องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 932 ก้าวแรกสู่ความอับอาย ลงมือ!
เวลาหกนาฬิกา ดวงอาทิตย์ขึ้นเป็นสัญญาณแห่งเช้าวันใหม่
รถยนต์สองสามคันเร่งความเร็วขึ้นเมื่ออยู่บนทางด่วนจากตอนเหนือของทิเบต มุ่งสู่ด่านเก็บค่าผ่านทางของเขตอวิ๋นกุย
“ลูกพี่ สถานการณ์ทางนั้นเป็นอย่างไรบ้างครับ”
เสียงของวานรดังขึ้นจากหูฟัง แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยยังนั่งอยู่บนรถที่กำลังพาพวกเธอไปสอบปากคำ เนื่องจากไม่สามารถตอบได้ เธอจึงเคาะหูฟังสองครั้งพลางพยายามหลบเลี่ยงสายตาของคนที่อยู่ตรงหน้าไปด้วย
แต่กล้องตัวจิ๋วที่ซ่อนอยู่ในผมของเธอยังอยู่ที่เดิม
การเปิดใช้งานกล้องตัวนี้ตอนปฏิบัติภารกิจบนรถไฟย่อมไม่สะดวกนัก
แตกต่างจากสถานการณ์ในเวลานี้ เธอส่งสัญญาณนี้ให้กับวานรเพื่อที่เขาจะได้เปิดใช้งานกล้องและบันทึกภาพเอาไว้
เมื่อวานรได้ยินสัญญาณนั้น เขาก็รีบหยิบคอมพิวเตอร์พกพาออกมาแล้วป้อนรหัสสองตัวลงไป ทันใดนั้นภาพภาพหนึ่งก็ปรากฏขึ้นบนหน้าจอ
เขาคุ้นเคยกับภาพที่แสดงอยู่บนนั้นอย่างมาก และด้วยเหตุนี้นี่เอง รอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าของเขาจึงเปลี่ยนเป็นเย็นชาไปในทันที “เอ จิน พวกลูกพี่ถูกควบคุมตัวอยู่ เราต้องกำจัดร่องรอยทุกอย่างบนรถไฟขบวนนั้นให้หมด“
“ประเด็นสำคัญมันอยู่ตรงนั้นเสียที่ไหน เรื่องที่สำคัญที่สุดก็คือเครื่องประดับของ แอล ต่างหาก ถ้าที่นั่นมีผู้เชี่ยวชาญด้านนี้อยู่ละก็ พวกเขาต้องสังเกตเห็นแน่ว่ามีบางอย่างผิดปกติ” จินพูดพร้อมกับกระดกเหล้าดื่ม แล้วหันกลับไปมองเหล่าเอที่เล่นกับเด็กๆ อยู่ จากนั้นรอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นบนริมฝีปากของเขา “แต่จะสังเกตเห็นได้ก็ต่อเมื่อเจ้าเครื่องประดับที่ว่านี่ขึ้นไปถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูงเท่านั้น เจ้าหน้าที่ธรรมดาไม่มีทางสังเกตเห็นแน่ว่าเครื่องประดับพวกนั้นมีการใช้งานอย่างไร ทุกอย่างย่อมเป็นไปได้ด้วยดีตราบใดที่ลูกพี่และคนอื่นๆ สามารถหนีออกมาได้ก่อนหน้านั้น เหล่าเอเลิกเอาความยิ่งใหญ่ของนายน้อยไปเล่าให้เด็กพวกนั้นฟังสักที พวกเราควรเริ่มลงมือกันได้แล้ว ก่อนจะเอาของขวัญไปส่งให้ครอบครัวของคนพวกนั้น คุณไปปลอมตัวสักหน่อยดีหรือเปล่า ไม่ต้องทำอะไรหรูหรานักหรอก แค่รูปถ่ายใบเดียวก็พอ ตอนนี้เป็นเวลาหกโมงเช้า และพวกเขาน่าจะเริ่มกินอาหารเช้าในอีกสามสิบนาทีหลังจากนี้พอดี เวลานั้นเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการดูรูปพวกนี้“
เหล่าเอวางตุ๊กตายัดนุ่นที่อยู่บนศีรษะลง จากนั้นจึงปลอบเด็กๆ ทั้งสามคน แล้วตอบว่า “ถ้าอย่างนั้นปลอมเป็นบุรุษไปรษณีย์ก็น่าจะได้ นายไปซื้อรถจักรยานยนต์มือสองมาสักคันก็แล้วกัน หลังจากเสร็จงานแล้วฉันจะได้โยนมันทิ้งได้ก่อนไปพบกับพวกนาย”
“อ๊ะ จริงด้วย!” จินลุกขึ้นแล้วยิ้มทะเล้น “ก่อนหน้านี้ลูกพี่เคยสั่งไว้ว่าถ้าถึงเวลาเหมาะๆ เมื่อไหร่ ให้วานรเอาภาพจากกล้องของลูกพี่มาถ่ายทอดสดลงบนอินเตอร์เน็ตโดยใช้ที่อยู่ไอพีปลอม แล้วก็ระวังอย่าให้ถูกจับได้ด้วยล่ะ”
“ไม่มีปัญหา!” วานรใช้มือข้างหนึ่งพิมพ์ต่อ พร้อมกับยกมืออีกข้างหนึ่งขึ้นทำท่า ’โอเค’
เฮ่อเหลียนเวยเวยส่งคำพูดสองคำนั้นเป็นสัญญาณผ่านไปทางหูฟัง แม้ว่าเธอจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่พวกเขาก็ล้วนแต่เข้าใจข้อความนั้นและทำตามคำสั่งได้เป็นอย่างดี
นี่ยังรวมถึงชายสวมชุดสูทที่ชื่อ เอสและเด็กหนุ่มชื่อ แอล อีกด้วย แอล เป็นคนที่สวมเครื่องประดับเยอะที่สุด แต่พวกมันก็ถูกซ่อนเอาไว้อย่างดี คนที่ไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญย่อมมองไม่ออกว่าเครื่องประดับชิ้นเล็กๆ พวกนี้จะสามารถประกอบเป็นปืนพกได้
มีแต่เด็กอัจฉริยะด้านอาวุธอย่าง แอล เท่านั้นที่สามารถทำได้ และคนของหน่วยพิเศษหน่วยนี้ก็ยังมุ่งความสนใจของตัวเองไปแค่ที่เด็กๆ เท่านั้น ถึงพวกเขาจะไม่ได้พูดอะไรออกมา แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังรอฟังคำอธิบายที่สมเหตุสมผลกับเรื่องนี้อยู่
เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดความตื่นตระหนก พวกเขาจึงรู้ดีว่าจะให้ทุกคนรู้เรื่องนี้ไม่ได้
แต่ตอนนี้มันต่างกัน
พวกเขาเคยผ่านเหตุการณ์ดินถล่ม เคยช่วยชีวิตคนจากเหตุไฟไหม้ และยังพร้อมที่จะสละชีวิตของตัวเองเพื่อต่อสู้กับผู้รุกรานจากต่างแดน
ทั้งหมดที่พวกเขาทำก็เพื่อรับประกันว่าประเทศของพวกเขาจะดีขึ้น และสงบสุขขึ้น
แต่ภารกิจในครั้งนี้มีบางอย่างผิดปกติอย่างเห็นได้ชัด เพราะเด็กพวกนี้ไม่ได้อยู่ในภารกิจของพวกเขา
ที่นี่มีเด็กเยอะเกินไป พวกเขาขึ้นรถไฟไปได้อย่างไร
ถ้าไม่มีผู้มีอำนาจเข้ามาเกี่ยวข้อง ต่อให้คนที่ทำเรื่องนี้จะมีฝีมือขนาดไหน ก็ไม่มีทางที่เขาจะสามารถพาเด็กจำนวนมากขนาดนี้ขึ้นรถไฟพร้อมกันได้
คนควบคุมรถไฟอยู่ที่ไหน แล้วตำรวจรถไฟล่ะ
พวกเขาไม่สังเกตเห็นเรื่องพวกนี้เลยเหรอ
คนของหน่วยพิเศษจมอยู่ในภวังค์ ไม่มีใครพูดอะไรแม้แต่คำเดียว
แต่จู่ๆ รถก็หยุดวิ่ง เมื่อประตูรถเปิดออกก็เห็นหลิวหงเจียงรอต้อนรับพวกเขาอยู่
เขามารออยู่ที่หน้าประตูนานมากแล้ว เพราะเครื่องบินส่วนตัวลำนั้นจึงทำให้มีผู้คนมากมายติดตามเรื่องนี้อยู่ในโลกออนไลน์
เขาจะต้องทิ้งความประทับใจอันดีไว้ในใจของเพื่อนร่วมงานและสื่อให้ได้
เขาจงใจไม่อาบน้ำ เพื่อให้ตัวเองดูสกปรกมอมแมมเล็กน้อย
เขายื่นมือออกไปจับมือกับหัวหน้าหน่วย แล้วกล่าวว่า ”ขอบคุณมากครับ ทุกคนคงเหนื่อยเลยนะครับ เอาล่ะ ในเมื่อคุณมาถึงเขตอวิ๋นกุยแล้ว ไปพักผ่อนกันก่อนแล้วยกงานที่เหลือให้เจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอย่างพวกเรารับช่วงต่อแทนดีกว่าครับ“
”ที่ตู้โดยสารตู้นั้นยังมีเด็กเหลืออยู่อีกกลุ่ม” ทันทีที่หัวหน้าหน่วยเริ่มพูด หลิวหงเจียงก็ตัดบทเขาทันทีด้วยการบอกว่า “แถวนี้คนเยอะ เรื่องบางเรื่องเราก็ควรคุยกันหลังจากการสอบสวนและรวบรวมข้อมูลเสร็จสิ้นแล้วจะดีกว่าครับ”
พวกเขาจำเป็นต้องรักษาภารกิจให้เป็นความลับ ยิ่งกว่านั้นมันก็ยังมีคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบอยู่อีกเป็นจำนวนมาก และคำถามทั้งหมดก็ล้วนแต่อยู่นอกเหนือความรับผิดชอบของพวกเขา ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะพูดอะไรได้มากไปกว่านั้น เพราะพวกเขาเกรงว่าชื่อเสียงของพวกเขาจะเสียหายได้หากพูดผิดแม้เพียงคำเดียว
หลิวหงเจียงตระหนักถึงความจริงข้อนี้ดี เขาต้องทำให้มั่นใจว่าคดีนี้จะถูกปิดอย่างลับๆ โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบใดๆ แล้วเปลี่ยนมันให้กลายเป็นคดีธรรมดา
นอกจากนั้น การติดตามผลการสืบคดีนี้ก็ยังเป็นหน้าที่ของเขา ดังนั้นตราบใดที่เขายังมีหน้าที่ในการทำคดีนี้ การตัดสินใจทั้งหมดย่อมอยู่ที่เขา
หลิวหงเจียงมั่นใจกับเรื่องนี้มากทีเดียว สิ่งเดียวที่เขาไม่สามารถควบคุมได้ก็คือหน่วยพิเศษหน่วยนี้ แต่ระเบียบวินัยอันเคร่งครัดที่ทหารเหล่านี้ได้รับการปลูกฝังมาย่อมไม่อนุญาตให้พวกเขาเอ่ยข้อมูลอันใดในที่สาธารณะอย่างแน่นอน
ไม่บอกก็รู้ว่าหลิวหงเจียงใช้ไพ่ที่อยู่ในมือได้เป็นอย่างดี
เขาเป็นคนทำงานละเอียดอย่างมาก และยังรู้ดีว่าจะแสดงท่าทางภายนอกออกมาอย่างไร
แม้ดวงตาของเขาจะแดงก่ำ แต่เขาก็ยังยืนกรานที่จะทำงานของตัวเองต่อด้วยการสอบปากคำผู้ที่ก่อความวุ่นวายบนรถไฟขบวนนั้นด้วยตัวเอง
‘ก่อความวุ่นวาย’ เป็นคำพูดที่ดูดีอย่างมาก
หลิวหงเจียงใช้คำนี้เพื่อตัดสินความร้ายแรงของคดีนี้ด้วยการทำให้ความสนใจทั้งหมดพุ่งเป้าไปอยู่ที่เหตุวุ่นวายจากการนำเครื่องบินลงจอดบนหลังคารถไฟ แทนที่จะยกระดับปัญหาเรื่องการลักลอบค้าเด็กขึ้นมา
เขาไม่ได้ปล่อยตัวเหล่าลิ่ว เพราะเขารู้ดีว่าถ้าเขาปล่อยเหล่าลิ่วไปตอนนี้ก็เท่ากับการปล่อยให้คนอื่นพูดถึงเขาได้โดยง่าย
ดังนั้นเขาจึงตัดสินโทษของเหล่าลิ่วด้วยข้อหาก่อความวุ่นวายบนรถไฟ
เขาดูเป็นกลางทีเดียวเมื่อมองจากภายนอก แต่อันที่จริง ถ้าเราลองเทียบระดับความรุนแรงของการลักลอบค้าเด็ก การมีอาวุธปืนในครอบครอง และการก่อความวุ่นวายบนรถไฟแล้วละก็ พวกเราย่อมรู้ได้ทันทีว่าข้อหาไหนร้ายแรงกว่ากัน
โทษจากข้อหาแรกสามารถดับลมหายใจของเหล่าลิ่วได้เลยทีเดียว แต่โทษจากข้อหาหลังนั้น อย่างมากที่สุดก็มีแค่สั่งจำคุกเหล่าลิ่ว แล้วเขาก็จะได้ออกมาอย่างรวดเร็ว
หลังจากเสร็จงานที่เตรียมไว้ เขาก็เริ่มทำการสอบปากคำจริง
แต่เขาไม่ได้สอบปากคำเหล่าลิ่ว เขากลับข้ามไปแล้วหยิบบันทึกที่ตัวเองเตรียมไว้ก่อนการสอบปากคำขึ้นมา และเตรียมตัวที่จะสอบปากคำเฮ่อเหลียนเวยเวยและคนอื่นๆ แทน
เพราะยิ่งผลการสืบคดีเรื่องรถไฟขบวนนี้ออกมาเร็วเท่าใด มันก็จะยิ่งส่งผลดีต่อหลิวหงเจียงมากเท่านั้น
ผู้บริหารระดับสูงยังรอข่าวเรื่องนี้อยู่ ถ้ามันนานเกินไป มันอาจทำให้เขาไม่พอใจได้
คนแรกที่หลิวหงเจียงสอบปากคำคือ แอล เขาคิดว่าคนคนนี้ดูอายุน้อยกว่าเขา และการรีดข้อมูลออกมาจากเด็กหนุ่มคนนี้น่าจะง่ายสำหรับเขามากกว่า แต่แม้จะผ่านไปแล้วกว่ายี่สิบนาที หรือต่อให้เขาถามอะไรไป เด็กหนุ่มคนนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะเงยหน้าขึ้นมาเลยแม้แต่นิดเดียว