จะได้กำจัดหัวหน้าของพวกมันไปด้วย”
เมื่อเสี่ยวชิงเฉิงเตือนเขา ไป๋หลี่ซ่างเสียก็นึกถึงเค้กช็อกโกแลตชิ้นที่เขาคว้าไว้ไม่ทันชิ้นนั้นขึ้นมาได้ ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็เต็มไปด้วยความชั่วร้าย น้ำเสียงของเขาเย็นชาอย่างมากตอนที่พึมพัมว่า ”เข้าใจแล้ว” เขาจะให้พวกมันได้มีชีวิตอยู่ต่อ แต่แน่นอนว่าไม่นาน
เมื่อตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ นักค้ามนุษย์เหล่านั้นย่อมเหนื่อยล้าเกินกว่าจะสนใจว่าเด็กทั้งสองคุยอะไรกัน
ตอนนี้พวกเขาหวาดกลัวจะตายอยู่แล้ว
ภาพที่เกิดขึ้นตรงหน้าเมื่อครู่อยู่นอกขอบเขตสามัญสำนึกและความเข้าใจของพวกเขา
ชายกล้ามใหญ่คนหนึ่งยื่นมืออันสั่นเทาของตัวเองออกไปเพื่อตรวจสอบว่าผู้หญิงที่นอนอยู่บนพื้นยังหายใจอยู่หรือไม่
ผู้หญิงอีกคนรีบดึงมือของเขากลับมา แล้วกระซิบอย่างฉุนเฉียวว่า ”อย่าแตะตัวเธอ! มันไม่สะอาด! โรงแรมนี้มีของสกปรกแน่ๆ! มันจะต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ!”
เสียงของเธอแหบแห้งระหว่างที่กล่าวเช่นนั้น มันเป็นอาการที่จะเกิดขึ้นเมื่อมนุษย์รู้สึกกลัวจนถึงระดับหนึ่ง เพราะมนุษย์ธรรมดาคงไม่มีทางมีอาการนี้ได้
เหงื่อเย็นๆ ซึมชื้นขึ้นบนหน้าผากของชายสวมเสื้อสีฟ้า แต่เขาได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี ดังนั้นท่าทางของเขาจึงแตกต่างจากนักค้ามนุษย์อีกสองคนอย่างเห็นได้ชัด เขาคำรามเบาๆ ใส่ทั้งสองว่า ”ใจเย็นๆ!”
อาจเป็นเพราะว่าพวกเขาเสียงดังเกินไป คนข้างห้องจึงเคาะผนังเป็นการเตือน พวกเขาไม่เคยเจอสถานการณ์แบบนี้ในภารกิจอื่นมาก่อน
การตายอย่างกะทันหันของใครสักคนระหว่างทำภารกิจย่อมเป็นปัญหาใหญ่สำหรับพวกเขา
ชายคนนั้นคิดพร้อมกับยกมือขึ้นนวดหว่างคิ้ว เขาดูปวดหัวอย่างมาก
ผู้หญิงคนนั้นยังตัวสั่นและดูเหมือนจะอยากออกไปจากที่นี่อย่างสุดชีวิต เธอคิดว่าที่โรงแรมแห่งนี้จะต้องมีวิญญาณร้ายอยู่อย่างแน่นอน ดังนั้นเธอจึงไม่ได้คิดเลยว่าเหตุฆาตกรรมอันน่าสยดสยองนี้จะมีความเชื่อมโยงกับเด็กทั้งสอง
แต่ชายคนหนึ่งกลับจ้องมองไป๋หลี่ซ่างเสียและเฮ่อเหลียนชิงเฉิงตาไม่กะพริบพร้อมกับกระซิบว่า ”ทำไมเด็กสองคนนี้ถึงสงบนักล่ะ”
เขาลักพาตัวเด็กมาก็หลายคน และเด็กแทบทุกคนจะร้องไห้สุดเสียงทันทีในครั้งแรกที่ตื่นโดยไม่หยุดไม่พักหนึ่ง
มีความเป็นไปได้สูงที่เด็กๆ ในสภาวะนั้นจะกระตุ้นให้คนอื่นรู้สึกผิดสังเกตได้ นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้พวกเขาเลือกพักที่โรงแรมก่อนจะเดินทางต่อ แทนที่จะขึ้นรถไฟทันที
เด็กๆ จะเหนื่อยและหิวหลังจากร้องไห้เป็นเวลานาน จากนั้นจึงจะสงบลงในที่สุด
นี่เป็นวิธีปกติที่นักค้ามนุษย์ใช้กัน
เขาถึงกับเตรียมผ้าสำหรับอุดปากเด็กทั้งสองเอาไว้แล้ว เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนอยู่โรงเรียนอนุบาลทำให้เขาค่อนข้างรู้สึกกังวลเรื่องนี้
แต่เขาก็ต้องประหลาดใจ เพราะกลับกลายเป็นว่าคนที่เงียบที่สุดในนี้ก็คือเด็กทั้งสอง แต่เมื่อตั้งใจสังเกตใบหน้าเล็กๆ นั้นดูให้ดีจึงพบว่ามันดูซีดเผือดอย่างมาก
“พวกเขาต้องตกใจมากอยู่แน่ๆ” ผู้หญิงคนนั้นเอ่ยขึ้นด้วยเสียงอันสั่นเทา ”เด็กทุกคนต่างก็มีพลังจิต พวกเขาสามารถมองเห็นสิ่งเหนือธรรมชาติที่คนอื่นมองไม่เห็นได้ โรงแรมนี้จะต้องมีอะไรผิดปกติอยู่แน่นอน!”