องค์ชายสาม หยุดไล่ตามข้าเสียที! - บทที่ 96 ข้าจะเล่นกับเจ้า
สิ่งแรกที่เฮ่อเหลียนเวยเวยทำหลังจากกลับมาถึงห้องคือการเก็บของจัดเตรียมสัมภาระ
จริงๆ แล้วไม่จำเป็นต้องพกข้าวของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวันติดตัวไปมากก็ได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการนำเงิน และวัสดุสำหรับการสร้างอาวุธไปด้วยต่างหาก
หากนางเกิดเบื่อขึ้นมาระหว่างทาง ก็จะได้สร้างอาวุธเพิ่มอีกสักสองสามชิ้น พอถึงตอนนั้นอาวุธที่เอาไว้ขายหาเงินก็จะได้มีจำนวนมากขึ้นด้วย
แต่สิ่งที่เฮ่อเหลียนเวยเวยไม่คาดคิดก็คือไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจะเคลื่อนไหวได้รวดเร็วถึงเพียงนี้!
เฮ่อเหลียนเวยเวยเห็นองครักษ์ที่ยืนเรียงแถวกันหลายต่อหลายชั้นอยู่ด้านนอกของหอสามัญ และรู้ได้ในทันทีว่านางคงไม่สามารถกลับไปที่ห้องของตนได้ นางแค่ไปเข้าห้องน้ำแป๊บเดียว แต่เขากลับมาถึงแล้ว
คิ้วเรียวได้รูปของเฮ่อเหลียนเวยเวยขมวดเข้าหากัน เพียงชั่วพริบตาร่างของนางก็หายไปซ่อนอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง แผ่นหลังของนางแนบสนิทกับลำต้น เผยให้เห็นเพียงแค่ดวงตากระจ่างใสเท่านั้น
“ฝ่าบาท” ใครคนหนึ่งคุกเข่าลงตรงหน้าไป๋หลี่เจียเจวี๋ย น้ำเสียงของเขาทุ้มลึก “ทุกอย่างปกติดีพ่ะย่ะค่ะ”
แต่แล้วจู่ๆ ชายคนนั้นก็เงยหน้าขึ้น และหันมามองทางด้านนี้
เฮ่อเหลียนเวยเวยรีบถอนสายตาอย่างรวดเร็ว และทำราวกับว่านางได้หยุดหายใจไปแล้ว
เฮ้อ เกือบโดนจับได้แล้วสิ
ถึงแม้ว่าชายผู้นี้จะไร้ซึ่งพลังปราณ แต่ก็มีนิสัยรอบคอบระมัดระวังยิ่งกว่าใคร
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะความเคยชินจากการที่เขาอยู่ในตำแหน่งสูงเช่นนี้หรือเปล่า
แม้พวกเขาจะอยู่ห่างกันถึงเพียงนี้ แต่เฮ่อเหลียนเวยเวยก็ยังสัมผัสถึงแรงกดดันที่ออกมาจากตัวเขาได้
เฮ่อเหลียนเวยเวยยืนอยู่ในท่านั้น นางเอียงหูไปด้านข้างเล็กน้อย แต่ไม่ได้ขยับตัวแม้แต่น้อย ในตอนนี้ การเคลื่อนไหวแม้เพียงนิดเดียวก็อาจทำให้อีกฝ่ายสังเกตเห็นนางได้
นางเชื่อในฝีมือการซ่อนตัวและพรางตัวของตน
เพื่อปฏิบัติภารกิจให้สำเร็จลุล่วง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่นางต้องซ่อนตัวอยู่ในป่าเป็นเวลาสองวันกับอีกหนึ่งคืนเต็มๆ โดยที่ไม่มีใครจับนางได้
นี่คือสัญชาตญาณของคนที่เป็นสายลับพิเศษอันดับหนึ่ง
จงตัดสินใจให้แม่นยำที่สุด ในเวลาที่เหมาะสมที่สุด
รอจนกว่าเขาจะเข้าไปในห้องก่อนก็แล้วกัน ในระหว่างนั้นนางค่อยออกไปจากที่นี่ วิธีนี้คงเป็นหนทางที่ง่ายที่สุดที่จะไม่ต้องเผชิญกับองครักษ์ของเขา
นางไม่ได้เป็นกังวลกับเรื่องนี้แต่อย่างใด แต่สิ่งที่นางควรจะกังวลคือบรรดาองครักษ์ที่ซ่อนตัวอยู่รอบๆ ก่อนหน้านี้ต่างหาก
แต่ใครจะไปรู้ องครักษ์พวกนั้นอาจจะช่วยนางถ่วงเวลาไป๋หลี่เจียเจวี๋ยเอาไว้สักพักก็เป็นได้ เฮ่อเหลียนเวยเวยยิ้ม ภายใต้ความเกียจคร้านของนางมีความชั่วร้ายแฝงอยู่เล็กน้อย…
“เฝ้าอยู่ข้างนอก” น้ำเสียงของผู้ชายคนนั้นยังคงราบเรียบและเย็นชาเป็นน้ำแข็งเหมือนเคย แต่กลับมีร่องรอยที่ผ่านการครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่ในนั้น
ขันทีซุนถึงกับงงไปเล็กน้อย เขาไม่เข้าใจการตัดสินใจของฝ่าบาทเอาเสียเลย…
โดยปกติแล้ว หากฝ่าบาทเจอสถานการณ์เช่นนี้เข้า เขาย่อมไม่มีทางมีปฏิกิริยาตอบสนองเช่นนี้อย่างแน่นอน
การปฏิบัติที่ฝ่าบาทมีต่อคุณหนูเฮ่อเหลียนนี่มันอะไรกัน
เฮ่อเหลียนเวยเวยย่อมไม่สนใจว่าขันทีซุนจะคิดอะไรอยู่ในหัว นางฉวยโอกาสนั้นหลบหนีออกไปจากหอสามัญทันที
นางยังเก็บสัมภาระของตัวเองไม่เสร็จเลยด้วยซ้ำ
แต่นางกลับต้องวิ่งออกมาทั้งๆ ที่มือเปล่า เมื่อคิดได้ดังนั้นนางก็รู้สึกไม่ค่อยพอใจเท่าใดนัก
แต่ก็ยังดีกว่าถูกจับเอาไว้ที่นี่อยู่ดี
เมื่อคิดถึงจุดนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยก็หันหน้ากลับไปยิ้ม เผชิญหน้ากับชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ตรงหน้าต่าง แล้วส่งจูบลาให้เขาหนึ่งที “แล้วเจอกันนะเพคะ องค์ชายสามสุดหล่อ”
ไม่ล่ะ ข้าไม่อยากเจอท่านอีกแล้ว
ควรจะใช้คำว่าลาก่อนมากกว่า
เดิมที เฮ่อเหลียนเวยเวยก็เป็นถึงสายลับพิเศษด้านการใช้อาวุธอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อเป็นเรื่องของการเคลื่อนไหวอย่างไร้เสียงในยามค่ำคืนเช่นนี้ จึงนับว่านางเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างที่ไม่มีใครเทียบได้
นางจำเป็นต้องอ้อมต้นฮว๋าย [1] จำนวนหนึ่ง และหลบกับดักของสำนักไท่ไป๋ก่อนเป็นอันดับแรก จากนั้นก็ต้องซ่อนตัวจากบรรดาอาจารย์ที่ถือตะเกียงเดินตรวจตราตอนกลางคืนต่อ และแล้วในที่สุดนางก็แอบลอบเข้าไปที่หอชั้นเลิศได้สำเร็จ…
ในตอนนั้นนั่นเองที่ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยผลักประตูเปิดเข้าไปในห้องของนาง และเห็นสัมภาระที่ยังเก็บไม่เสร็จดีกองอยู่บนเตียงไม้ ดวงตาของเขาแปรเปลี่ยนเป็นเย็นชาในทันที
เกิดเสียงดังฟุ่บ
เขาดึงม่านขึ้น แล้วหมุนตัวกลับมาด้วยสีหน้าเยือกเย็น
จากนั้นเขาจึงเดินออกไป ทุกย่างก้าวของเขาเชื่องช้า ราวกับว่าเขาไม่ใส่ใจกับเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
แต่ไม่มีผู้ใดสังเกตเห็นว่า ดวงตาคู่นั้นของเขากำลังหรี่ลงเรื่อยๆ ดวงตาของเขาลึกล้ำจนไม่มีใครสามารถมองเห็นก้นบึ้งของพวกมันได้ มันเย็นชาจนบีบหัวใจคน
จากนั้น เขาก็หัวเราะออกมา
ริมฝีปากบางอันเย้ายวนของเขาดูคล้ายกับจะโค้งก็ไม่โค้ง มันเต็มไปด้วยความเย็นชาแสนชั่วร้าย ทำให้คนที่เห็นสั่นสะท้านไปถึงขั้วหัวใจ
ขันทีซุนเหลือบตาขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อเขาเผชิญกับดวงตาเย็นชาดุจน้ำแข็งขององค์ชายสาม เขาก็ตัวแข็งเป็นหินทันที ตอนแรกเขาตั้งใจว่าจะเดินเข้าไปดูในห้อง แต่แล้วก็รีบชักขากลับมาอย่างรวดเร็ว
“คนล่ะ” ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยถามเพียงคำเดียว แต่น้ำเสียงเย็นชาปานน้ำแข็งของเขาก็ทำให้องครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ต่างก็ตัวสั่นอย่างไม่ทราบสาเหตุ
องครักษ์เงาหนึ่งในพวกเขาเอ่ยตอบ “ทูลองค์ชาย คุณหนูเฮ่อเหลียนน่าจะไปห้องน้ำพ่ะย่ะค่ะ พวกข้าน้อยไม่สะดวกจะตามนางไป เพราะจะเป็นการไม่เหมาะสม ดังนั้น…”
“ห้องน้ำหรือ” ความเย็นยะเยือกในดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยลดลงเล็กน้อย เขาเดินกลับมาอีกรอบ ห้องนี้เล็กเพียงนิดเดียว แต่ทุกอย่างกลับถูกจัดวางเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย อีกทั้งยังสะอาดทุกซอกทุกมุม มีเพียงสัมภาระตรงนั้นเท่านั้นที่ดูระเกะระกะผิดปกติ
นิ้วเรียวยาวของเขาผลักมันให้เปิดออก ข้างในนั้นไม่มีเสื้อผ้าอยู่แม้แต่ชุดเดียว แต่กลับมีเหล็กสีดำกองหนึ่ง ทว่าเหล็กสีดำพวกนั้นก็ไม่ใช่สิ่งที่แปลกประหลาดแต่อย่างใด พวกมันสามารถหาซื้อได้ที่ร้านขายอาวุธทั่วไป
นางไปเข้าห้องน้ำกลางดึกเช่นนี้ ทั้งที่กำลังเก็บเจ้าพวกนี้อยู่น่ะหรือ
ภายในดวงตาที่หรี่ลงของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยมีความเย็นชาที่ทำให้หนาวไปถึงกระดูกปรากฏขึ้นอย่างรวดเร็ว
หึ เขาคงประเมินนางไว้ต่ำเกินไป
ระหว่างการฝึกสุนัขจิ้งจอกแปลกหน้าให้เชื่อง เจ้าสุนัขจิ้งจอกมักจะฉวยโอกาสเข้ามาใกล้ แล้วทำตัวเชื่อฟัง ยอมให้เราลูบหัวมันเล็กน้อย หลังจากนั้นก็จะใช้กรงเล็บตะปบเราอย่างแรง
ทุกอย่างปกติดีหรือ
เห็นได้ชัดว่านางวางแผนจะไปจากที่นี่ตั้งแต่แรก
ดี ดียิ่งนัก ถ้านางอยากเล่น เขาก็จะเล่นกับนาง!
ไป๋หลี่เจียเจวี๋ยหยักยิ้ม ในนัยน์ตาของเขาดูคล้ายกับมีม่านหมอกสีดำปรากฏอยู่ ทำให้ใครๆ ต่างก็เสียววาบไปถึงกระดูก
เขาโยนของในมือทิ้ง เหล็กพวกนั้นกระทบกันจนเกิดเสียงดัง ‘เคร้ง เคร้ง เคร้ง’
ไม่มีใครกล้าส่งเสียงแม้แต่คนเดียว
อากาศดูคล้ายกับถูกแช่แข็ง ทุกคนล้วนไม่กล้ามองหน้าเขา
บรรดาองครักษ์เงาที่ซ่อนตัวอยู่ในความมืดต่างก็ก้มหน้าจนแทบจะติดพื้น หน้าที่เฝ้าดูคุณหนูเฮ่อเหลียนเป็นสิ่งที่องค์ชายมอบหมายให้พวกเขารับผิดชอบ แต่พวกเขากลับไม่รู้ว่าคุณหนูเฮ่อเหลียนหายตัวไปตั้งแต่เมื่อใด…
คุณหนูเฮ่อเหลียนผู้นั้นกล้าหาญมิใช่น้อย องค์ชายสั่งเอาไว้แล้วว่าให้นางรอ แต่นางกลับออกไป แล้วหายตัวไปตามใจตัวเอง
หากนางถูกองค์ชายจับตัวได้ในเวลานี้ล่ะก็ เกรงว่า…
ดวงตาของไป๋หลี่เจียเจวี๋ยจมดิ่ง น้ำเสียงของเขาเองก็เย็นชาอย่างยิ่ง เขาสั่งออกมาทีละคำว่า “ไปหาตัวนางมาให้ข้า”
นางยังไม่ได้ออกไปจากสำนัก
น้ำชานั่นยังร้อนอยู่
เป็นไปได้ว่านางอาจจะออกไปเข้าห้องน้ำจริง แต่ระหว่างทางที่กลับมา นางก็เห็นองครักษ์อยู่ข้างนอก นางจึงใช้โอกาสนั้นรีบหนีไป
ช่างเป็นจิ้งจอกน้อยที่ฉลาดเสียจนทำให้เขาอยากถอดเขี้ยวเล็บเสียจริง!
ในตอนนี้ เฮ่อเหลียนเวยเวยยังไม่ได้ออกไปจากสำนักจริงๆ นางยังต้องไปหาเพื่อนร่วมทางของตัวเองก่อน แต่แล้วนางก็เห็นองครักษ์จำนวนมากเคลื่อนไหวกันอย่างรวดเร็วอยู่ไกลๆ พวกเขาทำเหมือนกับกำลังจะปิดทางเข้าออกของทุกหอพักเอาไว้
ริมฝีปากบางของเฮ่อเหลียนเวยเวยคว่ำลง ผู้ชายคนนั้นสมควรได้เป็นองค์ชายสามจริงๆ นางคิดว่าเขาจะถูกคำพูดขององครักษ์เงาทำให้ไขว้เขวได้สักชั่วเวลาจิบชา [2] เสียอีก แต่นางคาดไม่ถึงเลยว่าเขาจะลงมือได้รวดเร็วขนาดนี้ และรู้ทันทีว่านางไม่ได้อยู่ที่ห้องน้ำ แต่หนีออกมาแล้ว
เขาไม่ใช่คนที่จะรับมือได้ง่ายๆ เลย
แต่ต้องการจะจับนางโดยใช้แค่องครักษ์พวกนี้น่ะหรือ
นางคาดว่าพวกเขาทั้งหมดคงง่วนอยู่แต่กับการปิดทางเข้าออกทุกทาง และคงไม่ทันคิดว่านางไม่มีแผนที่จะออกไปจากที่นี่ในเวลานี้เลยแม้แต่น้อย
ถ้านางไม่เอา ‘หน้าร้าน’ ไปด้วย ต่อให้นางไปที่งานประลองเจ้ายุทธ์ ก็คงไม่มีประโยชน์อะไร
เพื่อความสำเร็จของนาง อันดับแรก นางต้องไปพบกับเพื่อนร่วมชั้นอย่างเฮยเจ๋อให้ได้เสียก่อน
ป่านนี้คนส่งข่าวน่าจะนำข้อความของนางไปส่งถึงมือเฮยเจ๋อเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่กว่านายน้อยคนนั้นจะลุกขึ้นมาแต่งตัวได้ก็คงต้องใช้เวลาสักหน่อย…
แต่นางควรบอกให้เสี่ยวไป๋ใช้เวทมนตร์อัญเชิญสัตว์ศักดิ์สิทธิ์มาไว้ล่วงหน้าก่อนดีหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นการเดินทางไปเข้าร่วมการประลองที่จัดอยู่ไกลถึงริมทะเลโดยใช้รถม้าธรรมดาคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยสิบกว่าวัน ถึงตอนนั้น งานประลองเจ้ายุทธ์ก็คงจบไปแล้ว…
เมื่อเฮ่อเหลียนเวยเวยหลับตาลงและคิดเรื่องนี้ จู่ๆ ก็มีใครคนหนึ่งคว้าหมับเข้าที่ตัวนาง แล้วดึงนางจากด้านหลัง กลิ่นไม้จันทน์เจือจางแทรกเข้ามาที่ปลายจมูกของนาง…
………………………………………………………………………………………..
[1] ต้นแคฝรั่ง
[2] ประมาณ 2-10 นาที บางทีก็อาจถึง 15 นาที