องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 903 นักค้ามนุษย์ตกอยู่ในความหวาดกลัว (2)
ชายคนนั้นเพียงเยาะเย้ยขึ้นว่า ”ต่อให้มันเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติแล้วจะทำไม อย่าลืมสิว่าคนที่อยู่เบื้องหลังพวกเราคือใคร ก่อนหน้านี้ฉันก็บอกพวกแกแล้วนี่ว่าการซื้อขายรอบนี้มีค่าเป็นเงินก้อนโต ดังนั้นหัวหน้าก็เลยลงมาจัดการด้วยตัวเอง แล้วพวกแกจะไปกลัวผีกันทำไม! มันก็ไม่ได้เป็นอะไรไปมากกว่าพลังงานชั่วร้าย ทุกอย่างจะเรียบร้อยทันทีที่เราได้พบกันหัวหน้า มีผีก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยพวกมันก็ทำให้เด็กพวกนี้เงียบได้”
ผู้หญิงคนนั้นคิดไม่ถึงว่าเพื่อนร่วมทีมของเธอจะใจกล้าถึงขนาดนี้ เธออ้าปากขึ้นเหมือนอยากพูดอะไรสักอย่าง
ผู้ชายคนนั้นโบกมือแล้วพูดต่อ ”ทีนี้ก็เลิกกรี๊ดได้แล้ว ลากร่างที่อยู่บนพื้นนั่นไปซ่อนไว้ใต้เตียงซะ เรามาเตรียมตัวให้พร้อมก่อนออกไปดีกว่า ยังเหลือเวลาสี่ชั่วโมงก่อนเช็กเอาท์ สี่ชั่วโมงหลังจากนี้ จะมีคนมาเคาะประตูห้อง ตอนนี้โรงแรมยังไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้น แต่พวกเราจะอยู่ที่นี่ต่อก็ไม่ได้ ดังนั้นเราควรทำตามแผนการเดิมที่วางไว้ แกกับเสี่ยวหวังไปขึ้นรถไฟสายเดียวกัน ส่วนฉันจะไปขึ้นอีกสาย พวกเราจะแยกกันไปส่งสินค้าสองชิ้นนี้”
ทันทีที่ไป๋หลี่ซ่างเสียได้ยินว่าเขาต้องแยกจากคนที่อยากเก็บไว้เป็นลูกน้อง ดวงตาสีแดงของเขาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาอย่างร้ายกาจ
สำหรับไป๋หลี่ซ่างเสีย เสี่ยวชิงเฉิงคือเค้กช็อกโกแลตนับชิ้นไม่ถ้วน
คนคนนั้นปัดเค้กช็อกโกแลตครึ่งหนึ่งของเขาตกไปแล้ว แต่ตอนนี้เขายังกล้าคิดที่จะขโมยเค้กช็อกโกแลตทั้งหมดในอนาคตไปจากเขาอีก
ไป๋หลี่ซ่างเสียเหยียดยิ้มอยู่ในใจ โคมไฟที่อยู่เหนือตัวเขาราวกับสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง เพราะมันเริ่มดังซ่าๆ เหมือนกระแสไฟฟ้ามีปัญหาขึ้นมาทันที
ผู้หญิงคนนั้นกับชายกล้ามใหญ่รู้สึกไม่สบายใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ดังนั้นดวงตาของพวกเขาจึงเบิกกว้างด้วยความหวาดกลัวทันทีที่เห็นสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น
แต่ห้องทั้งห้องก็พลันดิ่งลงสู่ความมืดก่อนที่พวกเขาจะทันได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมา
เวลานี้ ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกเหมือนมีสายลมเย็นยะเยือกพัดผ่านตัวไป แต่เธอมองไม่เห็นในความมืดเช่นนี้
เธอทรุดตัวลงกับพื้น และกรีดร้องออกมา น้ำเสียงของเธอสั่นระริกด้วยความหวาดกลัว ”ผีสิง ที่นี่มีผีสิงอยู่จริงๆ ด้วย!”
“ไร้สาระ! คงแค่มีใครสับเบรกเกอร์เครื่องตัดไฟลงต่างหาก!” ชายสวมเสื้อสีฟ้าตอบสนองด้วยความรวดเร็ว เขาหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาส่องไปด้านข้าง จากนั้นจึงดันสวิชต์ขึ้น
ในที่สุดห้องก็กลับมาสว่างดังเดิม
ผู้หญิงคนนั้นถอนหายใจด้วยความโล่งอก แต่ในตอนที่เธอกำลังจะลุกขึ้นนั่นเอง เธอก็สังเกตเห็นว่าชายกล้ามใหญ่ที่อยู่ข้างตัวล้มลงไปนอนตัวแข็งทื่ออยู่กับพื้นแล้ว สภาพของเขาเหมือนกับผู้หญิงคนที่ตายหลังจากที่พวกเขาเข้ามาในห้องอย่างไม่มีผิดเพี้ยน
เธอยื่นมือออกไปคว้าแขนเสื้อของชายอีกคน เธอไม่สามารถปิดบังความหวาดกลัวได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงรีบพูดขึ้นว่า ”พวกเราอยู่ที่นี่ไม่ได้แล้ว ไปกันเถอะ! รีบพาเด็กๆ ไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้เลย ไหนๆ พวกเราก็ไปทางเดียวกันอยู่แล้ว ทำไมพวกเราไม่ขึ้นรถไฟสายเดียวกันไปเลยล่ะ ไม่ว่ายังไงพวกเราก็ต้องออกไปจากที่นี่! ถ้านายอยากอยู่ก็อยู่ไปคนเดียว แต่ฉันไม่อยู่แน่!”
“ใจเย็นหน่อยได้ไหม!” แม้ชายหนุ่มจะพูดเช่นนั้น แต่แผ่นหลังของเขากลับชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ โรงแรมนี้ดูผิดปกติอย่างมาก และพวกเขาต้องเล่นละครเป็นคู่สามีภรรยากันเพื่อเลี่ยงไม่ให้เกิดปัญหา ดังนั้นการออกไปพร้อมกันย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดเพราะผู้หญิงคนนี้เองก็ยังไม่ได้มีประสบการณ์ในการลักลอบค้ามนุษย์มากนัก เมื่อคิดได้ดังนั้น เขาจึงผลักร่างของชายอีกคนเข้าไปไว้ใต้เตียง แล้วพูดอย่างร้อนใจว่า ”ขึ้นรถไฟสายเดียวกันก็ได้ เอาเด็กไปคนละคน เอาล่ะ ทีนี้ก็รีบไปกันได้แล้ว!”
แน่นอนว่าผู้หญิงคนนั้นย่อมรอที่จะได้ออกจากโรงแรมนี้แทบไม่ไหว เธอย่อตัวลงอุ้มเสี่ยวชิงเฉิงขึ้นมาทันที
เสี่ยวชิงเฉิงให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี แล้วลอบมองไป๋หลี่ซ่างเสียที่อยู่ในแขนของผู้ชายคนนั้น ความอยากเลี้ยงปีศาจน้อยของเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเขาก็เผลอยื่นมือเล็กๆ ของตัวเองออกไปลูบศีรษะของไป๋หลี่ซ่างเสียโดยไม่รู้ตัว…
ผมสั้นๆ ของไป๋หลี่ซ่างเสียนั้นทั้งแหลมและสากมือ
เขาไม่เคยถูกใครลูบศีรษะมาก่อน เขาเคลื่อนสายตาขึ้นมองเสี่ยวชิงเฉิงพร้อมกับเลียริมฝีปากบางราวกับเพิ่งกินอะไรบางอย่างมา
แต่อาหารอันน้อยนิดนั้นแทบจะไม่พอให้เขาอิ่มท้อง
โชคดีที่เขาไม่ได้รีบฆ่าคนทั้งหมดกิน
ปีศาจมีนิสัยชอบดื่มด่ำกับการได้เห็นอาการหวาดกลัวอย่างสุดขีดของมนุษย์ก่อนพวกเขาตาย แทนที่จะเอาชีวิตของพวกเขาทันที
นี่คือสิ่งที่ไป๋หลี่ซ่างเสียทำอยู่ในตอนนี้ เมื่อเห็นแผ่นหลังอันสั่นเทาของผู้หญิงคนนั้น เขาก็รู้สึกพอใจกับภาพที่เกิดขึ้นอย่างยิ่ง
แต่เขาก็ยังคงหิวมากอยู่ดี…
ผู้หญิงคนนั้นรู้สึกได้ถึงความเย็นที่คืบคลานขึ้นมาจากด้านหลัง เธอจึงหันหน้ากลับไปมอง แต่ก็ไม่เห็นอะไรแม้แต่อย่างเดียว
ชายสวมเสื้อสีฟ้าหยิบโทรศัพท์กดโทรออก สายของเขาถูกโอน ก่อนจะไปถึงคนที่เขาต้องการติดต่อในที่สุด
ทันทีที่มีคนรับสาย เขาก็ลดเสียงลงแล้วพูดด้วยความรีบร้อนว่า ”หัวหน้า เหมือนพวกเราจะเจอของสกปรกเข้า มีคนของเราตายไปโดยไม่รู้สาเหตุแล้วสองคนครับ”
“ของสกปรกหรือ” คนที่อยู่ปลายสายหรี่ตา ก่อนจะตอบอย่างไม่ใส่ใจนักว่า ”พวกแกมาถึงแล้วค่อยคุยกัน สินค้าเป็นยังไงบ้าง พวกมันยังอยู่ดีหรือเปล่า”
ชายคนนั้นดูเชื่อฟังหัวหน้าตัวเองอย่างมาก เขาตอบอีกฝ่ายด้วยความเคารพว่า ”สินค้ายังอยู่ดีครับ ผมแค่กลัวว่ากว่าจะถึงเวลานัด โรงแรมอาจจะรู้เรื่องนี้เข้าเสียก่อน”
“ก็แค่โรงแรมโรงแรมเล็กๆ โรงแรมเดียว แกก็ทำให้มั่นใจว่าซ่อนศพไว้ดีแล้วก็พอ น่าจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้ไปอย่างน้อยก็สิบวันหรือไม่ก็สักครึ่งเดือน ไม่ต้องห่วงหรอก โรงแรมไม่มีทั้งกล้องวงจรปิด แล้วก็ไม่ต้องใช้บัตรประชาชนตอนเปิดห้อง ดังนั้นต่อให้มีคนพบศพ แกก็ไม่มีปัญหาแน่ สิ่งที่สำคัญกว่านั้นคือการคุ้มกันสินค้าและนำมันมาส่งที่นี่ให้เร็วที่สุดต่างหาก ถ้าแกเจอเรื่องประหลาดอะไรอีกก็หยิบยันต์ที่ฉันให้ออกมาแปะก็แล้วกัน มันสามารถขับไล่วิญญาณร้ายได้”
ดวงตาของชายคนนั้นเป็นประกายทันทีที่เขาได้ยินคำตอบนั้น หลังจากวางหู เขาจึงบอกให้ผู้หญิงคนนั้นเอายันต์ออกมาจากกระเป๋าของเขา
มือของผู้หญิงคนที่อุ้มเสี่ยวชิงเฉิงอยู่ดูจะผ่อนคลายลงเล็กน้อยเมื่อเธอเห็นยันต์ที่ว่านั่น รอยยิ้มวาดขึ้นบนใบหน้าของเธอขณะที่กล่าวออกมาว่า ”ถ้ามียันต์ของหัวหน้าละก็ ต่อให้มีวิญญาณร้ายเข้ามา พวกมันก็คงเหมือนพาตัวเองเดินเข้าสู่กับดัก!”
เสี่ยวชิงเฉิงเหลือบมองยันต์แผ่นนั้น แล้วลูบศีรษะของไป๋หลี่ซ่างเสียอย่างเงียบๆ
เพราะตำแหน่งที่เขาอยู่ ไป๋หลี่ซ่างเสียจึงรู้สึกว่าการห้ามไม่ให้เสี่ยวชิงเฉิงทำเช่นนี้เป็นเรื่องยาก แม้สีหน้าของเขาจะยังราบเรียบ แต่ในสมองนั้นเขากลับกำลังคิดว่าจะให้เสี่ยวชิงเฉิงจ่ายค่าลูบศีรษะเขาหนึ่งครั้งด้วยเค้กช็อกโกแลตหนึ่งชิ้น อย่างไรเขาก็ไม่สามารถปล่อยให้ใครลูบศีรษะตัวเองฟรีๆ ได้
สถานีรถไฟตอนกลางคืนไม่ได้มีผู้คนหนาแน่นนัก ยิ่งกว่านั้นเมืองแห่งนี้ก็มีขนาดเล็ก ดังนั้นจำนวนคนเข้าสถานีจึงพลอยน้อยตามไปด้วย
นักค้ามนุษย์สองคนยุ่งเสียจนยังไม่ได้กินอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่มีคนตายในโรงแรมอีกด้วย ต่อให้พวกเขาจะเป็นคนเลือดเย็นเพียงใด แต่อารมณ์ของพวกเขาก็ยังได้รับผลกระทบจากเรื่องนั้นอยู่ดี ในช่วงเวลาที่เหนื่อยล้าจนแทบขาดใจนี้ พวกเขาไม่ต้องการอะไรไปมากกว่าน้ำแกงร้อนๆ เพื่ออบอุ่นร่างกาย
ดังนั้นผู้หญิงคนนั้นจึงยืนเฝ้าเด็กทั้งสองคนไว้ในขณะที่ชายหนุ่มหยิบกระเป๋าเงินไปซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปมากินสองถ้วย
เพราะเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงจำต้องเปลี่ยนแปลงเวลาการเดินทางในนาทีสุดท้าย แม้จะไม่มีที่นั่งเหลือ แต่รถไฟขบวนนี้จะออกเดินทางก่อนรถไฟในกำหนดการณ์เดิมของพวกเขาถึงสามชั่วโมง เนื่องจากยังมีเวลาเหลือก่อนออกเดินทางกว่าสามสิบนาที พวกเขาจึงถือโอกาสนี้นั่งพักกันที่ที่พักผู้โดยสาร
ผู้หญิงคนนั้นเหนื่อยจนหมดแรงทั้งทางร่างกายและจิตใจ ถ้าไม่ได้ยันต์แผ่นนั้น ป่านนี้เธอคงจะเสียสติไปนานแล้ว
ร้านขายบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปตั้งอยู่ด้านในที่พักผู้โดยสาร แต่ที่สำหรับกดน้ำร้อนอยู่ห่างจากจุดนั้นออกไปเล็กน้อย
ดังนั้น ชายคนนั้นจึงบอกให้ฝ่ายหญิงวางยาสลบเด็กทั้งสอง แต่ไม่จำเป็นต้องทำให้ถึงขั้นสลบ แค่ทำให้พวกเขาไร้เรี่ยวแรงเหมือนตอนนี้ก็พอแล้ว