องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 93 จุดประกายระหว่างคนทั้งสอง
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ดีว่าตอนนี้ทุกคนกำลังรอดูเรื่องตลกของนางอยู่
แต่จะให้นางตบตัวเองเช่นนั้นหรือ
ขอโทษนะ
แต่นางทำไม่ได้หรอก!
ไหนๆ เรื่องก็เลวร้ายถึงขนาดนี้แล้ว นางจะยอมทำทุกอย่าง และไม่ว่าในสำนักไท่ไป๋แห่งนี้ จะมียอดฝีมืออยู่มากมายเพียงใด นางก็จะหาทางหนีไปให้ได้
ดูเหมือนว่ากลิ่นอายสังหารนั้นได้แผ่ออกมาจากร่างของหญิงสาว จนทำให้หยวนหมิงต้องลืมตาขึ้นมาเงียบๆ และปลุกแมวขาวที่อยู่ในมิติสวรรค์ขึ้นมาด้วยเช่นกัน
ทันใดนั้น ทั้งสองร่างก็ปรากฏตัวขึ้นด้านหลังเฮ่อเหลียนเวยเวย
แต่เมื่อเห็นว่าไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาฝ่ามือใหญ่โอบเอวของนาง และดันออกเบาๆ จากนั้น เขาก็พูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ส่วนเจ้า รอจนกว่าข้าจะมาจัดการภายหลัง”
เฮ่อเหลียนเวยเวยชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นจึงเก็บกลิ่นอายสังหารในตัวเองกลับมา และมองอีกฝ่ายด้วยความสงสัย
หรือว่าคนที่เขาบอกให้ตบปากตัวเอง ไม่ใช่นางเช่นนั้นหรือ
แต่… จะกลับมาจัดการนางทีหลังนี่หมายความว่าอย่างไร
เฮ่อเหลียนเวยเวยกลอกตาอย่างอดไม่ได้ เขาอาจหมายถึงว่าเขาจะไม่ยอมปล่อยนางไปง่ายๆ
ตอนนี้ นางลืมความร่วมมือระหว่างตนเองกับฮองเฮาไปแล้ว คนหนึ่งพูด อีกคนสนับสนุน คนเฉลียวฉลาดอย่างเขาไม่มีทางที่จะดูไม่ออก
นางไม่ใช่คนที่จะถูกชักจูงได้ง่ายๆ เขายิ่งไม่ใช่คนที่จะสามารถยอมทนต่อคำพูดของคนอื่นได้
เขาเป็นถึงองค์ชาย แล้วนี่มันจะไม่ใจแคบไปหน่อยหรือ นางเพียงแค่พูดสองสามคำเพื่อให้สอดคล้องกับบริบทเท่านั้น แล้วเขาไม่ทำตัวโหดร้ายไปหน่อยหรือ
แล้วถ้าคนที่ต้องตบปากตัวเองไม่ใช่นาง
ถ้าอย่างนั้น…
เฮ่อเหลียนเวยเวยเงยหน้าขึ้น และมองไปทางฮองเฮา แต่นางก็เห็นเพียงใบหน้าซีดเซียวของอีกฝ่ายที่ดูคล้ายกำลังจะเป็นลม
มู่หรงฮองเฮากำมือแน่น ร่างกายที่อ่อนแรงของนางนั้นเอนลงพิงเก้าอี้ พลางมองดูท่าทีของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย นางอดไม่ได้ที่จะรู้สึกถึงความเย็นยะเยือกจากก้นบึ้งของหัวใจ แต่ในสถานการณ์แบบนี้…นางกลับรู้สึกว่า…
“ฮองเฮา เชิญท่านออกไปก่อนเถิด” อดีตฮ่องเต้ที่ไม่ได้ตรัสอะไรมาโดยตลอดได้เปิดปากและตรัสด้วยรอยยิ้มว่า “หึๆ เจ้าก็รู้ไม่ใช่หรือว่าเด็กคนนี้มีนิสัยอย่างไร แต่เจ้าก็มักจะบุ่มบ่ามเข้าไปแทรกแซงอยู่เสมอ ในฐานะของฮองเฮา เจ้าก็ควรประพฤติตนอย่างเหมาะสม ตราบใดที่เจ้าดูแลวังหลังได้ดี นั่นก็เพียงพอแล้ว ส่วนการตัดสินใจในครั้งนี้เป็นเรื่องขององค์ชาย แต่เจ้ากลับเข้าไปยุ่งตามอำเภอใจเช่นนี้ เจ้าอยากให้จวนอ๋องมู่หรงต้องแบกความรับผิดชอบด้วยเช่นนั้นหรือ”
เมื่อได้ยินดังนั้น แผ่นหลังของมู่หรงฮองเฮาก็แข็งเกร็ง นางยังจะกล้าพูดอะไรได้อีก นอกจากจะตอบอีกฝ่ายว่า ‘เพคะ’ แล้วเหล่าสาวใช้ในวังก็เข้ามาประกบซ้ายขวาของนาง ก่อนจะประคองนางให้ลุกขึ้น จากนั้นก็พานางเดินออกไป
อดีตฮ่องเต้ไม่ได้พยายามพูดเพื่อปกป้องมู่หรงฮองเฮาแต่อย่างใด เขาเพียงแค่ไม่ต้องการให้มีเรื่องอื่นเข้ามากระทบการเลือกชายาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
ตอนนี้ เขาเริ่มสงสัยว่าที่เจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้ทำตัวเช่นนี้ ก็เพียงเพราะต้องการให้เขาขุ่นเคืองใจ และจงใจให้เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่เลือกคู่ครองอย่างเหมาะสม
ยิ่งอดีตฮ่องเต้ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกว่ามันเป็นไปได้มากขึ้นเท่านั้น เขาขบฟันกรอด และเมื่อเงยหน้าขึ้นอีกครั้ง เขาก็มีท่าทีราวกับเป็นผู้อาวุโสที่ปล่อยวางทุกสิ่งได้แล้ว “เจ้าสาม เจ้าก็พูดจาฉุนเฉียวเกินไป ดูสิว่าบุตรสาวตระกูลเฮ่อเหลียนหวาดกลัวเจ้าเพียงใดแล้ว”
หลังจากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยได้ยินเช่นนั้น นางก็พยักหน้าเห็นด้วย ถูกต้องเลย นางหวาดกลัวเขาอย่างมาก
นางเข้าใจมาตลอดว่าตนเองเพียงแค่มาร่วมงานเลี้ยงในครั้งนี้เท่านั้น แต่เรื่องราวกลับกลายเป็นว่านางได้เป็นตัวเอกของงานเลี้ยงได้อย่างไรกัน
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองเฮ่อเหลียนเวยเวยและยิ้มให้อย่างเยือกเย็น
นางยังกล้าพยักหน้าอีกหรือ
ตอนที่นางพูดลับหลังว่าเขาเป็นพวกตัดแขนเสื้อ ทำไมถึงไม่เห็นว่านางจะหวาดกลัวเขาเลยเล่า
แล้วตอนที่นางขายผ้าเช็ดหน้าให้คนอื่นอย่างไม่สนใจ เขาก็ไม่เห็นว่านางจะกลัวเขาตรงไหนเลย
คำพูดที่ออกมาจากปากของเจ้าตัวเล็กคนนี้ ไม่มีความซื่อสัตย์เลยแม้แต่นิดเดียว
เฮ่อเหลียนเวยเวยสังเกตเห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ดูเหมือนว่าเขาจะรู้ทันว่านางกำลังเสแสร้งอยู่
แม้แต่การกระทำของเขาในตอนนี้ ก็เพียงเพื่อตักเตือนนางว่าอย่าเล่นแง่ต่อหน้าเขาก็เท่านั้น
เห็นได้ชัดว่าเขาเบื่อหน่ายกับการเลือกชายาอย่างมาก แล้วทำไมเขาถึงยังมอบดอกไม้ให้กับนางเล่า
หรือมีเหตุผลอะไรเช่นนั้นหรือ
สายตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นประกาย ประการแรก เพราะว่านางไม่มีอำนาจใดๆ และประการที่สอง นางก็ไม่ได้มีอิทธิพลใดๆ เช่นกัน
ดังนั้นหลังจากแต่งงานกัน แม้ว่านางจะรู้ว่าเขาเป็นพวกตัดแขนเสื้อ นางก็จะไม่โวยวายและสร้างความวุ่นวายเหมือนกับบุตรสาวของเหล่าขุนนางคนอื่นๆ
เขาคงคิดว่านางเป็นม่านหมอกที่ดีที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย เพราะหากใช้วิธีนี้ ไม่เพียงแต่เขาจะสามารถลดแรงกดดันจากอดีตฮ่องเต้ได้ แต่เขายังสามารถรักษาภาพลักษณ์อันสูงส่งของตนเองไว้ได้ด้วยเช่นกัน
ช่างเจ้าเล่ห์ยิ่งนัก ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยช่างเจ้าเล่ห์เกินไปจริงๆ
แม้ว่านางจะมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเช่นนั้น แต่เขาก็ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ เขาเพียงแค่ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่
แต่ในดวงตาคู่นั้นที่ดูเฉยเมยอยู่ตลอดเวลา ตอนนี้แม้ว่าจะเต็มไปด้วยความโกรธ ก็ยังดีกว่าที่นางไม่สนใจอะไรเลย
อดีตฮ่องเต้มองดูสถานการณ์ด้านล่างจากบัลลังก์ เขาขมวดคิ้วของตน ก่อนจะยกแขนขึ้น ดูเหมือนว่าเขาจะเหนื่อยล้าอย่างมาก “เอาล่ะ นี่ก็ดึกมากแล้ว ข้าเองก็เหนื่อยมากแล้วเหมือนกัน เจ้าสาม เจ้าอยู่กับข้าก่อน ส่วนคนอื่นๆ ก็แยกย้ายกันไปได้ เรื่องของการคัดเลือกพระชายานั้น ก็รอจนกว่าการแข่งขันประลองยุทธ์จะจบเสียก่อน แล้วค่อยพูดถึงผลลัพธ์กัน”
หลังจากที่ตรัสออกไปจบแล้ว อดีตฮ่องเต้ก็ยกมือขึ้นมานวดหน้าผากของตนเอง ในระหว่างนั้น เขาก็ไม่ลืมที่จะหันไปมองไป๋หลี่เจียเจวี๋ย
เมื่อทุกคนได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็รู้ว่าอดีตฮ่องเต้หมายถึงอะไร หากไม่มีเรื่องอะไรอย่างอื่น เขาก็กำลังบอกว่า วันนี้ไม่ได้เอาจริง
แน่นอนว่าทุกคนฉลาดพอที่จะไม่พูดอะไร
ภายใต้ดวงตาของเฮ่อเหลียนเวยเวยนั้นส่องประกายแห่งความยินดี ดูเหมือนว่าอดีตฮ่องเต้ต้องการพูดคุยกับองค์ชายสามเกี่ยวกับเรื่องคัดเลือพระชายาของเขาอย่างแน่นอน
เฮ้อ องค์ชายสามคนนี้ก็จริงๆ เชียว ในบรรดาผู้คนทั้งหมดที่เขาสามารถมอบดอกไม้ให้ได้ เขากลับเลือกที่จะมอบให้นาง โดยต้องการที่จะใช้นางเป็นโล่กำบัง เพื่อยั่วโทสะให้อดีตฮ่องเต้โกรธเคือง
และในที่สุด มันก็ได้ผล อดีตฮ่องเต้รู้สึกโกรธจนศีรษะของเขาแทบจะระเบิดออกมา
ถ้าไม่มีใครอยู่ตรงนั้น เขาก็คงจะระเบิดออกมาอย่างแน่นอน
แต่ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
ในที่สุด นางก็เป็นอิสระแล้ว ความรู้สึกที่ได้รับบทตัวเอก โดยไร้ซึ่งเหตุผลใดๆ นั้นช่างแปลกประหลาดจริงๆ รอยยิ้มเล็กน้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้าของนาง
แล้วริมฝีปากบางของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยก็ยิ้มขึ้นเล็กน้อย โดยที่ร่องรอยของความเย็นชายังคงปรากฏอยู่
มีคนกำลังดื่มด่ำกับความสุขเร็วเกินไป แต่มันก็ไม่สำคัญ
การจะจับเหยื่อให้ได้นั้น จำเป็นต้องดำเนินการอย่างช้าๆ ทีละขั้นตอน ขั้นแรก ต้องทำให้เหยื่อรู้สึกตายใจก่อน และให้มันคิดว่าตนเองหนีพ้นจากการถูกจับได้แล้ว
จากนั้น ก็ค่อยเอื้อมมือเข้าไปหยุดมันอีกครั้ง เพื่อไม่ให้เหยื่อหลบหนีไปอีก
การได้มองดูเหยื่อที่ค่อยๆ หดหู่ลงนั้น คงจะน่าสนใจไม่น้อย…
…
“เจ้าต้องการจะทำอะไรกันแน่!”
ปัง!
เมื่อทุกคนแยกย้ายกันออกไปแล้ว อดีตฮ่องเต้ก็ตบโต๊ะไม้อย่างแรง ใบหน้าของเขาดูน่ากลัว และแสดงออกให้เห็นถึงการอยู่ในอำนาจ มือที่เยือกเย็นและแหลมคมราวกับดาบที่ถูกชักนั้นส่องประกายออกมาราวกับจะกลืนกินผู้คน สิ่งของต่างๆ ที่อยู่บนโต๊ะไม้ รวมถึงถ้วยชาและของว่างต่างสั่นสะเทือน
ทุกคนรู้ดีว่าอดีตฮ่องเต้ไม่เคยโกรธเคืองอะไรง่ายดายเช่นนี้ ทุกๆ รอยยิ้มและความโกรธของเขา จะแสดงออกมาก็ต่อเมื่อมันมีจุดประสงค์บางอย่างเท่านั้น
แต่วันนี้ เขาโกรธมากจริงๆ
หลานชายสุดที่รักของเขากลับเลือกผู้หญิงไร้ค่าที่เคยถูกคนอื่นปฏิเสธและเคยถูกถอนหมั้นมาแล้ว
เหตุใดเด็กคนนี้จึงไม่คิดทบทวนให้ถี่ถ้วนเล่า หากเขาแต่งงานกับเฮ่อเหลียนเวยเวย แล้วในอนาคต เขาจะนั่งบนบัลลังก์ในท้องพระโรงแห่งนั้นได้อย่างไรกัน เมื่อถึงเวลานั้น ย่อมทำให้เกิดการโต้เถียงกันในราชสำนัก
ไม่ต้องสงสัยเลยว่า มันจะทำให้สี่ตระกูลใหญ่มีโอกาสที่จะสาดโคลนใส่เขาด้วยเช่นกัน
เขาไม่อยากเชื่อเลยว่าเจ้าเด็กตัวเหม็นนี่จะมองข้ามสิ่งเหล่านี้ไปได้
เด็กคนนี้ได้แสดงให้เห็นว่าสติปัญญาและความเฉลียวฉลาดของเขานั้นสูงเกินอายุตั้งแต่ยังเล็กแล้ว
และตอนนี้ ตัวเขาเองก็แก่แล้ว บางทีเขาอาจจะอยู่ไม่ถึงฤดูหนาวปีนี้ด้วยซ้ำ
แต่ลูกชายของเขากลับทำให้ต้องผิดหวังอีกครั้ง และยังถูกมู่หรงฮองเฮาทำเสน่ห์ใส่จนหลงใหลหัวปักหัวปำ (เป็นคำพูดเปรียบเปรยว่าเขาถูกนางทำเสน่ห์ใส่) และยังไม่แสดงความคิดเห็นใดๆ อีกด้วย
แทนที่เขาจะปล่อยให้ราชบัลลังก์ถูกลูกชายของเขาที่เอาแต่หลงใหลในตัวผู้หญิงทำลายจนสิ้น แล้วทำไมเขาจะไม่มอบมันให้กับเจ้าเด็กตัวเหม็นคนนี้เล่า
แต่ในช่วงเวลาวิกฤตเช่นนี้ เขารู้สึกผิดหวังยิ่งนัก!