อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า) - บทที่ 200 ประชัน
คนนั้นก็รู้ได้ฉับพลัน “ที่แท้เป็นนักเรียนของอาจารย์ครูสเองหรอ ความสามารถน่าจะยอดเยี่ยมแน่เลย”
คนนั้นพูดพลางพินิจพิจารณาหลินจือ การพินิจพิจารณานี้ไม่ได้อะไรนัก แต่เขากลับพบว่านักเขียนบทสาวคนนี้สวยสง่าและสุภาพเรียบร้อย
เขาอดไม่ได้ที่จะมองอีกครั้ง และการมองครั้งนี้กระตุ้นความไม่ชอบใจของเทาเท่และจอร์แดน
เทาเท่หน้านิ่งและพูดว่า “ประธานเอส พวกเราต้องคุยเรื่องงานแล้ว ตามสบายนะครับ”
ประธานเอสคนนั้นฟังออกว่าในคำพูดเทาเท่มีความหมายเพื่อที่จะไล่เขาไป เลยยิ้มหน้าเหยเก แล้วหันหลังเดินจากไป แต่ขณะที่เดินจากไปนั้นสายตาก็มองมาที่ใบหน้าหลินจืออีก
นักเขียนบทสาวที่สวย ยากที่จะเลี่ยงทำให้คิดเพ้อฝัน
ในอาชีพนักเขียนบทมีเยอะมาก แล้วก็อาจจะมีสาวนักเขียนบทที่สวยมากมาย แต่ออร่าและความโดดเด่นที่ไม่เหมือนใคร ที่แค่ดูผ่านตาก็จำได้นั้นพบได้น้อย
หลังจากที่คนนั้นเดินจากไปแล้ว จอร์แดนก็พูดกับเทาเท่อย่างไม่เกรงใจว่า “ท่านประธานเทาเท่ครับ คุณคงไปได้แล้วมั้งครับ”
ประธานเอสนั่นไม่ใช่คนดีมากมายอะไร เทาเท่ก็ไม่ใช่คนดีเหมือนกัน ถ้าให้เปรียบเทาเท่ยังสู้ผู้ชายคนอื่นไม่ได้ ผู้ชายคนอื่นไม่เคยทำร้ายหลินจือ แต่เทาเท่เป็นคนที่ทำให้หลินจือหัวใจสลายจนตัดสินใจขอหย่า
หนึ่งวินาทีก่อนหน้านี้จอร์แดนยังร่วมแรงร่วมใจต่อต้านศัตรูกับเขาอยู่เลย หนึ่งวินาทีให้หลังจอร์แดนก็เริ่มไล่เขา เทาเท่คัดค้านอย่างขึ้นว่า “คุณจอร์แดน นี่เท่ากับว่าคุณคุ้มครองบุตรสาวอยู่หรอครับ? คุณไม่รู้สึกว่าคุณอายุมากขึ้นแล้วหรอ?”
หลินจือ “…….”
จอร์แดนเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ เทาเท่พูดอย่างนี้ มันเข้าท่าไหม?
จอร์แดนหัวเราะ “อายุไม่ใช่ปัญหา วิธีการของผมเป็นยังไงท่านประธานเทาเท่ไม่ใช่ว่าไม่รู้นะครับ”
ความโหดเหี้ยมที่มีต่อชาร์ลีสองคนพ่อลูกก็มากพอที่ทำให้เขาดูแลหลินจือได้ดี
หลินจือไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาสองคนพูดกันดีๆยังไม่เท่าไหร่ก็เริ่มโต้เถียงกันอย่างไม่มีลดละ ก็เลยเอ่ยปากถามขึ้นอย่างไม่เข้าใจว่า “คุณอาจอร์แดน ท่านประธานเทาเท่ ทำไมวันนี้ถึงมางานเลี้ยงด้วยกันหรอคะ?”
โดนหลินจือถามเข้าอย่างนี้ จอร์แดนและเทาเท่ต่างก็ไร้ซึ่งคำที่จะให้พูดตอบ
แต่สุดท้ายเทาเท่ก็อธิบายให้เธอฟังหนูน้ำเสียงที่ผ่อนลงว่า “พวกเรามาโปรโมทละครตัวใหม่”
หลินจือพยักหน้า “ในเมื่อเป็นอย่างนี้ คุณทั้งสองเชิญทำธุระตามสบายนะคะ ไม่ต้องสนใจฉัน”
พอเงยหน้ามองหลินจือก็เห็นนานิเดินเข้ามาพอดี เลยพูดอีกว่า “นานิมาแล้ว ฉันไปหาเขาก่อนนะคะ”
เธอพูดจบก็หันหลังเดินจากไป จอร์แดนและเทาเท่ต่างมองหน้ากันโดยที่พูดว่าอะไร ทำได้แค่ก้าวเดินออกไปด้วยกัน
หลังจากที่หลินจือมาเจอกับนานิแล้วก็บ่นความไม่ลงรอยของจอร์แดนและเทาเท่อย่างกลัดกลุ้ม นานิก็ให้พูดอย่างตื่นเต้นว่า “อาจารย์จอร์แดนมาปรากฏตัวได้เวลาจริงๆ มาทำให้เส้นทางการจีบเธอของเทาเท่เป็นอุปสรรคน่ะสิ”
จริงๆแล้วไม่เพียงแต่จอร์แดนเท่านั้น แต่เป็นคนที่ชอบหลินจือและรักหลินจือ หลังจากที่ได้รู้อดีตของหลินจือกับเทาเท่แล้วก็ไม่ถูกชะตากับเทาเท่ และก็ไม่ยอมอนุญาตให้หลินจือกับเทาเท่คบกัน
นานิมองปราดมายังซูซีและลีวาย อดไม่ได้ที่จะพูดเหน็บว่า “เธอเห็นหรือเปล่าว่าลีวายยืนอยู่ข้างซูซีเหมือนเด็กรับใช้”
หลินจืออดไม่ได้ที่จะขำออกมา
ต้องยอมรับว่า การเปรียบเปรยของนานิทำให้เห็นภาพจริงๆ
แม้ว่าบุคลิกของซูซีจะงั้นๆ แต่ก็เติบโตมาด้วยความหรูหราฟุ่มเฟือย เลยมีประกายความเป็นคุณหนู ส่วนลีวายเกิดในตระกูลที่ธรรมดา หลังจากที่มีรายได้จากการเขียนนิยายบ้างก็เริ่มที่ใส่ของมีแบรนด์
เสื้อผ้ากระเป๋าต่างก็เป็นแบรนด์เนม แต่ไม่ได้ช่วยเพิ่มออร่าให้กับตัวเธอเลย มีแต่จะทำให้เธอเหมือนคนที่ดูรวยขึ้นมาฉับพลัน
ลีวายในค่ำคืนนี้ใส่เสื้อสีม่วง ใกล้เคียงกับนามปากกาของเธอ
ชุดก็ดูรู้ว่าเป็นเซ็ตใหม่แบรนด์ดัง แต่มาปรากฏอยู่ที่บนร่างของลีวายผลของมันก็ยากที่จะพูด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งมายืนอยู่ข้างกายซูซีที่เชิดเหมือนหงส์นั้น ก็ยิ่งเพิ่มความเป็นบ้านนอก ก็ไม่แปลกที่นานิจะพูดว่าเธอเหมือนเด็กรับใช้
ลีวายและซูซีในเวลานี้กำลังพูดคุยกับสองดาราสาวที่แต่งตัวฉูดฉาดอยู่ คนทั้งสองพูดคุยพลางมองมายังที่หลินจือและนานิ
นานิพูดอย่างไม่พอใจ “ฉันเดาได้เลยว่าพวกมันทั้งสองกำลังหาเรื่อง”
“ทำไมล่ะ” หลินจือมองไปที่ซูซีและลีวาย ไม่เข้าใจว่านานิทำไมพูดอย่างนี้
นานิพูดว่า “คนที่มันทั้งสองคุยด้วยเป็นนักแสดงเก่าที่ชอบโอ้อวด ฝีมือการแสดงไม่มี แต่ความสามารถประจบสอพอนั้นเหลือล้น เธอว่าซูซีและลีวายพูดคุยกับผู้หญิงสองคนนั้น ยังมีเรื่องดีไหมล่ะ?”
หลินจือมองคนทั้งสองนั้น หนึ่งในนั้นเธอรู้สึกคุ้นหน้า แต่ใบหน้านั้นไม่เหมือนภาพในความทรงจำของเธอเลย
หลินจือมาอยู่ในสายอาชีพนี้ แม้ว่าแต่ก่อนเป็นแค่คนตัวเล็กๆที่อยู่ข้างกายของครูส แต่นานิแขวะพวกดาราหญิงให้เธอฟังทั้งวัน เธอก็พอรู้เรื่องเกี่ยวกับพวกเธออยู่บ้าง
“คนที่ใส่กระโปรงสีฟ้าชื่ออะไรนะ?” หลินจือคิดอยู่นานก็นึกชื่อของดาราหญิงไม่ออก “ทำไมหน้าเธอถึงไม่เหมือนเมื่อก่อนล่ะ?”
นานิพูดอย่างดูถูกว่า “มันไปทำหน้ามาอีกแล้วน่ะสิ”
“ก่อนหน้านี้มันถูกคนว่าว่าเหมือนดาราหญิงเกาหลีสักคนนิ มันก็เลยไปทำหน้าใหม่อีก จนตอนนี้ใกล้จะเหมือนเขาคนนั้นแล้ว มันมีความหมายอะไร? ก็ยังแต่ง”
หลินจือก็รู้สึกว่าพฤติกรรมนี้มันน่าเหลือเชื่อ “สิ่งสำคัญของคนๆนึงคือนิสัยและจิตวิญญาณ ไม่ใช่รูปลักษณ์ภายนอก ต่อให้จะทำหน้าเหมือนกับเขาคนนั้น ก็เลียนแบบความเป็นแก่นของคนนั้นไม่ได้หรอก”
“ใช่!” นานิตอบ
คนทั้งสองพูดจบ ก็เห็นดาราหญิงใส่ชุดสีฟ้าและเพื่อนของเธอเดินเข้ามาหาพวกเธอ
นานิพูดอย่างตื่นเต้นว่า “มาแล้วๆ พวกนางมาประชันแล้ว”
หลินจืออดไม่ได้ที่จะขำมุกของนานิ
เพื่อนสนิทของเธอคนนี้ วันๆจ้องแต่จะหาเรื่องทะเลาะกับคนอื่นใช่ไหม?
นานิใช้แขนควงหลินจือไว้ พูดกำชับว่า “เธออย่าขำ จริงจัง สงบเสงี่ยม ทางที่ดีทำตัวให้น่าสงสารเข้าไว้เป็นดีที่สุด”
หลินจือพยายามเก็บรอยยิ้มที่อยู่บนใบหน้าไว้ “ฉันรู้แล้ว มันเหมือนกับที่ฉันเขียนบท แรกเริ่มต้องเก็บอารมณ์เอาไว้ ให้พวกเธอรู้สึกว่าพวกเรานั้นน่าสงสารรังแกง่าย หลังจากนั้นพวกเราค่อยโต้กลับอย่างโหดๆ อย่างนี้ถึงจะมีความสะใจมากกว่า ใช่ไหม?
นานิพูดชมเธออ้อมๆว่า “ใจตรงกันกับฉันจริงๆ ฟังก็รู้ว่าฉันต้องการสื่อถึงอะไร”
นานิพูดจบคนทั้งสองก็มายืนอยู่ตรงหน้าพวกเธอพอดี
ดาราหญิงชุดสีฟ้าทักทายนานิด้วยความยิ้มแย้มแจ่มใส “Hi นานิ”
ใบหน้าของนานิยิ้มแย้มตอบกลับด้วยความเป็นมิตรว่า “Hi”
ดาราหญิงคนนั้นมองนานิดูประหลาดใจ ต้องรู้ก่อนนะว่านานิอยู่ในวงการนี้แต่ไหนแต่ไรมาเป็นคนที่ไม่ได้พูดคุยด้วยได้ง่ายถึงขนาดพูดได้ว่าเย็นชาเลยล่ะ
แต่ไหนแต่ไรมานานิไม่เคยสนิทสนมกับดาราหญิงคนไหน และก็ไม่เหมือนดาราหญิงทั่วไปที่สมคบเพื่อช่วยเหลือกัน
หลายปีที่ผ่านมาเธออยู่ในวงการนี้ก็ไปไหนมาไหนอย่างอิสระคนเดียว เกิดเรื่องอะไรขึ้นก็รับไว้เอง กลับทำให้กลายเป็นลักษณะนิสัยที่พิเศษของตัวเธอเอง
เคยมีคู่แข่งที่ติดสินบนเขียนกล่าวหาว่านิสัยของเธอไม่ดีทำให้ไม่เพื่อนในวงการนี้เลย
นานิพูดปะทะในweiboว่า “เพื่อนสนิทแค่คนเดียวก็พอแล้ว และฉันก็มีแล้วด้วย และถ้าอย่างอื่นจะไม่ได้ก็ช่างมัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนที่ดีแต่เปลือกนอก แต่กลับเป็นคนที่ขุดคุ้ยเรื่องของคนอื่น”