อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า) - บทที่ 259 ความน่าเบื่อกับความคิดเด็กๆ
สาระสำคัญต่างๆ เหล่านั้นหลังจากที่หลินจือเขียนเสร็จ เทาเท่ไม่ได้อ่านมันอย่างละเอียดทั้งหมดด้วยซ้ำ พลันตอบหลินจือไปว่า “นอกจากข้อแรก ข้ออื่นๆ ผมไม่ยอมรับ”
และพูดเสริมขึ้นมาอีกว่า “แม้เป็นครั้งแรก ผมก็รับปากว่าจะพยายามทำให้ดีที่สุดเท่าที่ทำได้ แต่เรื่องแบบนี้ก็ไม่มั่นใจเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์หรอกนะ และอีกอย่างหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ผมก็รับผิดชอบคุณกับลูกได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นหลินจือพลันโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ
เธอเขียนไว้ตั้งหลายข้อ แต่เขากลับบอกว่าทำได้เพียงข้อเดียว? และยังบอกอีกว่าข้ออื่นๆ ไม่ยอมรับ?
ตรรกะอะไรของเขา?
หรือเขาไม่เข้าใจสถานการณ์ของตัวเองตอนนี้ ว่าอยู่ในสถานะอะไร?
เธอตอบโดยไม่คิด “ถ้าอย่างนั้นเราก็จบความสัมพันธ์กันแค่นี้”
ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ตามย่อมมีจุดเริ่มต้นและมีจุดจบ ทว่าจุดเริ่มต้นและจุดจบของพวกเขาใช้เวลาแค่คืนเดียว
เทาเท่โมโหจนแทบกระอักเลือด “หลินจือ นี่คุณจะสวมกางเกงแล้วไม่รับผิดชอบงั้นเหรอ?”
หลินจือ “…..”
ทำไมเขาพูดอะไรน่าเกลียดขนาดนั้น สิ่งนี้เขาเรียกว่าเธอสวมกางเกงแล้วไม่รับผิดชอบ? ไม่ใช่ว่าเพราะตกลงกับเขาไม่ลงรอยหรอกเหรอ
เทาเท่รีบโทรกลับหาหลินจือทันที หลังจากที่เธอยกหูคุยอีกครั้ง ใครจะคิดว่าน้ำเสียงของเขากลับฟังดูจำใจขนาดนี้ “เกี่ยวกับข้อแรก ไม่เช่นนั้นคุณจะให้ผมทำยังไง ในเมื่อให้ผมมีลูกไม่ได้ก็ต้องไปทำหมัน รับรองว่าคุณจะไม่ท้องร้อยเปอร์เซ็นต์”
หลินจือพูดอย่างใจเย็นว่า “มีอีกวิธีที่ดีกว่านั้น รับรองได้เลยว่าไม่ท้องร้อยเปอร์เซ็นต์”
เทาเท่ถามกลับ “วิธีไหน”
หลินจือตอบกลับเพียงสั้นๆ ว่า “ไม่ต้องทำ”
รับประกันว่าไม่ท้องแน่นอนร้อยเปอร์เซ็นต์
เทาเท่ยิ้มเยาะ “คุณเป็นคนเสนอให้รักษาความสัมพันธ์ทางกายไว้ ตอนนี้กลับบอกผมว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น?”
หลินจืออึ้งจนพูดไม่ออกไปสักพัก
ครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่แล้วตอบเขาว่า “ถ้าหากมีลูกขึ้นมาจริงๆ คุณจะมาใช้ลูกบีบบังคับให้ฉันแต่งงานกับคุณไม่ได้ และเรื่องการเก็บเด็กไว้หรือไม่ฉันจะเป็นคนตัดสินใจเองเช่นกัน”
ทันใดนั้นเทาเท่พลันรู้สึกเจ็บหน้าอกขึ้นมา มือกำโทรศัพท์มือถือไว้แน่น แต่กลับไร้เรี่ยวแรงเอื้อนเอ่ยคำใดออกไป
คำพูดของหลินจือช่างเย็นชาและไร้ความเมตตา เธอไม่เคยคิดจะเก็บลูกของเขาไว้ด้วยซ้ำ แถมยังไม่เคยคิดจะพัฒนาความสัมพันธ์กับเขาให้ดีขึ้นกว่านี้เลยแม้แต่น้อย
คราวนี้เธอคงปกป้องหัวใจตนเองจนตัวตาย
อยู่ดีๆ เขาก็ไม่อยากทะเลาะอะไรกับเธออีก เขาเหนื่อยล้าเหลือเกิน
และเพิ่งเข้าใจคำพูดบางคำที่เคยกล่าวไว้ว่า ไม่ต้องหาเหตุผลกับผู้หญิง แค่ต้องตามใจพวกเธอก็เพียงพอแล้ว
ดังนั้นเขาจึงไม่ได้โมโหอะไร พลางตอบอย่างประนีประนอม “โอเค ผมรับปาก”
หลินจือ “ส่วนข้ออื่นๆ ฉันหวังว่าคุณจะพิจารณาดูอีกรอบ”
เทาเท่ตอบอย่างตรงไปตรงมา “ผมตกลง”
เขาเปลี่ยนจากท่าทีแข็งกร้าวและเย่อหยิ่งในตอนแรก เป็นการประนีประนอมอย่างไร้เงื่อนไข หลินจือนึกประหลาดใจที่เขาตอบตกลงอย่างง่ายดาย แน่นอนว่าเธอไม่ได้ถามอะไรอีก
ดังนั้นจึงเอ่ยขึ้นว่า “โอเค ถ้าอย่างนั้นฉันจะแก้ไขข้อแรกสักหน่อย กลับไปพิมพ์แล้วเราค่อยมาเซ็นสัญญากัน”
เทาเท่ไม่ได้ตอบอะไรเพียงแค่พยักหน้าตกลง
หลังจากทั้งสองพูดคุยเรื่องนี้จบลง เทาเท่พูดด้วยน้ำเสียงแกมอ้อนวอนว่า “ไม่ไปกินข้าวเย็นกับพวกเขาได้ไหม”
เขาไม่อยากให้หลินจือกับเจเทาวน์เจอกัน แม้ว่าพวกเขาทั้งสองคนจะเลิกกันไปแล้ว แต่เจเทาวน์ก็ยังไม่ล้มเลิกความคิดนั้นอย่างชัดเจน
หลินจือตอบกลับตรงๆ “ข้อตกลงข้อที่หก ทั้งสองฝ่ายไม่ได้รับอนุญาตให้ก้าวก่ายชีวิตของอีกฝ่าย”
เทาเท่ “….”
เขารู้แต่เขาไม่เห็นด้วย!
แม้เขาจะแสดงออกชัดเจน แต่ตอนนี้ก็สายเกินไปแล้ว
สุดท้ายเขาจึงทำได้เพียงแค่วางสายไป ปล่อยให้หลินจือและนานิไปรับประทานอาหารค่ำ
มันไม่สำคัญหรอก อย่างไรซะเขาก็ถือได้ว่าเป็นคนของกองถ่าย ไปเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำสักหน่อยคงไม่ได้ดูไร้มารยาทอะไร
หลังจากที่หลินจือและนานิเลิกงานแล้วเข้ามานั่งในห้องอาหารส่วนตัว ตอนที่เทาเท่เคาะประตูและเดินเข้ามา แค่คิดก็รู้แล้วว่า ทุกคนจะประหลาดใจมากแค่ไหน
คนอื่นๆ ต่างคิดไม่ถึงว่า เทาเท่คนนี้ที่เป็นบอสใหญ่ผู้อยู่เบื้องหลังการลงทุน จะเข้าร่วมงานเลี้ยงอาหารค่ำของพวกเขาอย่างไม่ได้ตั้งตัวเช่นนี้ พลอยทำให้ทุกคนรู้สึกกดดันอย่างมาก โดยเฉพาะเหล่านักแสดง ต่างประหม่าไปตามๆ กันอยู่สักพัก
นานิกลอกตาอย่างไม่ใส่ใจ พลางกระซิบกับหลินจือว่า “อุ๊ย ซวยแล้ว เขาหน้าด้านหน้าทนน่าดูเลยล่ะ”
แค่นี้หลินจือก็ปวดหัวจะตายอยู่แล้ว ที่เธอออกมารับประทานอาหารกับนานิเพราะอยากหลีกเลี่ยงเทาเท่ ไม่คิดเลยว่าเขาจะทำตัวเป็นวิญญาณตามหลอกหลอนเธอขนาดนี้
เจเทาวน์เมื่อเห็นเทาเท่พลันหยุดทานแล้วรีบลุกไปทักทาย “คุณเทาเท่ มาได้ยังไงครับเนี่ย?”
มือข้างหนึ่งของเทาเท่ล้วงไว้ในกระเป๋ากางเกง ตอบกลับอย่างสุภาพ “ผมกับเพื่อนมาทานข้าวกันอยู่ใกล้ๆ แถวนี้ ได้ยินว่าพวกคุณมีงานเลี้ยงอาหารค่ำอยู่ที่นี่ เลยแวะมาดูสักหน่อยครับ”
นานิหันมากระซิบต่อ “โกหกหน้าไม่อายจริงๆ”
หลินจือตอบด้วยความเอือมระอา “เธอเลิกมองเขาสักที เดี๋ยวเขาก็มองมาหรอก”
หลินจือกลัวอะไรมักได้อย่างนั้น เทาเท่หันมาสบตาเธอกับนานิทันที เขามองยิ้มๆ แล้วถามว่า “คุณนานิ ดูเหมือนคุณจะมีปัญหากับผมนะครับ คุณนินทากับคุณนักเขียนบทที่อยู่ข้างๆ เรื่องผมว่ายังไงเหรอ”
หลินจือพูดไม่ออก เธอรู้แค่ว่า เทาเท่มาคราวนี้เขาคงไม่ปล่อยเธอไปง่ายๆ แน่
นานิตอบรับเทาเท่ด้วยรอยยิ้มอันสดใสของเธอ “ฉันจะมีปัญหากับคุณได้ยังไงล่ะคะ คุณทั้งสง่างาม รูปหล่อ ฉลาด และมีความสามารถ เป็นที่ใฝ่ฝันของสาวๆ หลายต่อหลายคนขนาดนี้”
“อ้อ?” เทาเท่เลิกคิ้ว หลินจือรู้สึกว่าตัวเองโชคร้ายอย่างอธิบายไม่ได้ เมื่อเทาเท่หันมาถามเธอ “คุณนักเขียนบทก็คิดอย่างนั้นเหมือนกันเหรอครับ?”
หลินจือปั้นหน้ายิ้มหวานตอบกลับ “ใช่ค่ะ”
คนคนนี้บังคับให้เธอชมเขาทางอ้อม เจ้าเล่ห์จริงๆ นะ
เมื่อได้ยินคำตอบของหลินจือ เทาเท่พลันยิ้มกว้างกว่าเดิม “ขอบคุณคำชมของคุณทั้งสอง งั้นผมไม่รบกวนแล้ว พวกคุณเชิญตามสบายเลยนะครับ”
พูดจบเทาเท่ก็หันมากล่าวลาเจเทาวน์และเดินจากไป เจเทาวน์หันไปมองหลินจืออยู่สักพัก
ที่เทาเท่มาที่นี่ชัดเจนว่าเป็นเพราะหลินจือ เขาเพียงแค่มาแสดงตัวและหยอกล้อเธอแล้วก็ไป เจเทาวน์คิดว่าการกระทำนี้ของเทาเท่ช่างน่าเบื่อหน่ายและดูเด็กน้อยมากจริงๆ
สองสาวที่นั่งอยู่ข้างนานิหลังจากเทาเท่เดินออกไปต่างพากันซุบซิบ หนึ่งในนั้นถอนหายใจพลางกระซิบเบาๆ ว่า “หน้าตาและท่าทางของคุณเทาเท่ทำให้ใจเต้นแรงได้จริงๆ”
คนอื่นๆ ต่างสงสัยเกี่ยวกับเรื่องอื้อฉาวครั้งก่อนของเทาเท่ “ผู้หญิงคนที่เขาไล่ตามจีบคนนั้นเป็นใครเหรอ ทำให้เขาเสี่ยงถูกตบหน้าก็ยังไล่ตาม แน่นอนว่าเขาคงรักจริงสินะ?”
คนที่พูดก่อนหน้านั้นเสริมขึ้นมาว่า “เมื่อก่อนฉันคิดว่าเขากับซูซีไปกันได้ดี แต่คิดไม่ถึงเลยว่าทุกอย่างจะเป็นแค่การแสดงของซูซีเท่านั้น”
นานิเข้าร่วมวงสนทนาของสองคนนั้นทันที “พวกคุณรู้เรื่องที่ว่าคุณเทาเท่เคยแต่งงานมาก่อนไหม?”
ทั้งสองพยักหน้า “ใช่ เรารู้”
นานิตอบด้วยท่าทีมีเลศนัย “งั้นพวกคุณเคยคิดไหมว่า คนที่เขากำลังไล่ตามอาจเป็น….ภรรยาเก่าของเขา?”
หลินจือที่เพิ่งยกซุปขึ้นมาซดพลันตกใจแถบสำลักกับคำพูดของนานิ รีบยกมือขึ้นห้ามและลากเธอออกมา