องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 931 องค์ชาย ช่วยรักษามารยาทด้วย...
ตราบใดที่เขาไม่ยอมรับผิด คนที่อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ย่อมช่วยปกป้องเขา
สุดท้าย คนที่จะเสียเปรียบย่อมไม่ใช่เขา แต่เป็นผู้ชายคนนั้น
แม้เหล่าลิ่วจะไม่เคยนึกสงสัยในเรื่องนี้ แต่เขาก็กลัวไป๋หลี่เจียเจวี๋ยอย่างมาก โชคดีที่คนกลุ่มนี้บุกเข้ามาก่อน ไม่อย่างนั้นเขาคงฉี่ราดออกมาด้วยความหวาดกลัว
เฮ่อเหลียนเวยเวยรู้ว่าการก่อเหตุวุ่นวายครั้งใหญ่นี้ย่อมส่งผลให้พวกเธอทุกคนถูกควบคุมตัวอย่างแน่นอน
เธอรอเวลานี้มานานแล้ว
ก่อนที่จะขึ้นรถไฟ เธอแอบแจ้งสถานการณ์ของรถไฟขบวนนี้ให้เจ้าหน้าที่ทราบ
แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขาไม่ได้คิดที่จะลงมือเลยแม้แต่นิดเดียว
นักค้ามนุษย์พวกนี้ยังทำธุรกิจกันได้เหมือนปกติ
สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้เฮ่อเหลียนเวยเวยตระหนักได้ว่า ถ้าไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรง คนพวกนี้ย่อมไม่ได้รับผลกระทบอันใดจากมัน
สาเหตุที่พวกเธอขึ้นรถไฟมาก็เพื่อสร้างสถานการณ์ดึงความสนใจทั้งหมดให้มาอยู่ที่ตู้เสบียงแห่งนี้
แต่พวกเธอยังไม่ทันจะได้ลงมือ องค์ชายก็พาเครื่องบินส่วนตัวของตัวเองมาลงจอดบนหลังคารถไฟเสียก่อน
การทำเช่นนี้ก็เหมือนการประชาสัมพันธ์ให้กับรถไฟขบวนนี้ไม่มีผิด
ดังนั้น มันจึงเป็นการยากที่ฝ่ายบริหารสูงสุดจะมองข้ามสิ่งนี้ไปได้
นี่คือผลลัพธ์ที่เฮ่อเหลียนเวยเวยต้องการอย่างแท้จริง
เพราะกับเรื่องบางเรื่อง เราต้องรอจนกว่าอีกฝ่ายจะไม่สามารถปิดบังความจริงได้อีกต่อไปแล้วเท่านั้น จึงจะสามารถทำให้คนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับมันพบกับความพ่ายแพ้ได้
ดังนั้นตอนที่คนพวกนั้นบุกเข้ามา เฮ่อเหลียนเวยเวยจึงยกแขนข้างหนึ่งขึ้น พร้อมกับใช้แขนอีกข้างเกี่ยวแขนขององค์ชายเอาไว้ ส่งผลให้เขาต้องยกแขนขึ้นเหมือนกัน
จะโทษที่เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดมากเกินไปก็ไม่ได้ เพราะองค์ชายพร้อมฆ่าทุกคนทันทีที่เขารู้สึกไม่พอใจ ไม่ว่าคนที่บุกเข้ามาจะเป็นคนดีหรือคนร้ายก็ตาม
องค์ชายพอใจอย่างมากที่เฮ่อเหลียนเวยเวยเป็นฝ่ายจับมือเขาก่อน เขากระตุกยิ้ม จากนั้นจึงเอียงศีรษะเล็กน้อยเพื่อแอบมองเฮ่อเหลียนเวยเวย
เฮ่อเหลียนเวยเวยยังคงจับองค์ชายยกแขนขึ้น ดวงตาของเธอสงบราบเรียบ
เสี่ยวซ่างเสียกับเสี่ยวชิงเฉิงมองพวกเขาอยู่ครู่หนึ่ง แล้วพากันยกแขนขึ้นฟ้าเลียนแบบเฮ่อเหลียนเวยเวย
เด็กชายตัวน้อยทั้งสองไม่ได้สูงนัก อย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นแค่เด็กอายุสามขวบ พวกเขาจึงยิ่งดูน่ารักอย่างมากเมื่อยกแขนขึ้นเช่นนี้
แต่เสี่ยวซ่างเสียกลับมีสีหน้าเย็นชาขณะใช้ดวงตาเบื่อหน่ายมองคนพวกนั้น ท่าทางของเขาดูไม่เหมือนคนที่คิดจะยอมจำนน แต่เหมือนคนที่กำลังประเมินว่า ’อาหาร’ จะอร่อยหรือไม่
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยคุ้นเคยกับสายตาเช่นนั้นดี ดังนั้นเขาจึงหันไปหาอีกฝ่ายแล้วส่งสายตาเป็นเชิงเตือน “ฉันเคยคุยกับแกเรื่องมารยาทการกินไปแล้ว แต่การขึ้นรถไฟในวันนี้คงจะทำให้แกลืมทุกอย่างไปหมดแล้วกระมัง“
“มารยาทการกินอะไรหรือครับ” เสี่ยวชิงเฉิงถามอย่างสงสัยพลางหันกลับไปมองทั้งที่แขนสองข้างยังชูอยู่กลางอากาศ
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเหลือบมองลูกชายคนเล็กที่ไม่เคยพบหน้ามาก่อน แล้วอธิบายอย่างช้าๆ ว่า ”ห้ามกินของที่เปื้อนไปด้วยเหงื่อหรือคราบสกปรกโดยเด็ดขาด หลังจากนี้แกเองก็ต้องปฏิบัติตามนี้เหมือนกัน“
ประโยคนี้ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ
แต่ถ้าสิ่งที่พวกเขากินคือมนุษย์ละก็…
ใบหน้าเล็กๆ ของเสี่ยวชิงเฉิงเผยความสับสนออกมาเล็กน้อยระหว่างที่เงยหน้าขึ้นมองเพดานของรถไฟอย่างเงียบๆ
คนที่บุกเข้ามาต่างคาดไม่ถึงว่าจะได้เห็นเด็กตัวเล็กๆ อยู่ที่นี่
ตอนแรกพวกเขาดูตกใจทีเดียว แต่พวกเขาก็ขมวดคิ้วทันทีที่ได้ยินอีกฝ่ายคุยกันเรื่องอาหารการกิน จากนั้นจึงกดหูฟังตัวเองแล้วเอ่ยว่า “รายงานสถานการณ์ครับ บนตู้โดยสารมีเด็กเล็กอยู่ด้วยสองคน ไม่สิ ไม่ใช่แค่สอง แต่ยังมีเด็ก… อยู่ในตู้นอนอีกหลายคนเลยครับ”
เจ้าหน้าที่พิเศษที่กำลังพูดอยู่รู้สึกสับสนอย่างมาก
เพราะเขาไม่เคยเห็นเด็กจำนวนมากขนาดนี้ในตู้โดยสารรถไฟมาก่อน
แต่พวกเขากลับยังยืนนิ่งประจำตำแหน่งเดิมเพราะการฝึกฝนที่ผ่านมาสอนเอาไว้ว่าไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นใด พวกเขาจะต้องสงบสติอารมณ์เอาไว้ให้จงได้
แต่พวกเขาก็ยังรู้สึกตกใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
คำถามต่างๆ เริ่มผุดขึ้นมาในใจทีละคำถาม
ทำไมตู้โดยสารตู้นี้ถึงมีเด็กอยู่กันมากขนาดนี้
ยิ่งกว่านั้น เด็กทุกคนก็ยังเด็กอย่างมาก คนที่ตัวเล็กที่สุดน่าจะอายุได้เพียงแค่สองขวบเท่านั้น
ถึงพวกเขาจะไม่ได้รับบาดเจ็บ แต่พวกเขากลับดูหวาดกลัวคนแปลกหน้าและยังผอมเกินไป
เด็กพวกนี้มาจากไหน
ทำไมทุกคนถึงถูกกักตัวอยู่ในตู้โดยสารตู้เดียวกันได้
ผู้ชายทุกคนล้วนแต่มีความยุติธรรมอยู่ในจิตใจ โดยเฉพาะชายผู้มีหน้าที่ในการป้องกันประเทศ
“หัวหน้า นี่มันผิดปกติแล้วนะครับ!”
คนเป็นหัวหน้าไม่ได้ตอบ แต่กลับกดอุปกรณ์สื่อสารของตัวเอง “บนตู้โดยสารตู้นี้มีเด็กอยู่มากเกินไป เราสงสัยว่าจะมีการลักลอบค้ามนุษย์เกิดขึ้นที่นี่”
“พาพวกเขากลับมาก่อน แล้วให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นดำเนินการสอบสวนต่อ สิ่งที่พวกนายต้องทำมีแค่การคลี่คลายสถานการณ์บนรถไฟให้ได้เท่านั้น ไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องอื่น“
นิ้วของคนเป็นหัวหน้าชะงักไปครู่หนึ่ง
ทหารนายหนึ่งสังเกตเห็นความลังเลในคำพูดนั้น เขาจึงเร่งว่า “หัวหน้าครับ…”
“ทำตามคำสั่ง” หัวหน้าหน่วยออกคำสั่งพร้อมกับถอดหูฟังออกจากหู จากนั้นจึงพูดต่อด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “คุ้มกันเด็กๆ”
“รับทราบ!”
หน่วยพิเศษเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ พวกเขาสามารถเคลียร์พื้นที่ได้ภายในเวลาห้านาที
เป็นอย่างที่เฮ่อเหลียนเวยเวยคิดเอาไว้ พวกเธอทุกคนถูกควบคุมตัวกลับไปสอบปากคำที่เขตอวิ๋นกุย
บันทึกคำให้การของเฮ่อเหลียนเวยเวยละเอียดอย่างมาก เพราะมันระบุความผิดทั้งหมดที่เหล่าลิ่วเคยทำเอาไว้อย่างชัดเจน
วันนี้คงไม่ใช่วันที่สงบสุขนัก
มันเป็นเวลาเกือบตีสี่ในเช้าวันใหม่ หลิวหงเจียงกำลังนอนกอดสาวอยู่ในห้องของโรงแรมแห่งหนึ่งตอนที่เสียงโทรเข้าดังขึ้น เขาได้รับแจ้งว่ามีเครื่องบินส่วนตัวลงจอดบนรถไฟขบวนที่พวกเขาใช้อำพรางสายตาตำรวจซึ่งออกจากเขตอวิ๋นกุยและกำลังมุ่งหน้าไปยังทางตอนเหนือของทิเบต มีคนรับหน้าที่จัดการคดีนี้แล้ว และเขาได้รับมอบหมายให้ทำหน้าที่ติดตามผลของคดีนี้
หลิวหงเจียงตื่นเต็มตาหลังจากได้ฟังดังนั้น!
“เกิดอะไรขึ้นหรือคะพี่ ทำไมต้องรีบร้อนด้วย”
หลิวหงเจียงไม่ได้ตอบ เขาดึงแขนเรียวขาวของสาวคนนั้นลง ก่อนสะพายกระเป๋าหนังเดินออกมาจากห้อง
แม้จะมาถึงที่ทำงานแล้ว แต่เขาก็ยังรู้สึกกังวล จากนั้นเขาก็รีบต่อสายหาบรรดาลูกน้องและผู้บังคับบัญชาของตัวเองเพื่อสอบถามข้อมูลทันที
ทุกครั้งที่เขาเจอปัญหา คนคนนั้นจะช่วยเขาเสมอ รวมถึงในครั้งนี้ด้วย
แต่น้ำเสียงของคนคนนั้นกลับฟังดูไม่สบอารมณ์อย่างมาก “ฉันบอกนายไปกี่ครั้งแล้วว่าตอนนี้มีคนกำลังจับตาดูอยู่ อย่าปล่อยให้เจ้าพวกนั้นก่อเรื่องจนกลายเป็นจุดสนใจขึ้นมา เอาล่ะ อะไรที่ผ่านมาก็ให้มันผ่านไป ฉันได้ยินมาว่าบนรถไฟขบวนนั้นมีคนอีกกลุ่มหนึ่งอยู่ด้วย ในเมื่อนายไม่ได้อยู่ในที่เกิดเหตุ และคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ก็เป็นเหล่าลิ่ว นายก็จัดการดึงความสนใจให้ประชาชนหันไปสนใจเครื่องบินส่วนตัวลำนั้นแทนก็แล้วกัน ตราบใดที่ไม่มีข่าวเรื่องการค้ามนุษย์แพร่กระจายออกไป ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ด้วยดี ฉันเชื่อว่านายคงรู้ดีว่าต้องทำอะไร“
คนคนนั้นวางสายทันทีที่พูดจบ
อันที่จริง คนที่คุมเขตอวิ๋นกุยอยู่ในเวลานี้ก็คือหลิวหงเจียง
แต่คนที่ช่วยให้เขาทำทุกอย่างภายในเขตอวิ๋นกุยได้โดยง่ายก็คือคนที่อยู่เหนือเขาขึ้นไปอีกที
ต่างไปจากหลิวหงเจียง คนคนนั้นอยู่ในเมืองหลี่ คนที่นั่นไม่ได้คบค้าสมาคมกันเท่าไหร่ แต่ทุกคนก็ล้วนเป็นคนคุ้นหน้าของกันและกัน ดังนั้นพวกเขาจึงทำเป็นเอาหูไปนาเอาตาไปไร่เวลาที่พวกเขาจัดการกับปัญหาบางอย่าง ต่อให้ผลลัพธ์ที่ออกมาจะมีอะไรผิดพลาดไป แต่พวกเขาก็สามารถแก้ไขมันได้อย่างสมบูรณ์แบบ
ดังนั้นหลิวหงเจียงจึงเชื่อในวิธีการแก้ปัญหาของเขา อย่างไรเขาก็ถูกย้ายมาจากปักกิ่ง ดังนั้นเขาจึงรู้เรื่องการเบี่ยงเบนความสนใจของประชาชนดีกว่าคนอื่น
เมื่อได้รับคำแนะนำจากคนคนนั้น หลิวหงเจียงจึงไม่ได้รู้สึกกังวลเหมือนก่อนหน้านี้อีก แต่กลับค่อยๆ ใจเย็นลงแทน
เพราะข้อได้เปรียบของการอยู่ในตำแหน่งนี้ก็คือเขาสามารถทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก และทำเรื่องเล็กให้หายไปได้นั่นเอง…