อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 1006 คนทะลึ่งลวนลาม
ตอนที่ 1006 คนทะลึ่งลวนลาม
ตอนที่ 1006 คนทะลึ่งลวนลาม
อวี้ชิงลั่วตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง แต่ทันใดนั้นก็ตระหนักในวินาทีต่อมา ดวงตาของนางพลันเป็นประกาย ก่อนคว้ามือของฉินเจี่ยวเพียวทันที “คนผู้นั้นอยู่ที่ใด?”
“ถูกขังอยู่ในบ้านหลังเล็กในสวนหลังตำหนัก รอให้เจ้าไปจัดการ” ฉินเจี่ยวเพียวยกยิ้ม
อวี้ชิงลั่วสะบัดมือเยว่ซินออกทันที และรีบเดินไปยังบ้านหลังเล็กในสวนหลังตำหนัก
คาดไม่ถึงว่าหลังจากเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ร่างสูงก็เดินเข้ามาหานาง
เมื่ออวี้ชิงลั่วเห็นเขา นางก็เพียงแค่โบกมือทักทาย แต่ใครจะรู้ว่าเขาจะก้มลงโดยไม่พูดอะไรสักคำ แล้วอุ้มนางขึ้น
อวี้ชิงลั่วตกตะลึง “เอ๊ะ เย่ซิวตู๋ ท่านจะทำอะไร?”
“แม่นางซวนบอกว่าเจ้าไม่ได้นอนทั้งคืน เมื่อครู่นี้เจ้ารักษาเสิ่นอิงเป็นเวลานานแล้ว ตอนนี้เจ้าต้องกลับไปพักผ่อนที่ห้องได้แล้ว” ใบหน้าของเย่ซิวตู๋เคร่งขรึมและหมองเศร้า โดยเฉพาะเมื่อเขาเห็นความเหนื่อยล้าในดวงตาของอวี้ชิงลั่ว ฝีเท้าของเขาจึงยิ่งก้าวเร็วขึ้นไปอีก
เมื่อเขาเดินไปด้านข้างฉินเจี่ยวเพียว เขาก็เหลือบมองด้วยสายตาคมกริบ
ฝ่ายหลังลูบจมูกตัวเอง เขาอยากจะแสดงความเป็นเจ้าของหรือ? เขาไม่ได้สังเกตใบหน้าอวี้ชิงลั่วมาระยะหนึ่งแล้ว จะมาโทษเขาไม่ได้
อวี้ชิงลั่วถูกอุ้มอยู่ในอ้อมแขนของเย่ซิวตู๋ เมื่อนางได้ยินคำพูดของเขาก็ตวาดแหวทันที “แม่ซวนหย่าเท้าเล็กนั่นไปหาเจ้าหรือ?”
“อืม”
ใบหน้าของอวี้ชิงลั่วเปลี่ยนเป็นสีซีด “เจ้าบ้านั่น ข้าจะขย้ำนางให้ตาย”
นางพูดจบแล้วก็กำลังจะดิ้นลงไป เย่ซิวตู๋จึงตบก้นนางอย่างแรง แล้วตะโกนว่า “สิ่งที่เจ้าจำเป็นต้องทำตอนนี้คือพักผ่อน เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้ไปไหนเด็ดขาด”
“… อ๊ะ เย่ซิวตู๋ เจ้ากล้าดีอย่างไรมาปกป้องแม่เท้าเล็กนั่น” อวี้ชิงลั่วหน้าแดงเล็กน้อย นางรู้สึกอับอายที่ตัวเองถูกตบก้นต่อหน้าสาธารณชน
เย่ซิวตู๋พ่นลมหายใจอย่างเย็นชา แล้วอุ้มนางไปยังตำหนัก ตรงเข้าไปในห้องชั้นในและวางนางลงบนเตียง
อวี้ชิงลั่วจ้องมองเขา เย่ซิวตู๋ก้มลงถอดรองเท้าให้นาง ถอดเสื้อออก ก่อนจะโอบแขนรอบเอวนาง แล้วนอนลง
“เย่ซิวตู๋…”
“นอน”
“ฮึ่ม…” อวี้ชิงลั่วพลิกตัวหันหลังให้เขา
เย่ซิวตู๋เลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะกอดนางไว้ในอ้อมแขนแน่นขึ้นเล็กน้อย จากนั้นกดริมฝีปากอุ่นของเขาไปที่ท้ายทอยของนาง และดูดอย่างแรง
อวี้ชิงลั่วหดคอ แล้วพูดเสียงเบา “เย่ซิวตู๋ กลางวันแสก ๆ ท่านจะมาทะลึ่งได้อย่างไร?”
“เรียกว่าซิวตู๋” เขาถูกเรียกด้วยชื่อแซ่เต็มยศ ครั้งล่าสุดเขาเคยสอนนางอย่างชัดเจนแล้ว แต่นางก็ยังไม่ชิน
เย่ซิวตู๋คิดกับตัวเอง แล้วโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อกัดอีกครั้ง
อวี้ชิงลั่วรีบหันกลับมาวางมือบนหน้าอกเขา “ซวนหย่าบอกอะไรท่านบ้าง?”
“ไม่มีอะไรหรอก ข้าแค่ได้ยินนางบอกว่าเจ้าไม่ได้นอนทั้งคืน และไปที่เรือนของเสิ่นอิงเพื่อตรวจอาการและรักษา ข้าจึงรีบมาหาเจ้า แล้วนางก็พูดพล่ามอะไรอีกไม่รู้ เมื่อไหร่เจ้าจะเอาหญิงคนนี้ออกไปเสียที ช่างน่ารำคาญนัก”
อวี้ชิงลั่วหัวเราะ อืม นางมีสายตาเฉียบแหลมจริงๆ ถึงได้ชอบผู้ชายคนนี้
นางใช้นิ้วลูบไล้เขาเบา ๆ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ซวนหย่าหน้าตาดีมากจริงๆ นางมีเสน่ห์ อ่อนโยน รูปร่างเย้ายวนใจจนชายหลายคนมองนางแล้วถึงกับเดินแทบไม่ไหว”
“อ่าฮะ? นางมีทรวดทรงเย้ายวนใจหรือเปล่าข้าไม่รู้ว่า แต่รูปร่างของเจ้า… เย้ายวนใจข้ายิ่งนัก” เขาพูดพลางสอดมือเข้าไปในเสื้อของนาง เพื่อจับส่วนที่เย้ายวนเขา แล้วค่อย ๆ นวดคลึงอย่างเบามือ
เขาไม่ได้ต่างจากคนทะลึ่งที่ชอบลวนลามเลย อวี้ชิงลั่วหน้าแดงและรีบดึงมือของเขาออก
“ข้าจะนอน อย่ากวนข้าเลย”
เย่ซิวตู๋ยกยิ้มอ่อนโยน แล้วโน้มตัวไปจุมพิตนาง “ชิงเอ๋อร์ เมื่อไหร่เจ้าจะบอกให้เพื่อนเหล่านั้นของเจ้าออกไป”
อวี้ชิงลั่วชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นเงยหน้าขึ้นด้วยความสงสัย นางคิดว่าเขาแค่ไม่ชอบซวนหย่าคนเดียว แล้วเหตุใดกัน? เขาไม่ชอบคนอื่นด้วยหรือ?
เย่ซิวตู๋ไม่มีทางยอมรับ เขารู้สึกว่าคนเหล่านี้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับอวี้ชิงลั่ว และเขารู้สึกอึดอัดเมื่อคนเหล่านั้นอยู่รอบกายนางตลอดทั้งวัน
อวี้ชิงลั่วเอียงคอ “ท่าน… ท่านฝังใจหรือ? ข้ารู้ว่าการยอมรับว่าเผิงอิงทรยศนั้นยากสำหรับท่าน เพราะเขาอยู่กับท่านมาหลายปีแล้วแต่กลับมองไม่ออกใช่หรือไม่? ไม่ว่าจะสืบทราบว่าคนใดในบรรดาองครักษ์ทั้งสี่เป็นคนทรยศ ก็ต้องเตรียมใจเอาไว้ อย่าได้ฝังใจเพราะเหตุนี้เลย แค่ทำในสิ่งที่ท่านต้องทำ…”
“นอนเถิด” มุมปากของเย่ซิวตู๋กระตุก ก่อนจะหันหลังให้นางโดยไม่ได้เอ่ยคำใดอีก
เขารู้เมื่อวานนี้ว่าเผิงอิงเป็นไส้ศึก หากจะบอกว่าเขาฝังใจ ใช้เวลาทั้งวันก็เพียงพอแล้ว ที่จะทำให้เขาแยกแยะและมีความมุ่งมั่นขึ้นมาได้
แต่อวี้ชิงลั่วกลับโถมตัวเข้าใส่และยังคงมองหน้าเขา “อาจเป็นเพราะ… เหมิงกุ้ยเฟยใช่หรือไม่? เอ๊ะ ท่านไม่ได้บอกว่าข้าต้องจัดการเรื่องนี้หรือ? ข้าพากลับมาแล้ว ท่านจะกลับคำไม่ได้ นางทำเรื่องชั่วร้ายไว้มากเกินกว่าจะทนได้ ข้า… อ๊ะ…”
อวี้ชิงลั่วร้องออกมา เย่ซิวตู๋ทับร่างนางไว้ ปากที่กำลังพูดของนางเงียบลงทันที
จนกระทั่งนางเริ่มหอบเพราะหายใจไม่ออกเล็กน้อย เขาจึงปล่อยนางพร้อมกับถอนหายใจเบา ๆ
“เจ้าไม่อยากนอนต่อแล้วใช่หรือไม่? เช่นนั้นเรามาทำอย่างอื่นกันเถิด” เย่ซิวตู๋ยังคงทับร่างนาง หน้าผากของเขากดหน้าผากของนาง ก่อนจะกัดริมฝีปากของนางหลายครั้ง ลมหายใจของเขานั้นดูอันตรายมาก
อวี้ชิงลั่วตัวสั่นเทา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มเจื่อน “ข้านอนดีกว่า”
จากนั้นเย่ซิวตู๋ก็พลิกตัวโอบนางไว้ในอ้อมแขน แล้วแนบหน้านางไว้บนหน้าอกของเขา จากนั้นพูดเบา ๆ ว่า “นอนกันเถิด”
อวี้ชิงลั่วอยากจะถามว่าเหมิงกุ้ยเฟยถูกจับหรือไม่ เขาได้ไปหาหรือยัง
แต่เย่ซิวตู๋ไม่ต้องการพูดถึงเรื่องนี้ นางจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากปิดปากอย่างเชื่อฟัง ก่อนจะซุกกายแนบชิดกับร่างของเขา แล้วหลับตาลง
หลังจากนั้นไม่นาน การหายใจของอวี้ชิงลั่วก็สม่ำเสมอและผ่อนคลาย เพราะจมดิ่งสู่ห้วงนิทรา
เย่ซิวตู๋ยกยิ้มมุมปาก เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวัง เรื่องเหล่านั้นในตำหนักของคังเฟย ล้วนเข้าหูเขาหมดแล้ว
เขาจินตนาการได้ว่าอวี้ชิงลั่วต้องผ่านอะไรมาบ้างตลอดทั้งคืน โดยไม่ได้นอน เกรงว่านางคงเหนื่อยล้าทั้งร่างกายและจิตใจ จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่นางหลับง่ายถึงเพียงนี้
ทุกวันนี้ทั้งคู่ต่างยุ่งวุ่นวาย เร่งรีบ และมีโอกาสพูดคุยกันน้อยมาก นับประสาอะไรกับการนอนหลับด้วยกันอย่างใกล้ชิด
เขารู้สึกราวกับว่าไม่ได้เจอนางมานาน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุใด เขาคิดถึงนางมาก
นั่นเป็นเหตุผลที่เขามาหานางทันทีที่กลับถึงตำหนัก เขาแค่อยากกอดนางไว้เช่นนี้โดยไม่ต้องคิดอะไร ไม่ต้องกังวลอะไร
ความจริงแล้วเขา… เหนื่อยมาก ทุกวันนี้เขาได้เปิดโปงสมุนขององค์ชายเจ็ดหลายคนแล้ว และกำลังดำเนินการปราบปรามขั้นรุนแรง มีการตั้งข้อหา บทลงโทษ ทั้งตัดหัว เนรเทศ ทั้งเมืองหลวงเกิดเหตุนองเลือดขึ้นแล้ว และราษฎรต่างกำลังตื่นตระหนก
แต่ต่อไปยังมีอีกหลายอย่างที่รอให้เขาจัดการ
เย่ซิวตู๋ลอบถอนหายใจ กอดนางไว้ในอ้อมแขนแล้วหลับสนิท
เมื่ออวี้ชิงลั่วตื่นขึ้นมาอีกครั้งก็เริ่มมืดแล้ว เมื่อนางขยับ นางก็พบว่าร่างของนางถูกตรึงไว้ ทำให้ไม่สามารถขยับได้
อวี้ชิงลั่วตกตะลึง แล้วมองเย่ซิวตู๋ที่นอนอยู่ข้างนางด้วยความประหลาดใจ
……………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นอนดีๆ เถอะนะชิงลั่ว เหนื่อยล้ามานานแล้ว ถ้ายังไม่หลับเดี๋ยวก็ได้ทำกิจกรรมกับท่านอ๋องหรอก
ไหหม่า(海馬)