อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า) - บทที่ 240 คุณหนูผู้ร่ำรวยมีเกียรติที่แท้จริง
ไม่ต้องให้โซเมนตั้งใจเตือนเขา เทาเท่ก็สามารถรับรู้ได้ถึงความวิกฤตนี้ได้อย่างเต็มๆ
อีกทั้งต่อให้ไม่มีจอร์แดนมาจัดการเรื่องที่เมืองเวลฟ์นี้ เขาเองก็รู้สึกถึงความวิกฤตนี้อยู่ตลอดเวลา เนื่องจากว่าเขาไม่มีข้อได้เปรียบอะไรเลยจริงๆ
เพียงแค่เขาเคยทำร้ายหลินจือข้อนี้ ก็เพียงพอที่จะตัดสินโทษประหารชีวิตให้เขาแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นคือตอนนี้มีจอร์แดนเพิ่มขึ้นมาอีกคน ก็เห็นเขาขัดหูขัดตาไปหมดอยู่แล้ว
หลังจากที่จองตั๋วเครื่องบินแล้วนั้น เทาเท่ก็ยังคงไม่สบายใจมากอยู่ดี จึงโทรหาหลินจือ
ตั้งแต่ที่เขาเดินทางมาทำงานนั้น ทั้งสองคนยังไม่ได้เคยโทรคุยกันเลย
เทาเท่โทรวิดีโอคอลหาเธอหลายครั้งแต่หลินจือไม่รับ หลังจากนั้นเขาก็เปลี่ยนมาเป็นส่งข้อความเสียงหรือส่งเป็นข้อความแทน ผลปรากฏว่ารอเป็นครึ่งวันหลินจือก็ไม่ตอบกลับเขาเลยซักประโยคเดียว หรือไม่ก็ตอบกลับแค่เพียงสั้นๆเท่านั้น
ผ่านการเดินทางมาทำงานครั้งนี้แล้ว เทาเท่เองก็ตระหนักได้อย่างลึกซึ้งแล้ว นั่นก็คือ : “ก่อนที่เขายังไม่สามารถตามจีบหลินจือกลับมาได้ เขาจะไม่เดินทางไปทำงานนอกสถานที่อีกเป็นอันขาด หรือจะพูดว่าไม่เดินทางไปทำงานไกลๆแบบนี้อีกแล้ว”
ทรมานเกินไปแล้ว
หลังจากที่รับสายแล้ว เทาเท่ก็เอ่ยถามหลินจือขึ้นมาตรงๆ : “คุณไปปักกิ่งแล้ว?”
หลินจือตอบรับอย่างตรงไปตรงมา : “อืม”
แต่เทาเท่ก็รู้สึกเศร้าใจและหงอยเหงาขึ้นมา จากที่เขาดูแล้ว หลินจือตอบรับอย่างตรงไปตรงมาแบบนี้ ก็เหมือนกับจะยอมรับผู้ชายคนอื่นอย่างตรงไปตรงมาด้วยเช่นกัน
น้ำเสียงของเขานั้นพึมพำขึ้นมาเบาๆ : “หลินจือ คุณคิดจะเริ่มต้นใหม่จริงๆแล้วใช่ไหม?”
หลินจือที่อยู่ทางปลายสายนั้นรู้สึกงุนงง : “หมายความว่าอะไรคะ?”
เทาเท่จึงเอ่ยพูดขึ้นอีกครั้ง : “โซเมนบอกว่า พ่อคุณจัดการเรื่องผู้ชายคนหนึ่ง…..”
เสียงอธิบายจากทางปลายสายดังขึ้น : “พวกเราเป็นเพียงแค่เพื่อนที่ค่อนข้างจะคุยกันได้ถูกคอเท่านั้นแหล่ะค่ะ”
แต่ถึงแม้ว่าเธอจะอธิบายแล้ว ยังสู้ไม่อธิบายจะดีเสียกว่า
ประโยคเดียวที่ว่าเพื่อนที่ค่อนข้างคุยกันได้ถูกคอ ทำให้หัวใจของเทาเท่จมดิ่งลงไปในจุดที่ต่ำที่สุด
สามารถคุยกันได้ถูกคอคำนี้ สำหรับเขาแล้วเป็นสิ่งที่ไม่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก เนื่องจากว่าเท่าที่เขาจำได้นั้น เขากับหลินจือดูเหมือนจะไม่เคยคุยกันดีๆเลย
ไม่อย่างนั้นแล้วเป็นไปไม่ได้เลยที่ชีวิตการแต่งงานกันมาสามปีเขาจะไม่รู้ว่าเธอชอบทางด้านวรรณกรรม ไม่รู้ว่าเธอยังทำงานเป็นนักเขียนบทด้วย และไม่รู้ว่าเธอเป็นเด็กเรียนมาตั้งแต่เด็ก
โซเมนบอกว่า ผู้ชายคนนี้ทำงานอยู่ในแผนกวัฒนธรรม นั่นจะต้องมีเรื่องพูดคุยกับหลินจือที่เป็นหัวข้อเดียวกันมากมายอย่างแน่นอน
เทาเท่รู้สึกจมปลักอยู่กับความทุกข์นี้ ไม่ได้เอ่ยพูดออกมาอยู่พักหนึ่ง
“ฉันยังมีธุระ วางสายก่อนนะคะ” เสียงที่ดูรีบร้อนของหลินจือดังขึ้นข้างๆหู แล้วสายก็ถูกตัดไป
เทาเท่มองดูโทรศัพท์มือถือที่ถูกตัดสายไปแล้ว หลับตาลงพลางครุ่นคิดอย่างลึกซึ้ง เขาจะไม่โต้ตอบแบบนี้ต่อไปไม่ได้แล้ว
*
หลินจือไปที่ปักกิ่งนั้นเป็นการตัดสินใจกะทันหัน เธอเองก็คิดไม่ถึงเช่นกันว่าจอร์แดนจะเตรียมงานเลี้ยงรับรองของครอบครัวที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ให้เธอจริงๆ
จอร์แดนบอกว่าคิดถึงเธอ และพอดีว่าบทร่างของ”The Legend of Concubine Rong “ก็ได้ช่วงนึงแล้ว ดังนั้นเธอจึงไปที่ปักกิ่งในทันที
หลังจากที่ถึงแล้วเธอถึงได้รู้ว่าจอร์แดนเตรียมงานเลี้ยงเอาไว้ให้เธอ
ในเมื่อมีการพิสูจน์และยืนยันแล้วว่าเป็นลูกสาวแท้ๆของจอร์แดน ครั้งนี้หลินจือจึงไม่ได้พักที่โรงแรม แต่ถูกจอร์แดนรับไปยังเรือนสี่ประสานของเขากับลูน่าโดยตรง
ลูน่ากอดหลินจือน้ำตาไหลอยู่พักหนึ่ง จากนั้นลูน่าก็ดึงเธอมาทางด้านข้างแล้วแอบเช็ดน้ำตา : “ชีวิตนี้ฉันไม่สามารถมีลูกให้พ่อของเธอได้ ความจริงแล้วในใจรู้สึกเสียใจมาก การปรากฏตัวของเธอ ในที่สุดก็ทำให้ปมที่อยู่ในใจฉันคลายออกมาได้แล้ว”
ลูน่าไม่เคยแคร์มาก่อนเลยว่าหลินจือจะไม่ใช่ลูกแท้ๆของเธอ หลังจากที่ตรวจสอบตอนแรกแล้วว่าตัวเองไม่สามารถมีลูกได้ เธอก็เป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องหย่ากับจอร์แดนเอง แต่จอร์แดนไม่ยอม
ต่อมาเธอเองก็เคยเกลี้ยกล่อมจอร์แดนด้วยเช่นกัน ให้เขาออกไปหาผู้หญิงที่สามารถมีลูกให้เขาได้ เธอสามารถรับเลี้ยงดูมาเป็นเหมือนลูกแท้ๆได้
แต่เธอก็ถูกจอร์แดนว่ามา จอร์แดนบอกว่าเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะทำลายเรื่องมุมมองสามด้านนี้
ตอนนี้หลินจือปรากฎตัวขึ้นมาพอดี เธอสืบทอดยีนเด่นที่ถ่ายทอดทางพันธุกรรมทางด้านวรรณกรรมของจอร์แดนได้อย่างสมบูรณ์แบบ นิสัยดีอ่อนโยนยิ่งเหมือนกับจอร์แดนไม่มีผิด ที่สำคัญที่สุดก็คือ เธอยังเป็นลูกของจอร์แดนกับผู้หญิงที่เขารัก ลูน่ารู้สึกว่าช่างสมบูรณ์แบบมากเหลือเกิน
ดังนั้นลูน่าปฏิบัติกับหลินจือนั้นไม่ได้มีความแปลกหน้าเลยแม้แต่นิดเดียว มีเพียงแค่ความรักและความชอบที่เต็มเปี่ยม แม้กระทั่งยังมีความรู้สึกซาบซึ้งอีกด้วย
หลินจือสามารถเข้าใจความรู้สึกของลูน่าได้ ดังนั้นเธอเองก็ไม่ได้เอ่ยพูดอะไรออกมามากว่าการปลอบใจลูน่า และเพียงกอดลูน่าเอาไว้เบาๆ
หลินจือรู้ ว่าความเสียใจเหล่านั้นทั้งหมดของลูน่า ล้วนแต่เป็นเพราะรักจอร์แดนมากเกินไป
ตอนกลางคืนที่ตระกูลแม็กซิมัสได้จัดงานเลี้ยงที่ยิ่งใหญ่ขึ้นที่โรงแรม เชิญแขกที่มีชื่อเสียงจากหลากหลายอาชีพในสังคมมามากมาย เป็นการประกาศอย่างเป็นทางการถึงสถานะของหลินจือ
ชุดทั้งหมดที่หลินจือใส่เข้าร่วมงานเลี้ยงนี้ล้วนแต่เป็นลูน่าที่ช่วยเธอจัดการ เดิมทีหลินจือบอกกับจอร์แดนเอาไว้ว่าไม่ต้องจัดยิ่งใหญ่ขนาดนี้ แต่จอร์แดนและคนของตระกูลแม็กซิมัสก็ล้วนแต่ยืนยันว่าจะจัด
หลืนจือเลือกที่จะเคารพความต้องการของจอร์แดนและผู้ใหญ่ของตระกูลแม็กซิมัส เธอยินยอมที่จะทำตามจอร์แดนทุกเรื่อง เพราะเธอรู้ว่าทุกอย่างที่จอร์แดนทำนั้นก็เพื่อความหวังดีกับเธอ
ในงานเลี้ยงหลินจือสวมใส่ชุดกี่เพ้าสีขาว นายหญิงใหญ่ให้เครื่องประดับชุดหนึ่งกับเธอ ครั้งนี้เป็นทับทิมชุดหนึ่ง ตอนที่หลินจือเห็นนั้นก็ตกตะลึงเสียจนพูดไม่ออก
เธอ…เธอรับไม่ไหวจริงๆกับความรักที่หนักมากขนาดนี้ แหวนทับทิมนั้นเรียกได้ว่าเป็นไข่นกพิราบ เธอรู้สึกว่าตัวเองใส่ลงไปบนนิ้วแล้วก็อาจจะถูกทับจนหักได้
และเธอเองก็ไม่ได้อยากจะรับของขวัญที่มีค่าขนาดนี้เช่นกัน ดังนั้นเธอจึงรีบเอ่ยพูดกับนายหญิงใหญ่ : “คุณย่าคะ หนูทราบค่ะว่าคุณย่ารักหนู ความเมตตาของคุณย่าหนูได้รับแล้ว ส่วนของขวัญก็ไม่ต้องแล้วนะคะ”
นายหญิงใหญ่ยังคงยืนยัน : “เดิมทีคิดว่าเธอยังเด็กอยู่ ให้เครื่องประดับพวกเพชรจะยิ่งเหมาะกับเธอมากกว่า จะรู้ได้อย่างไรว่าวันนี้เธอจะใส่ชุดกี่เพ้าสีขาวชุดนี้ออกมา ฉันก็อยากจะให้แค่ชุดนี้แล้ว”
นายหญิงใหญ่เอ่ยขึ้นมาอีกครั้ง : “คืนนี้เธอก็ใส่แค่ต่างหูทับทิมก็ได้ เหมาะกับเธอมาก ส่วนอันอื่นเธอก็เก็บเอาไว้ ใส่ในงานที่เหมาะสม”
หลินจือไม่อยากจะปฏิเสธอีก ลูน่าหยอกล้อขึ้นอยู่ทางด้านข้าง : “นายหญิงใหญ่เอาสิ่งของล้ำค่าที่สืบทอดกันมาของตระกูลให้เธอสองชุดเชียวนะ ลูกสาวแท้ๆของท่านก็ไม่มีสิทธิแบบนี้นะ”
หลังจากที่สิ้นเสียงลูน่าแล้ว พี่สาวสองคนของจอร์แดนที่อยู่ข้างๆซึ่งก็คือคุณป้าของหลินจือก็ล้วนแต่เม้มปากแล้วยิ้มออกมา ทุกคนไม่ได้รู้สึกอิจฉาหลินจือเลยแม้แต่นิดเดียว อย่างแรกคือทุกๆคนที่นั่งกันอยู่นั้น สถานะของพวกเขาไม่ได้ขาดแคลนสิ่งของพวกนี้อยู่แล้ว
อย่างที่สอง ทุกคนล้วนแต่รักและเอ็นดูหลินจือจริงๆ และในขณะเดียวกันก็รักจอร์แดนน้องชายคนเล็กสุดของพวกเขาด้วยเช่นกัน
เขาที่ไม่เคยมีลูกมาเป็นครึ่งชีวิต จู่ๆได้มีลูกสาวที่เป็นที่รักและเอ็นดูแบบนี้ ครอบครัวของพวกเขาก็ล้วนรู้สึกมีความสุขและดีใจไปกับเขาด้วย
นายหญิงใหญ่มีความกระตือรือร้นมาก หลินจือเองจึงทำได้เพียงต้องรับของขวัญที่มีค่าชุดนั้นอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้เธอเอ่ยพูดกับนายหญิงใหญ่อย่างจริงจัง : “คุณย่าคะ ต่อไปคุณย่าไม่ต้องให้ของขวัญที่มีค่าแบบนี้กับหนูอีกแล้วนะคะ ไม่อย่างนั้นหนูก็จะไม่กล้ามาที่ปักกิ่งแล้วนะคะ”
นายหญิงใหญ่ยิ้มด้วยความรักใคร่เอ็นดูแล้วเอ่ยขึ้น : “ได้ๆ ไม่ให้แล้ว”
แต่ในใจกลับกำลังคิด : ครั้งหน้าจะให้ของที่ไม่ได้มีค่าขนาดนี้แล้ว
งานเลี้ยงหลืนจือคล้องแขนของจอร์แดนปรากฏตัวขึ้น เป็นที่ตกตะลึงของทุกคนขึ้นมาในทันที
ชุดกี่เพ้าพระจันทร์เสี้ยว ทำให้ออร่าที่ดูอ่อนโยนของเธอนั้นเป็นที่สะดุดตามากยิ่งขึ้น
ทับทิมที่ประดับอยู่ที่ใบหูทั้งสองข้างสวยงามแพรวพราว ทำให้ในหัวนั้นคิดถึงเพียงแค่คำว่า : คุณหนูผู้ร่ำรวยมีเกียรติที่แท้จริง
ถึงแม้ว่าเธอจะใช้ชีวิตอยู่ข้างนอกมาเป็นเวลาหลายปีขนาดนี้ แต่ลักษณะท่าทางที่สง่างามที่อยู่ในกระดูกของคนตระกูลแม็กซิมัสกลับไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่นิดเดียว