องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 915 ดูถูกเวยเวย
บทที่ 915 ดูถูกเวยเวย
หลังจากหลบซ่อนตัวอยู่นานกว่าเก้าชั่วโมง ในที่สุดนักค้ามนุษย์ก็มาถึงโกดังราวช่วงตีสอง
ความจริงแล้วที่ที่เรียกว่าโกดังแห่งนี้คือสถานที่ที่พวกเขาเก็บเด็กที่ถูกลักพาตัวมาไว้นั่นเอง
เด็กเหล่านั้นถูกลักลอบขนย้ายไปยังสถานที่ต่างๆ ทั่วประเทศ เด็กโตบางคนต้องอดอาหารเป็นเวลาสองวันเพื่อให้เชื่อฟังก่อนขาย
เด็กบางคนเพิ่งอายุได้เพียงสัปดาห์กว่าๆ และระบบความจำของพวกเขาก็ยังไม่ทันพัฒนาเลยด้วยซ้ำ เด็กอายุเท่านี้จัดการได้ง่ายที่สุด หลังจากปล่อยพวกเขาเอาไว้กับพี่เลี้ยงมืออาชีพไม่กี่วัน พวกเขาก็จะอยู่ในสภาพพร้อมขายทันที
ไม่ว่าจะเป็นเด็กอายุเท่าใด แต่หากพวกเขาออกจากโกดังไปแล้วก็ยากจะระบุได้อีกว่าพวกเขาอยู่ที่ใด
เพราะกว่าจะถึงตอนนั้น พวกเขาก็ถูกลักลอบขายไปหลายที่แล้ว
เด็กผู้ชายจากชนบทเป็นที่ต้องการมากที่สุด คนที่มีปัญหาไม่สามารถมีลูกได้มักจะใช้เงินเพื่อซื้อเด็กแทน เด็กคนหนึ่งจึงมีค่าตัวเป็นเงินได้ตั้งแต่สองหมื่นถึงห้าหมื่นหยวนเลยทีเดียว
หลังจากการซื้อขายและเพิ่มชื่อของพวกเขาลงในทะเบียนเสร็จสิ้น เด็กคนนั้นจะเป็นสมบัติของพวกเขาตลอดไป ต่อให้ตำรวจต้องการสืบหาที่มาของเด็กคนนั้น แต่พวกเขาก็จะไม่เจออะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว
ตรงกันข้ามกับเด็กพวกนั้น เด็กที่ขัดขืนจะถูกขายให้กับ ”ค่ายขอทาน” ค่ายขอทานนี้มีอิทธิพลต่อผู้คนในพื้นที่อย่างมาก ทั้งยังมีระบบที่ไม่สามารถแทรกแซงได้เป็นของตัวเองอีกด้วย พวกเขาจะหักขาของเด็กๆ แล้วส่งพวกเขาไปขอทานตามท้องถนนเพื่อสร้างรายได้หลักให้กับค่าย
เมื่อถึงตอนนั้น ต่อให้แจ้งตำรวจไปก็ไร้ประโยชน์ ตำรวจไม่สนใจที่จะสอบสวนคดีพวกนี้ด้วยซ้ำเพราะพวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องเริ่มจากจุดไหน
จีนแผ่นดินใหญ่มีประชากรมากมาย ดังนั้นเมื่อเด็กที่ถูกค้ามนุษย์ได้รับการอุปถัมภ์อย่าง ”ถูกต้องตามกฎหมาย” พวกเขาก็เหมือนได้รับการอำพรางร่องรอยไว้อย่างดี
มีหลายครั้งที่พ่อแม่บางคน ไม่ว่าจะร่ำรวยหรือยากจนต่างก็พยายามค้นหาลูกๆ ที่หายไปของตัวเองทั่วประเทศจีน
พวกเขาอาจต้องใช้เวลานานนับปี สามปี หรือมากกว่านั้นในการตามหาพวกเขา
แต่ความจริงแล้วเรื่องที่น่าเศร้าที่สุดกลับไม่ใช่การหาลูกไม่เจอ
ภาพที่โหดร้ายที่สุดคือเวลาที่คนเป็นพ่อแม่เดินอยู่บนถนน เห็นเด็กน้อยน่าสงสาร แล้วเอาเงินให้พวกเขาแต่กลับจำไม่ได้ว่าขอทานคนนั้นคือลูกชายที่พวกเขาแสนคิดถึงต่างหาก
เมื่อเวลาผ่านไป เด็กน้อยก็โตขึ้นจนไม่เหลือเค้าเดิมของทารกตัวน้อยที่พวกเขาเคยเป็น ดังนั้นจึงเป็นการยากที่พ่อแม่ลูกจะจำกันได้
ชีวิตจริงไม่เหมือนละคร แม้พ่อแม่ส่วนใหญ่ที่ได้รับความช่วยเหลือจากตำรวจจะหาลูกเจอ แต่ลูกๆ กลับเห็นพ่อแม่ของตัวเองเป็นแค่คนแปลกหน้าเท่านั้น
ดังนั้นสิ่งเดียวที่คนเป็นพ่อแม่สามารถทำได้ก็คือการอธิษฐานอย่างแรงกล้า
พวกเขาทำได้เพียงอธิษฐานขอให้ลูกๆ ของตัวเองถูกคนใจดีซื้อไป ต่อให้พวกเขาจะไม่สามารถอยู่เคียงข้างลูกได้ก็ตาม
ผลลัพธ์เช่นนี้ย่อมดีกว่าการที่ลูกของตัวเองถูกตัดแขนตัดขาแล้วส่งไปเป็นขอทาน
แต่นักค้ามนุษย์พวกนี้ไม่เคยคิดถึงจิตใจคนอื่น พวกเขาต้องการแต่จะหาเงินให้ได้มากขึ้นเท่านั้น
ยิ่งเมื่อมีองค์กรทรงอิทธิพลคอยหนุนหลังอยู่ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะถูกเปิดโปง เพราะทันทีที่พวกเขาได้เป็นเจ้าถิ่นของที่นี่ ก็เท่ากับว่าพวกเขาต่างหากที่เป็นกฎหมาย
ไม่มีเจ้าหน้าที่คนไหนกล้าขัดขวางพวกเขา
นี่จึงเป็นอีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้นักค้ามนุษย์รู้สึกโล่งใจทันทีที่มาถึงโกดัง เมื่อกลับมาถึงถิ่นแล้วเขาก็ไม่มีอะไรให้ต้องหวาดกลัวอีก
นักค้ามนุษย์รู้ว่าคู่ต่อสู้ที่เขาเจอที่สถานีรถไฟคงไม่มีทางปล่อยเขาไปอย่างแน่นอน แต่เขาก็แทบไม่กังวลเลยแม้แต่นิดเดียว ที่นี่เป็นอาณาเขตของกลุ่มเขา ต่อให้ผู้หญิงคนนั้นจะมาจากตระกูลผู้ขับไล่วิญญาณร้าย แต่ตราบใดที่เธอเข้ามาอยู่ในนี้ พวกเขาย่อมสามารถฆ่าเธอได้อย่างง่ายดาย!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ นักค้ามนุษย์จึงโทรศัพท์หารุ่นพี่ของตัวเองแล้วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้เหล่าลิ่วฟัง
เหล่าลิ่วเป็นคนมีเส้นสายมากมาย เขากำลังนั่งดื่มกับผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งอยู่ตอนที่นักค้ามนุษย์โทรเข้ามา หลังจากรับสาย พวกเขาก็ชนแก้วกัน ”ถ้ามีอะไรผิดพลาด คงต้องรบกวนพี่ใหญ่แล้ว”
“ถึงไม่บอก ฉันก็ต้องช่วยจัดการอยู่แล้ว แต่เหล่าลิ่ว ฉันต้องขอเตือนนายไว้ก่อนว่าอย่าทำอะไรให้มันล้ำเส้นเกินไปนักล่ะ” ชายคนนั้นบอกพร้อมกับยกไวน์ขึ้นดื่ม จากนั้นจึงพูดกับเหล่าลิ่วเหมือนพูดกับเพื่อนว่า ”ควบคุมอารมณ์ของนายเอาไว้ในยามจำเป็น และจงทำตัวดีๆ อย่าสร้างปัญหาให้กับคนอื่น”
“ครับๆ พี่ใหญ่พูดถูกแล้ว” พอพูดจบ เหล่าลิ่วก็หันไปสั่งพนักงานหญิงในร้านว่า ”มัวทำอะไรอยู่ ไม่เห็นหรือว่าแก้วของพี่ใหญ่พวกเราว่างแล้ว รีบรินเพิ่มเร็วๆ สิ”
พนักงานคนนั้นยิ้มออกมาอย่างไร้เดียงสาแต่ก็ดูยั่วยวน เธอขยับเข้าไปหาแขกคนดังกล่าวพร้อมกับรินไวน์เติมให้เขา และพยายามอย่างสุดชีวิตเพื่อให้ลูกค้าของตัวเองพอใจ
หลังจากดื่มเสร็จ เขาก็สั่งให้พนักงานสาวพาแขกไปส่งที่ห้องสวีทสุดหรู
นี่เป็นหนึ่งในมาตรการรับมือที่คาดหวังผลได้มากที่สุด
หากใช้วิธีนี้ ก็จะไม่มีใครตรวจสอบรถไฟสีเขียวที่จะออกเดินทางจากเมืองอวิ๋นกุยในวันนี้ได้
จีนแผ่นดินใหญ่ไม่เหมือนกับที่อื่น ความร่วมมือระหว่างองค์กรต่างๆ นั้นไม่ได้ง่ายอย่างที่คิด การดำเนินการต่างๆ มักจะยากขึ้นเมื่อมีอันธพาลประจำถิ่นเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้นักค้ามนุษย์สามารถลงมือได้อย่างโจ่งแจ้งตอนกลางวันแสกๆ เมื่ออยู่ในพื้นที่นี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่ได้ตรงไปที่สถานีรถไฟ แต่กลับพาเด็กทั้งสองไปที่ร้านอินเตอร์เน็ตใกล้กับสถานีรถไฟ ร้านแห่งนี้มีคนเล่นเกมอยู่เต็มร้าน และนี่ก็ปาเข้าไปเป็นเวลาสองนาฬิกาของวันใหม่แล้ว ดังนั้นชายที่โต๊ะหน้าร้านจึงอยู่ในสภาพอ่อนล้าอย่างมาก พอเขาได้ยินเสียงพวกเธอเดินเข้ามา เขาก็พูดขึ้นโดยไม่คิดแม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมาว่า ”จะจองเล่นทั้งคืนหรือแค่สองสามชั่วโมงล่ะ ทั้งคืนสิบหยวน รายชั่วโมงราคาห้าหยวนสำหรับคนที่ไม่ใช่สมาชิก ส่วนสมาชิกราคาชั่วโมงละสามหยวนครึ่ง”
“ฉันมาหาเจ้าแมวเฒ่า เถ้าแก่ของนาย”
แค่คำว่าแมวเฒ่าคำเดียวก็เพียงพอแล้วที่จะปลุกให้ชายคนนั้นตื่น เขาเงยหน้าขึ้นมามองเฮ่อเหลียนเวยเวยทันทีทั้งที่ตอนแรกยังหมอบอยู่กับแป้นพิมพ์ตรงหน้า คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันเมื่อสังเกตเห็นเด็กชายสองคนที่ยืนอยู่ข้างเธอ ”แน่ใจหรือว่ามาหาเถ้าแก่”
“แน่ใจสิ” เฮ่อเหลียนเวยเวยตอบพลางหยิบโทรศัพท์ออกมาแสดงรูปรูปหนึ่งให้ชายคนนั้นดู
ชายคนนั้นดูอึดอัดใจเล็กน้อยขณะพึมพำว่า ”มาคุยเรื่องงานแท้ๆ ทำไมถึงพาเด็กมาด้วยตั้งสองคนล่ะ” เขาหยิบบางอย่างออกมาก่อนจะลุกขึ้นยืน ”เถ้าแก่อยู่หลังร้าน เขาบอกผมแล้วว่าวันนี้กำลังรอคนอยู่”
เฮ่อเหลียนเวยเวยพาเด็กน้อยทั้งสองไปด้วย ชายคนนั้นพาพวกเธอเดินอ้อมหน้าร้านก่อนเคาะประตูสามครั้งแล้วจึงผลักประตูบานนั้นเพื่อให้เฮ่อเหลียนเวยเวยและเด็กชายเข้าไป
ห้องนี้ไม่ได้มีขนาดใหญ่โตนัก และยังมีกลิ่นชาอบอวลไปทั่วอากาศ ที่กลางห้องมีโต๊ะไม้ตัวหนึ่งตั้งอยู่ บนโต๊ะมีชุดน้ำชากับคางคกหยกสีม่วงวางอยู่ คางคกหยกตัวนี้ทำมาจากหินที่มีความโปร่งแสงสูง มองครั้งเดียวก็รู้ว่ามันไม่ใช่เพียงแค่ของตกแต่งธรรมดา
เมืองอวิ๋นกุยขึ้นชื่อเรื่องน้ำชา นอกจากนั้นคนที่นี่ก็ยังชื่นชอบการดื่มชาและสะสมชุดน้ำชาเป็นเรื่องปกติ แต่สิ่งที่ผิดปกติคือการที่ร้านอินเตอร์เน็ตแบบนี้กลับมีคางคกหยกสีม่วงอันแสนล้ำค่าวางอยู่ในร้านต่างหาก
คนที่ดื่มชาอยู่เป็นชายวัยกลางคนที่สวมสร้อยลูกประคำไว้ที่ข้อมือ เมื่อเห็นเฮ่อเหลียนเวยเวยเดินเข้ามา เขาก็เงยหน้าขึ้นแล้วถามว่า ”อาจารย์วานรส่งคุณมาที่นี่หรือ”
อาจารย์วานรหรือ? หูเล็กๆ ของเสี่ยวชิงเฉิงกระดิกเมื่อได้ยินชื่อที่คุ้นเคย เขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าลุงวานรจะมีตำแหน่งที่มีเกียรติถึงขนาดนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้มออกมาเล็กน้อยพร้อมกับพยักหน้าแทนคำตอบอย่างเงียบๆ
ชายวัยกลางคนคนนั้นมองเธอ ก่อนจะหันไปมองเสี่ยวชิงเฉิงกับเสี่ยวซ่างเสียที่อยู่ด้านหลังแล้วกล่าวว่า ”คุณหนู ฉันรู้ว่าคุณมาที่นี่ทำไม ในเมื่ออาจารย์วานรเป็นคนแนะนำมา ดังนั้นฉันจึงจำต้องเตือนคุณเอาไว้ก่อนว่าทุกแห่งล้วนมีกฎเกณฑ์ที่คุณจำต้องทำตาม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเป็นเรื่องของการลักลอบค้าเด็ก เรื่องบางเรื่องคุณก็ไม่ควรเข้ามาก้าวก่าย และควรอยู่ให้ไกลจากมัน”