อยากง้อเหรอ คุณสามี(เก่า) - บทที่ 4 โดนเบี้ยวนัดวันหย่า
เมื่อได้ยินว่าหลินจือจะทำงาน ดวงตาของนานิก็เป็นประกาย“ได้ยินว่า ที่บริษัทของฉันเปิดโอกาสให้ไปเรียนเขียนบทที่ต่างประเทศด้วย หากเธอตั้งใจอยากจะทำงานจริงๆ ฉันจะช่วยเธอยื่นเรื่องกับประธานเจเทาวน์ให้ ”
ตอนเรียนมหาลัยหลินจือเรียนเอกสาขาละครและภาพยนตร์ แม้เรียนจบแล้วเธอจะแต่งงานกับเทาเท่และทำหน้าที่ภรรยาอย่างเต็มตัว แต่นานิก็ไม่อยากให้ความสามารถของเธอถูกฝังกลบ ก็จึงได้แนะนำเธอให้ไปทำงานเป็นนักเขียนอิสระ
แต่เรื่องนี้ไม่มีใครรู้ เทาเท่ก็ไม่รู้ คนภายนอกก็ไมรู้ เพราะหลินจือใช้นามปากกาในการเขียนบท
คำพูดของนานิทำหลินจือประหลาดใจมาก“จริงเหรอ?”
“จริงแท้แน่นอน” นานิพูดอย่างมั่นใจ“ประธานเจเทาวน์ เขาชื่นชมความสามารถของเธอมาตลอด แม้ว่าเธอจะเป็นแค่นักเขียนอิสระ แต่ถ้าหากเธอเซ็นสัญญาแล้วมาเป็นนักเขียนบทอย่างเต็มตัวในบริษัทของเรา เขาคงพร้อมจะทุ่มทุกอย่างเพื่อที่จะสนับสนุนเธออย่างแน่นอน ”
เบลดิ้งเอนเตอร์เทนเมนต์ที่นานิทำงานอยู่ ก่อตั้งโดยเจเทาวน์นักแสดงชื่อดังกับเหล่าผองเพื่อนของเขาที่ซึ่งผันตัวสู่งานเบื้องหลังเมื่อไม่กี่ปีก่อน และยังได้รวบรวมเอานักเขียนบทที่มีชื่อเสียงในปัจจุบัน พร้อมทั้งทีมงานผู้กำกับและศิลปินอีกมากมาย หลายปีมานี้มีผลงานการละครโทรทัศน์และภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมอย่างมากมายและเป็นที่รู้จักกันดี
หลินจือตกปากรับคำทันทีโดยไม่ลังเล“ได้ ฉันตกลง ”
หย่าร้าง และไปต่างประเทศ นี่ถือเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเธอในตอนนี้
ไปต่างประเทศแล้วก็ไม่ต้องมาเผชิญกับเรื่องทุกอย่าง สภาพจิตใจของเธอก็คงจะไม่เจ็บปวดมากเท่าไร
ครั้งนี้เทาเท่เดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัดเป็นเวลานานถึงสามวัน หลินจือก็เอาแต่อดทนรอ
วันนั้นนานิพาเธอไปยังเบลดิ้งเอนเตอร์เทนเมนต์เพื่อเซ็นสัญญาอย่างเป็นทางการ หลังจากที่เซ็นสัญญาแล้วเสร็จหลินจือก็เดินทางไปที่คฤหาสน์ตระกูลฟอเรนา ในเมื่อตัดสินใจแล้วว่าจะหย่ากัน เธอคิดว่าควรบอกให้คุณท่านได้รู้ เพราะยังไงแล้วทุกคนที่ตระกูลฟอเรนา ก็มีคุณท่านเท่านั้นที่เมตตาเธอที่สุด
ครึ่งชั่วโมงผ่านไป หลินจือก็เดินออกมาจากห้องหนังสือพร้อมคุณท่านด้วยดวงตาที่แดงก่ำ เบื้องหน้าก็เจอเข้ากับเทาเท่ที่ไม่รู้ว่ากลับจากการไปดูงานตั้งแต่เมื่อไร
เขาสวมใส่ชุดสูทสีเทา รูปร่างสูงเพรียว สง่างามและเคร่งขรึม หว่างคิ้วที่ภูมิฐานและหนักแน่นของคนอายุสามสิบ แล้วยังตำแหน่งหน้าที่และอำนาจที่น่าเกรงขาม
หลินจือจำได้ว่าตัวเองก็ถูกภาพลักษณ์นี้ของเขามอมเมาจนลุ่มหลง อดไม่ได้ที่จะละสายตาออก
สายตาของเทาเท่ ยังคงเหมือนเคยมองไปยังใบหน้าของเธอเพียงชั่วครู่ จากนั้นก็พูดเสียงเบากับคุณท่านว่า“ขอโทษครับคุณปู่ ที่ผมมาสาย”
วันนี้ที่คุณท่านตามตัวเทาเท่มาก็เพราะเรื่องบางอย่างในตระกูล เขาไม่คิดว่าจู่ๆหลินจือจะมาหาเขา มาบอกเรื่องที่จะหย่ากับเทาเท่
เมื่อคิดถึงหลินจือที่ตัดสินใจจะหย่า ก็ไม่สามารถมองหน้าหลานชายด้วยสีหน้าที่พึงพอใจได้ ตอบกลับอย่างไม่สบอารมณ์ไปคำหนึ่ง“ คนที่แกควรพูดขอโทษไม่ใช่ฉัน ”
หลังจากที่คุณท่านพูดจบก็สะบัดแขนแล้วจากไป เทาเท่ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อยแล้วมองไปยังหลินจือที่ยืนอยู่ข้างๆ
หลินจือมองเห็นถึงความไม่พอใจในดวงตาของเขา เขาคิดว่าเธอเอาเรื่องของเขามาฟ้องคุณท่าน
เธอมองสบตากับเขาแล้วยกยิ้มมุมปากขึ้นด้วยรอยยิ้มที่เย้ยหยัน“อย่ากังวลไปเลย เรื่องที่ฉันคุยกับคุณปู่ล้วนเพื่อผลประโยชน์ของคุณเองทั้งสิ้น ”
หลังจากที่หลินจือพูดคำนี้จบก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอีก
เมื่อครู่เธอได้ชี้แจงกับคุณท่านถึงเหตุผลที่เธอจะหย่า ให้เขาได้สมหวังกับผู้หญิงที่เขาปรารถนา ให้ครึ่งชีวิตที่เหลือของเขาไม่ต้องมาทุกข์ทรมานกับการแต่งงานกับเธอ นี่ไม่ใช่ทำเพื่อเขาหรอกเหรอ ?
สีหน้าของเทาเท่เคร่งขรึมลงทันทีกับคำพูดของหลินจือ เขาย่อมฟังออกถึงการเสียดสีในคำพูดของเธอ
แต่งงานกันมาสามปีเธอในสายตาเขาเป็นคนที่น่ารักอ่อนโยนมาโดยตลอด อยู่ดีๆก็พูดเป็นมะนาวไม่มีน้ำ อารมณ์โกรธของเขาก็พอจะนึกภาพออก
ยกมือขึ้นแล้วดึงไปที่เนกไทตรงคอ เขาระงับความกรุ่นโกรธในใจแล้วเดินไปหาคุณท่าน
สิบนาทีให้หลัง เทาเท่ที่มีสีหน้ามืดมนก็ยืนขวางหลินจือไว้ในห้องครัว