องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 904
บทที่ 904
ผู้หญิงคนนั้นไม่มีการศึกษา แต่ความจริงแล้วเธอเองก็มีลูกเหมือนกัน แต่ความโลภทำให้คนตาบอด ดังนั้นเธอจึงสนใจแต่เพียงลูกของตัวเองเท่านั้น เธอรู้ว่าการลักลอบค้าเด็กเป็นช่องทางทำเงินง่ายๆ และเธอก็ไม่เคยรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อยแม้จะทำเรื่องไร้หัวใจมาแล้วทุกประเภท ตราบใดที่เธอได้มีชีวิตที่ดี แล้วทำไมเธอต้องสนใจไยดีคนอื่นด้วย
เธอยังเคยถูกตำรวจสอบปากคำมาก่อน แต่นั่นก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ในฐานะนักค้ามนุษย์แล้ว พวกเขารู้ดีว่าตำรวจทำงานกันไร้ประสิทธิภาพเพียงใด ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ด้วยดีตราบใดที่เธอสาบานว่าเธอไม่ได้ทำ
เธอไม่คิดว่าตัวเองทำผิด และไม่คิดว่าสิ่งชั่วร้ายที่เกิดขึ้นในโรงแรมแห่งนั้นมาจากผลกรรมของพวกตัวเอง เธอเพียงแค่รู้สึกว่าพวกเธอบังเอิญดวงซวยเลือกเข้าไปในโรงแรมที่ไม่ควรเข้า
ส่วนเด็กสองคนนี้ หนึ่งในนั้นก็แค่บังเอิญมีตาสีแดง แต่เพราะอย่างนั้นมันจึงทำให้พวกเธอยากจะลงมือทำอะไรได้
ผู้หญิงคนนี้เป็นคนอารมณ์ฉุนเฉียว และเคยเผชิญหน้ากับสถานการณ์ลำบากมาก่อน ดังนั้นสีหน้าตอนที่เธอหันไปมองเสี่ยวชิงเฉิงกับไป๋หลี่ซ่างเสียจึงดูบึ้งตึงอย่างมาก
นักค้ามนุษย์บางส่วนมักแอบระบายความคับข้องใจและโทสะของตัวเองลงที่เด็กหลังจากลักพาตัวพวกเขามา
ผู้หญิงคนนี้ก็เป็นหนึ่งในนั้น เธอยื่นมือออกไปและตั้งใจว่าจะตีเสี่ยวชิงเฉิงสักที เพราะถึงเด็กจะเริ่มร้องไห้ออกมา แต่คนอื่นๆ ที่อยู่ที่นี่ก็คงคิดเพียงแค่ว่าเธออบรมลูกตัวเองเท่านั้น
เด็กทั้งสองเอียงศีรษะชนกันพร้อมกับมองสิ่งต่างๆ ในสถานีรถไฟด้วยความสงสัยใคร่รู้ เสี่ยวชิงเฉิงเริ่มหิวและท้องของเขาก็เริ่มร้อง แต่เขานึกไม่ถึงเลยว่าจู่ๆ ผู้หญิงคนนี้จะยกมือขึ้นตีเขา
แต่ก่อนที่ฝ่ามือของเธอจะฟาดลงมาที่แผ่นหลังของเขา มือเล็กๆ มือหนึ่งก็กระชากมือของเธอออกทันที นิ้วของคนคนนั้นขาวผ่องและงดงามเหมือนกับนิ้วของผู้เป็นพ่อของเขาไม่มีผิด
“ฉันหรืออุตส่าห์คิดว่าจะเล่นกับพวกแกให้นานกว่านี้เสียหน่อย แต่มนุษย์อย่างพวกแกกลับโง่เง่านัก! ไม่ใช่แค่คิดที่จะรนหาที่ตาย แต่ยังกล้าแตะต้องเค้กช็อกโกแลตของฉันครั้งแล้วครั้งเล่า!”
เสี่ยวชิงเฉิงที่ถูกเรียกเป็นเค้กช็อกโกแลต : …
“ต่อให้แกตายไป แต่เราก็ยังมีคนอื่นที่จะพาเราไปที่นั่นได้อยู่ดี” เมื่อคิดได้ดังนั้น ไป๋หลี่ซ่างเสียจึงไม่คิดที่จะปกปิดตัวตนอีกต่อไป ดวงตาของเขาเปล่งแสงแห่งความชั่วร้ายอันเป็นเอกลักษณ์ของปีศาจออกมา
เมื่อเห็นภาพตรงหน้า ดวงตาของผู้หญิงคนนั้นก็เบิกกว้างด้วยความสิ้นหวังอย่างสุดแสน
นี่เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกเสียใจในการกระทำของตัวเองอย่างรุนแรง เธออยากกรีดร้องออกมา แต่เสียงของเธอกลับถูกกั้นเอาไว้ราวกับมีอะไรบางอย่างติดอยู่ในลำคอ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เธอคิดว่าเจ้าสิ่งสกปรกนั้นอยู่ในโรงแรม เธอไม่เคยคิดเลยว่าเด็กๆ ที่พวกเธอลักพาตัวมาจะมีปัญหาได้
ความรู้สึกชาแล่นวาบไปทั่วหนังศีรษะทันทีที่เธอเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายและกระหายเลือดบนใบหน้าหล่อเหลานั้น
พวกเราจับตัวอะไรมา!
ผู้หญิงคนนั้นแทบไม่มีเวลาได้ขยับตัว และเธอก็ไม่สามารถแม้แต่จะสะบัดมือขาวราวกระเบื้องเคลือบนั้นออกไปได้ รู้ตัวอีกทีหมอกแห่งความมืดก็เคลื่อนเข้าปกคลุมร่างของเธอไว้ตั้งแต่หัวจรดเท้า
ความเจ็บปวดนั้นสุดแสนจะทรมาน มันกัดกร่อนเข้าไปจนถึงจิตวิญญาณของเธอเลยทีเดียว
เธออ้าปากค้าง หงายหลังพิงที่นั่งตัวเองอย่างแรง ก่อนที่คอของเธอจะพับลงเหมือนคนนอนหลับ
แต่เสี่ยวชิงเฉิงรู้ว่าเธอไม่ได้นอนหลับ แต่วิญญาณของเธอถูกไป๋หลี่ซ่างเสียกลืนไปแล้วต่างหาก
พูดถึงเรื่องนี้ขึ้นมา หมอนี่ดูจะกินจุทีเดียว
เสี่ยวชิงเฉิงหันหน้าไปมองไป๋หลี่ซ่างเสีย
ไป๋หลี่ซ่างเสียเลียริมฝีปากบาง น้ำเสียงของเขายังคงเย็นชาระหว่างที่ถามว่า ”มองอะไร”
“กินเยอะเกินไปไม่ดีต่อระบบย่อยอาหาร” เสี่ยวชิงเฉิงพูดพร้อมกับลูบท้องตัวเอง จากนั้นเขาก็เงยหน้าขึ้นมองไป๋หลี่ซ่างเสียพลางกล่าวว่า ”ฉันก็หิวแล้วเหมือนกัน”
ไป๋หลี่ซ่างเสียไม่เคยมีประสบการณ์ในการดูแลมนุษย์มาก่อน เขากระโดดลงจากเก้าอี้อย่างเท่ๆ แล้วเปิดกระเป๋าใบเล็กที่ผู้หญิงคนนั้นสะพายอยู่ หลังจากหยิบเงินทั้งหมดออกมา เขาก็พูดต่อด้วยท่าทางทรงอำนาจว่า ”ไว้ขึ้นรถไฟแล้วเราค่อยหาอะไรให้นายกิน”
“อืม” ชิงเฉิงพยักหน้า เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วจึงเสริมว่า ”แล้วก็อีกอย่าง ฉันไม่ใช่เค้กช็อกโกแลต”
ไป๋หลี่ซ่างเสียโต้กลับเสียงเครียดว่า ”ใช่สิ คนอื่นเป็นแค่แฮม แต่นายเป็นเค้กช็อกโกแลต แถมบนตัวก็ยังมีกลิ่นนมติดอยู่ด้วย ฉันได้กลิ่นนะ อย่าได้ดูถูกความสามารถในการรับกลิ่นของปีศาจเชียว”
เสี่ยวชิงเฉิงคิดกับตัวเองในใจลึกๆ ว่า เวยเวยคนสวย เจ้าปีศาจน้อยตนนี้ตะกละเหลือเกิน ผมควรจะทำอย่างไรดี
ร่างเล็กๆ ของไป๋หลี่ซ่างเสียยืนอยู่ตรงนั้น พร้อมกับยัดเงินทั้งหมดเข้าไปในกระเป๋าของเสี่ยวชิงเฉิงที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ มองไกลๆ แล้วท่าทางอวดดีและมาดเท่ๆ ของเขาทำให้เขาดูเหมือนพี่ชายคนโตไม่มีผิด
เมื่อเห็นไป๋หลี่ซ่างเสียเอาเงินทั้งหมดให้กับเขา เสี่ยวชิงเฉิงก็ก้มหน้าลงลูบกระเป๋าใบเล็กๆ ของตัวเองพร้อมกับพูดขึ้นว่า ”ถ้านายอยากกินเค้กช็อกโกแลต ฉันจะขอให้เวยเวยคนสวยทำให้นายกินหลังจากพวกเรากลับไป” อย่างไรเขาก็วางแผนว่าจะเก็บปีศาจน้อยตัวนี้ไว้เป็นสัตว์เลี้ยง ดังนั้นเขาจึงต้องหาวิธีพาไป๋หลี่ซ่างเสียกลับไปที่บ้านของเขาอยู่แล้ว
ไป๋หลี่ซ่างเสียไม่ปฏิเสธข้อเสนอนั้น เขาส่งเสียงเออออแทนคำตอบ ก่อนอุ้มชิงเฉิงที่เตี้ยกว่าเขาครึ่งศีรษะจากเบาะหนึ่งไปยังอีกเบาะหนึ่ง เด็กชายอายุมากกว่าเขาเพียงเล็กน้อย ดังนั้นไม่ว่าเขาจะพยายามมากเพียงใด แต่เขาก็ยังดูค่อนข้างเงอะงะตอนที่อุ้มเสี่ยวชิงเฉิงที่มีขนาดตัวเกือบเท่ากันกับตัวเอง
คนที่รอขึ้นรถไฟอยู่รู้สึกว่าภาพนี้ดูน่ารักอย่างมาก ยิ่งกว่านั้น รูปร่างหน้าตาอันโดดเด่นของเด็กทั้งสองก็ยังยากที่ใครจะมองข้ามได้ และยิ่งทำให้พวกเขาตกเป็นจุดสนใจได้ง่ายขึ้น
“พวกเขาเป็นพี่น้องกันหรือเปล่านะ”
“โห ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว! คนพี่หล่อชะมัด ดูจมูกคมๆ กับผิวขาวๆ นั่นสิ สมบูรณ์แบบอย่างกับรูปวาดแน่ะ แล้วยังตาคู่นั้นอีก พวกมันทั้งใหญ่และเป็นประกาย ฉันว่าเขาต้องเป็นชาวต่างชาติแน่ๆ ตาของเขาก็เลยเป็นสีแดง”
“มีความเป็นไปได้สูงเหมือนกันนะที่เขาจะเป็นลูกครึ่ง ดูผมสีดำของเขาสิ เด็กลูกครึ่งมักจะหน้าตาดีกว่าคนอื่นอยู่แล้ว”
นี่คือสิ่งที่ชายคนนั้นได้ยินตอนที่เขากลับมาพร้อมกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป เขาหรี่ตาเข้าหากันทันทีพร้อมกับรีบสาวเท้าผ่านคนกลุ่มนั้นเข้าไป เมื่อมาถึง เขาก็เห็นว่าเด็กทั้งสองไม่ได้ส่งเสียงเอะอะหรือร้องไห้แต่อย่างใด จากนั้นจึงรู้สึกโล่งใจเมื่อเห็นว่าผู้หญิงคนนั้นยังนั่งอยู่ตรงข้ามกับพวกเขา
แต่ในสถานการณ์แบบนี้ ผู้หญิงคนนั้นยังกล้าหลับลงได้อย่างไร!
ชายคนนั้นไม่พอใจ เขาจึงผลักศีรษะของเธอด้วยมือที่ถือถ้วยบะหมี่อยู่ และพึมพำออกมาเบาๆ ว่า ”เป็นอะไรไป ตื่นได้แล้ว!”
ผู้หญิงคนนั้นไม่มีปฏิกิริยาเลยแม้แต่น้อย ไม่ใช่แค่นั้น แต่เธอยังล้มลงไปด้านข้างทันทีที่ชายหนุ่มแตะตัว โชคดีที่ข้างๆ ไม่มีใครนั่งอยู่ ไม่อย่างนั้นพวกเขาต้องสังเกตเห็นอย่างแน่นอนว่ามีเรื่องผิดปกติเกิดขึ้นกับผู้หญิงคนนั้น
ชายคนนั้นเป็นคู่หูที่ใกล้ชิดกับเธอที่สุด ดังนั้นเขาจึงเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นได้ทันทีที่เห็นสีหน้าผิดปกติของผู้หญิงคนนั้น
เขาค่อนข้างมั่นใจกับคำตอบนั้นทีเดียว ชายหนุ่มพยายามควบคุมอารมณ์ของตัวเองอย่างสุดความสามารถ ไม่ให้โยนบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปในมือทิ้งตั้งแต่ตอนนั้น
เพราะเขารู้ว่าการส่งเสียงดังมีแต่จะดึงความสนใจของผู้คนรอบตัว
ดังนั้น เขาจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องข่มอารมณ์ตัวเองไว้เท่านั้น เขาวางบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปลง แล้วยื่นมือขวาอันสั่นเทาออกไปดึงร่างของผู้หญิงคนนั้นขึ้นมานั่งในท่าเดิม การทำเช่นนี้ย่อมทำให้เธอแค่ดูเหมือนคนนอนหลับ ไม่ใช่คนตาย
หลังจากนั้น ชายหนุ่มจึงหันมองไปรอบๆ แล้วเหลือบมองเด็กทั้งสอง เขาตั้งใจว่าจะป้อนยาที่เหลือให้กับเด็กๆ แล้วคว้าตัวหนึ่งในนั้นขึ้นรถไฟ
แต่ทันทีที่เขาก้มตัวลง เขาก็สังเกตเห็นกระเป๋าใบเล็กๆ ที่อยู่ใต้เท้าของเด็กๆ ได้ กระเป๋าใบนั้นเป็นกระเป๋าที่ผู้หญิงคนนั้นสะพายอยู่ไม่ใช่หรือ ทำไมตอนนี้มันถึงไปอยู่ใต้เท้าของพวกเขาได้ล่ะ