อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 1000 เคยบอกเรื่องหนึ่งกับเจ้าหรือไม่
ตอนที่ 1000 เคยบอกเรื่องหนึ่งกับเจ้าหรือไม่
ตอนที่ 1000 เคยบอกเรื่องหนึ่งกับเจ้าหรือไม่
อวี้ชิงลั่วกล่าวจบก็มองไปทางสองพี่น้องลู่หลานเฟิง
“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวพวกเราจะไป” ลู่หลานเฟิงเพียงมองเห็นแววตามุ่งร้ายของนางก็หัวเราะออกมา
เขาและลู่หลานอวิ๋นยืนขึ้นในทันที ทันใดนั้นก็รีบไปที่ตำหนักจิ่งหวา
เมื่อไม่มีผู้พิทักษ์ทมิฬสิบกว่าคนของคังเฟย เหล่าทหารองครักษ์ในตำหนักจิ่งหวาก็ดูอ่อนแอลงมาก ทั้งยังมีช่องโหว่เพิ่มขึ้นมากมาย
ลู่หลานเฟิงและลู่หลานอวิ๋นทั้งสองคนผ่านประตูใหญ่ของตำหนักจิ่งหวาไป ทันใดนั้นก็มุ่งหน้าไปยังห้องเล็กๆ ทางด้านซ้ายของห้องนอนคังเฟยตามที่หนานหนานบอกเอาไว้
“ไม่ได้การล่ะ มีคน” ผู้อารักขาหลิวที่ขวางไม่ให้คังเฟยออกไปเมื่อครู่ตะโกนออกมาในทันที ทันใดนั้นก็มุ่งหน้าไปทางด้านของลู่หลานเฟิงทั้งสองคน
ลู่หลานเฟิงขมวดคิ้ว คนที่องค์ชายเจ็ดส่งมานั้นช่างต่างจากคนธรรมดาจริงๆ
ทว่าถ้าเคล็ดวิชาฝ่าเท้าตระกูลลู่ของเขาถูกตามทันได้ง่ายๆ เช่นนั้นเขาก็คงต้องรับโทษตายจากเหล่าบรรพบุรุษเสียแล้ว
สายตาของผู้อารักขาหลิวมองดูเขาเลื่อนผ่านร่างตนเองไป จากนั้นก็มองไปยังทิศทางที่เขามุ่งหน้าไป รีบตะโกนออกมา “คุ้มกันห้องเอาไว้ เร็วเข้า ห้องทางด้านซ้าย”
ด้านบนของห้องเล็กๆ นั้นมีคนสองคนกระโดดลงมาในทันที ขวางอยู่ตรงหน้าลู่หลานเฟิง ทั้งยังมีอีกคนหนึ่งเข้าไปในห้องอย่างรวดเร็ว คุ้มกันอยู่ตรงหน้ากล่องเหล็กที่อวี้เป่าเอ๋อร์อยู่
ลู่หลานเฟิงขมวดคิ้ว กล่าวกับน้องสาวที่อยู่ข้างกาย “คนข้างนอกเจ้าจัดการเสีย ส่วนคนด้านในนั้นให้เป็นหน้าที่ข้า”
“ได้” ลู่หลานอวิ๋นตอบรับ มือสองข้างกลายเป็นกรงเล็บ จับไหล่ของทั้งสองคนเอาไว้แล้วลากพวกเขาโยนออกไปด้านนอก
ร่างของลู่หลานเฟิงวูบไหวครั้งหนึ่ง ตัวเขาก็มายืนอยู่อีกด้านของกล่องเหล็กแล้ว
“อย่าขยับนะ ไม่อย่างนั้นข้า… อุบ…” ลู่หลานเฟิงไม่ให้โอกาสเขาได้พูดเลยแม้แต่น้อย คว้าคอของเขาแล้วออกแรงที่มือ จากนั้นชายคนนั้นก็ไร้เสียงไป
จากนั้นเขาก็ยืนอย่างมั่นคงอยู่ด้านข้างกล่องเหล็ก กล่าวกับอวี้เป่าเอ๋อร์ที่อยู่ด้านใน “เจ้าคือเป่าเอ๋อร์ใช่หรือไม่”
“…ขอรับ” น้ำเสียงของอวี้เป่าเอ๋อร์อ่อนแรงเล็กน้อย ลมหายใจแผ่วเบา
ลู่หลานเฟิงขมวดคิ้ว ดูท่าสถานการณ์จะร้ายแรงกว่าที่คิดเอาไว้
ขณะกล่าว ห้องเล็กนั้นก็ถูกล้อมทันที ด้านนอกมีคนชุดดำเพิ่มขึ้นมาสิบกว่าคน พากันยืนอยู่ตรงด้านนอกประตูสบตากับลู่หลานอวิ๋น
ผู้อารักขาหลิวเดินหน้ามาจากทางด้านหลัง มองทั้งสองคนแล้วแค่นหัวเราะ “พวกเจ้าคิดว่าอย่างพวกเจ้าจะสามารถช่วยคนออกมาได้หรือ กล่องเหล็กนั่นหากไม่มีกุญแจ ใครก็อย่าคิดจะเปิดมันเลย หากใช้กำลังจนกระทั่งช่วยคนออกมาได้ เขาก็คงตายไปแล้ว”
เขากล่าวจบ ก็ไม่รู้ว่ามีกุญแจอันหนึ่งอยู่ในมือตั้งแต่ตอนไหน ไม่รอให้ลู่หลานเฟิงทั้งสองคนตอบสนอง ทันใดนั้นก็ออกแรง กุญแจถูกเขาหักออกเป็นสองท่อนแล้วโยนลงกับพื้น
“เจ้า…” ลู่หลานอวิ๋นจ้องมองเขาอย่างโกรธเกรี้ยว
ผู้อารักขาหลิวส่งเสียงฮึดฮัด “บุกเข้าไป”
ทันทีที่กล่าวจบ คนชุดดำสิบกว่าคนทางด้านนอกก็พุ่งเข้าโจมตีใส่ลู่หลานอวิ๋นในทันที
เพียงแต่ลู่หลานอวิ๋นฝีมือดีมาก เพียงขยับมือครั้งเดียว คนชุดดำสองคนก็อยู่ในเงื้อมมือของนาง
คนชุดดำที่ดูอยู่ด้านหลังเริ่มหยุดฝีเท้าลงอย่างระมัดระวัง ลู่หลานอวิ๋นกล่าวกับผู้อารักขาหลิวด้วยใบหน้าที่ภาคภูมิใจ “ไม่เป็นไร รอจนพวกข้าสองคนฆ่าพวกเจ้าจนหมดเสียก่อน ถึงตอนนั้นค่อยหาวิธีให้คนมาปลดกุญแจนี้ก็ไม่ต่างกันนัก”
ผู้อารักขาหลิวหรี่ตา โบกมือให้คนชุดดำทั้งหมดล่าถอย
“เจ้าคิดว่าข้าจะให้โอกาสเช่นนั้นกับเจ้าหรือ?” ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนเสียงดัง “ตาข่าย”
ทันทีที่กล่าวจบ ก่อนที่ลู่หลานอวิ๋นจะได้ตอบสนอง ตาข่ายขนาดใหญ่ก็ตกลงมาเหนือศีรษะ คลุมพวกเขาทุกคนที่อยู่ในห้องเล็กจนหมด
นางหันมากะพริบตาให้ลู่หลานเฟิง “พี่ ตาข่ายนี้แข็งแรงเกินไป”
“เฮอะ พวกเจ้าคิดว่าตาข่ายผืนเดียวนี้จะจับพวกข้าเอาไว้ได้หรือ?” ลู่หลานเฟิงดูถูก ช่างไร้เดียงสาเกินไปแล้ว
ผู้อารักขาหลิวหัวเราะออกมา “ตาข่ายผืนเดียวจับพวกเจ้าไว้ไม่ได้อยู่แล้ว แต่ถ้าพวกเจ้าฝ่าตาข่ายแล้วออกไปจากที่นี่ เช่นนั้นคนที่พวกเจ้าอยากจะช่วย ก็คงไม่เหลือชีวิตเป็นแน่”
เดิมทีกล่องเหล็กนั้นไม่สามารถขยับได้เลย หากพวกเขาสองคนต้องการย้ายกล่องนั้นจากไปโดยที่ไม่ให้บาดเจ็บคงทำได้เพียงฝันเท่านั้น
ผู้อารักขาหลิวหรี่ตา กล่าวเสียงดัง “ยิงธนู”
เขาโบกมือ จากนั้นก็มีคนชุดดำห้าหกคนเล็งธนูมาที่ห้องเล็กนั้น สิ่งที่ทำให้ลู่หลานอวิ๋นกัดฟันก็คือ ปลายธนูนั้นจุดไฟเอาไว้ ขอเพียงยิงเข้ามาในห้อง ทั้งห้องก็จะถูกไฟลุกท่วม
“ยิง…” ผู้อารักขาหลิวโบกมือทันที
แต่รออยู่พักหนึ่ง มือธนูที่อยู่ด้านหลังของเขากลับไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย
ต่อจากนั้นก็มีเสียง ‘ป๊อกแป๊กๆ’ ของธนูที่ตกลงกับพื้นดังขึ้น
ผู้อารักขาหลิวหันหน้าไปมองทันที ก็เห็นอวี้ชิงลั่ว อันฝูซี ท่านปู่ฮวา ท่านยายฮ่วนและคนอื่นๆ ล้วนยืนอยู่ด้านหลัง จ้องมองเขาด้วยรอยยิ้มสดใส
ผู้อารักขาหลิวได้สติในทันที สายตามองไปยังร่างของอวี้ชิงลั่ว จากนั้นก็หัวเราะออกมาเบาๆ แล้วเอ่ย “แม่นางอวี้ ในที่สุดเจ้าก็มา”
“ได้ยินที่เจ้าพูด ดูเหมือนจะรอข้ามาโดยตลอดนะ”
“องค์ชายเจ็ดคาดว่าเจ้าจะต้องมาช่วยน้องชายที่รักเป็นแน่ ดังนั้น พวกข้าทั้งหมดจึงล้วนรอเจ้าอยู่อย่างไรเล่า”
อวี้ชิงลั่วเข้าใจในทันที นางคิดว่าการกระทำของผู้อารักขาหลิวเมื่อครู่นี้เหมือนจะโง่เง่ามาก ทั้งยังพูดจาไร้สาระมากไปป เดิมทีในใจนางก็รู้ดีอยู่แล้ว ว่าอาหารมื้อใหญ่ของจริงยังไม่ปรากฏ
ถุยๆๆ มีที่ไหนคิดว่าตัวเองเป็นอาหารมื้อใหญ่กัน
อวี้ชิงลั่วลอบด่าตนเองในใจสองสามครั้ง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้น มองผู้อารักขาหลิวผู้นั้นอย่างเงียบขรึม กล่าวด้วยรอยยิ้ม “มีพวกเจ้าไม่กี่คนมารอต้อนรับขบวนของข้า ไม่ดูถูกข้าเกินไปหน่อยหรืออย่างไร?”
“แน่นอนว่าไม่ได้มีคนเพียงเท่านี้” ผู้อารักขาหลิวหรี่ตา จากนั้นก็ปรบมือ
เสียง ‘กรอบแกรบ’ ดังขึ้น ผู้คนหลายสิบคนวิ่งออกมาจากลานบนหลังคาในทันที ในมือมีทั้งดาบและธนู ทุกคนจ้องมองพวกเขาราวกับมีดวงไฟในดวงตา
ซวนหย่าเปล่งเสียงเบาๆ “ไอ้หยา อวี้ชิงลั่ว เรื่องนี้เจ้าได้คาดการณ์เอาไว้หรือไม่ ข้าจะบอกให้นะ หากวันนี้ข้าตายอยู่ที่นี่ ข้าจะไม่ปล่อยเจ้าไปแน่”
อวี้ชิงลั่วถอนหายใจ “บอกตามตรงว่าข้าไม่ได้คิดเอาไว้จริงๆ ข้ายังนึกว่าคังเฟยพาคนออกไปครึ่งหนึ่งแล้ว คิดไม่ถึงว่าองค์ชายเจ็ดจะลงทุนตั้งมากมายเพื่อจัดการข้า ทั้งยังกล้าส่งคนมากมายเพียงนี้เข้ามาในวังหลวง ช่างเกินความคาดหมายของข้าไปมากจริงๆ”
รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของผู้อารักขาหลิว “เป็นเพราะพวกเจ้าประเมินความสามารถขององค์ชายเจ็ดต่ำไปแล้ว”
เหมิงกุ้ยเฟยเอามือปิดฟ้าในวังหลวงมาโดยตลอด อำนาจที่นางสั่งสมมาตลอดหลายปีก็แทรกซึมอยู่ในวังหลวงแล้ว สำหรับนางแล้ว การจะส่งคนมาแทรกซึมอยู่ในวังหลวงหลายสิบคนย่อมไม่ใช่เรื่องยาก
อวี้ชิงลั่วเองก็เห็นด้วยกับคำพูดของผู้อารักขาหลิว องค์ชายเจ็ดกล้าก่อกบฎ ความกล้าหาญนี้ก็เพียงพอที่จะให้นางตกใจแล้วเข้าใจไหม?
“จับพวกมันเอาไว้ทั้งหมด” ผู้อารักขาหลิวโบกมือทันที ออกคำสั่งคนที่อยู่บนหลังคาและในลานบ้าน
อวี้ชิงลั่วเม้มปากหัวเราะออกมาครั้งหนึ่ง สองแขนกอดอก เอนกายพิงเสาข้างๆ อย่างสบายๆ กล่าวกับผู้อารักขาหลิว “จริงสิ เหมิงกุ้ยเฟยเคยบอกเรื่องหนึ่งกับเจ้าหรือไม่?”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
โดนล้อมไว้หมดแล้ว จะฝ่าออกไปยังไงให้เป่าเอ๋อร์ยังมีสภาพครบสามสิบสองล่ะเนี่ย
ไหหม่า(海馬)