อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 1012 คนที่ทำลายทางออกนั้นไม่ใช่ผู้อาวุโสสกุลหมิง
ตอนที่ 1012 คนที่ทำลายทางออกนั้นไม่ใช่ผู้อาวุโสสกุลหมิง
ตอนที่ 1012 คนที่ทำลายทางออกนั้นไม่ใช่ผู้อาวุโสสกุลหมิง
นางใส่เสื้อผ้าแบบไหน แต่งตัวแบบใด พูดจาอย่างไร ก็ล้วนกระตุ้นความรักใคร่ที่ฮ่องเต้มีต่อนางได้ทั้งนั้น
ยิ่งไปกว่านั้น เดิมทีเหมิงกุ้ยเฟยก็งดงามมากอยู่แล้ว ของเพียงใส่ใจเสียหน่อย ก็มีบุรุษน้อยคนนักที่จะต้านทานได้
อีกอย่างนางก็เคยมีประสบการณ์เรื่องความรักมาแล้ว คนอย่างเหมิงซินทุ่มเทให้กับนางเพียงนั้นก็ย่อมมีเหตุผล จะให้ฮ่องเต้รักใคร่นางก็ไม่ใช่เรื่องยากอันใด
ดังนั้นทุกครั้งที่นางแสดงความใส่ใจ อำนาจส่วนใหญ่ของฝ่าบาทก็มาตกอยู่กับนางแล้ว
เหมิงกุ้ยเฟยกลายเป็นที่โปรดปราน ทั้งยังตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในขณะเดียวกัน แต่เหมิงกุ้ยเฟยนั้นมีความสามารถและฉลาดเฉลียว ฮองเฮาและนางสนมคนอื่นๆ คิดจะทำร้ายนางก็ย่อมพูดง่ายแต่ทำยากไม่ใช่หรือ?
เพียงแต่ว่าคนเหล่านั้นไม่สามารถทำร้ายเหมิงกุ้ยเฟยได้ จึงมุ่งความสนใจไปยังเย่ซิวตู๋แทน
เหมิงกุ้ยเฟยหวังอยากให้พวกนางทำลายต้นตอปัญหาแทนนาง เพื่อที่นางจะได้ไม่ลงมือด้วยตัวเอง
และด้วยเหตุนี้ สาวใช้และแม่นมรอบกายเย่ซิวตู๋จึงล้วนตายไปอย่างอธิบายไม่ได้ทีละคนๆ
ถึงเย่ซิวตู๋จะมีอายุเพียงสองสามขวบ แต่ก็สามารถเข้าใจเรื่องราวได้ และผ่านประสบการณ์ความเป็นความตายด้วยอายุเพียงน้อยนิด แม้จะต้องหวาดกลัวและเสียใจ แต่ก็ถูกบังคับให้โตขึ้น
หลังจากนั้น เหมิงกุ้ยเฟยก็ตั้งครรภ์องค์ชายเจ็ด สุขภาพไม่ค่อยดีนักจนไม่มีใจจะไปจัดการกับเย่ซิวตู๋ จึงฝากความหวังทั้งหมดเอาไว้กับเด็กที่อยู่ในท้อง
การประสูติขององค์ชายเจ็ดเป็นความหวังทั้งหมดของนาง
นางต้องการส่งบุตรชายผู้นี้ขึ้นสู่บัลลังก์มังกรด้วยตนเอง และใช้อาณาจักรเฟิงชางทำลายดินแดนเหมิง
ตอนที่เย่ซิวตู๋อายุสี่ขวบ ก็ถูกผู้อาวุโสสกุลหมิงรับตัวไปที่ดินแดนเหมิงและสอนวิชาให้เขาด้วยตนเอง
เหมิงกุ้ยเฟยรู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว นางส่งนักฆ่าไปซุ่มโจมตีระหว่างทาง ถึงขนาดเรียกเหมิงพั่วให้เขาส่งเย่ซิวตู๋ออกเดินทางด้วยตนเอง และใช้โอกาสนั้นกำจัดเขาเสีย
ทว่าแม้ทักษะของเหมิงพั่วจะสูงส่ง เขากลับมาตกม้าตายตอนสุดท้าย
ในตอนนั้นเย่ซิวตู๋พอจะรู้เรื่องราวประมาณหนึ่งแล้วว่าตนตกอยู่ในอันตราย แม้อายุยังน้อยแต่กลับรู้วิธีโจมตีโดยไม่ให้ศัตรูตั้งตัว
เขาเพียงแค่พาทหารที่ยินดีสละชีวิตแสร้งทำเป็นออกเดินทาง จากนั้นก็เดินทางด้วยเส้นทางอื่นแล้วอ้อมจนถึงดินแดนเหมิง
ส่วนกลุ่มคนที่ฮ่องเต้ส่งมาคุ้มกันนั้นล้วนถูกสังหารด้วยความโหดเหี้ยมของเหมิงพั่ว
ฮ่องเต้ทรงกริ้วยิ่งนัก โชคดีที่ทางดินแดนเหมิงส่งข่าวมาบอกว่าเย่ซิวตู๋ไปถึงโดยปลอดภัยแล้ว จึงโล่งพระทัยขึ้น
ถึงกระนั้นก็ยังคงส่งคนไปตรวจสอบอย่างละเอียด ทว่าเหมิงพั่วไม่ปล่อยให้ใครมีชีวิตรอดแม้แต่คนเดียว เบาะแสทั้งหมดจึงถูกลบออกไป อยากจะสืบให้รู้ความนั้นยากเสียยิ่งกว่าการเหินทะยานขึ้นสวรรค์
จึงทำได้เพียงปล่อยเรื่องนี้ไปทั้งที่ยังไม่จบ ทว่าฮ่องเต้เองก็ตระหนักได้แล้วว่าเย่ซิวตู๋มีอันตรายรอบด้าน ส่วนความสนใจทั้งหมดของเหมิงกุ้ยเฟยก็ไปตกอยู่ที่องค์ชายเจ็ด ถึงแม้ตอนนั้นได้ยินข่าวว่าเย่ซิวตู๋ถูกสังหารจะเศร้าโศกอย่างมาก แต่หลังจากนั้นก็บอกว่าองค์ชายเจ็ดอาจจะมีคนจ้องทำร้ายเช่นกัน ยิ่งคุ้มกันเขาอย่างแน่นหนามากขึ้น ขณะที่เย่ซิวตู๋ไม่ได้รับความสนใจมากมายเพียงนี้
ฮ่องเต้เองก็ไม่เข้าใจว่าทำไมความสัมพันธ์ของเหมิงกุ้ยเฟยและเย่ซิวตู๋จึงเปลี่ยนเป็นเช่นนี้ได้ แต่ถึงอย่างไรนางก็เป็นหมู่เฟยของเย่ซิวตู๋ เขาจึงยังเชื่อว่านางยังรักใคร่เย่ซิวตู๋อยู่
ตอนนั้นเย่ซิวตู๋ไม่รู้เลยว่าคนที่มาลอบสังหารเขาระหว่างทางนั้นมาจากไหน จึงไม่ได้กล่าวอันใดต่อหน้าผู้อาวุโสสกุลหมิงมากนัก
ผู้อาวุโสสกุลหมิงรู้ว่าในวังหลวงอันตราย เขาเองก็อยู่ดินแดนเหมิงที่ห่างไกล ทำได้เพียงสอนทักษะการต่อสู้ทั้งหมดของตนให้เขาอย่างสุดความสามารถ เพื่ออย่างน้อยที่สุดเด็กน้อยจะได้มีความสามารถในการปกป้องตนเอง
หลังจากเสียโอกาสนั้นไป เหมิงกุ้ยเฟยก็รู้สึกเสียดายและโมโห แต่การจะลงมือในดินแดนเหมิงนั้นยิ่งไม่ง่าย
เย่ซิวตู๋กินนอนกับผู้อาวุโสสกุลหมิง เขามีปานรูปดอกไม้ สถานะในดินแดนเหมิงถือว่าสูงส่งมาก ชาวเหมิงล้วนต้องปกป้องเขา
ดังนั้นนางจึงทำได้เพียงหาโอกาสอื่นเพื่อลงมือ
เพียงแต่ว่าตอนที่เย่ซิวตู๋กลับมาอีกครั้ง เขาก็กลับกลายเป็นคนที่ใครๆ ก็ไม่สามารถรังแกได้อีกต่อไป
แม้ทักษะของเขายังต้องแข็งแกร่งกว่านี้ แต่วรยุทธ์ที่มีอยู่ก็ไม่ได้น้อยนิด ย่อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำร้ายหรือสังหารเขา
ในใจเหมิงกุ้ยเฟยทั้งเคียดแค้นและจนปัญญา นางรู้ดีว่านางพลาดโอกาสที่ดีที่สุดไปแล้ว
เย่ซิวตู๋เริ่มแสดงออกถึงพรสวรรค์อันโดดเด่นทีละน้อย ทำให้ฮ่องเต้ยิ่งโปรดปรานเขามากขึ้น เมื่อเทียบกันแล้ว องค์ชายเจ็ดที่ถือว่าเป็น ‘พี่น้องท้องเดียวกัน’ กลับด้อยกว่ามาก
เหมิงกุ้ยเฟยยิ่งเกลียดเขาเข้ากระดูกดำมากขึ้น ประกอบกับความเจ็บปวดจากการสูญเสียคนรัก นางจึงไม่แม้แต่จะรักษาสีหน้าใจดีเอาไว้เลย
เย่ซิวตู๋เองก็ค่อยๆ เกลียดชังชีวิตในวังมากขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นหมู่เฟยของตนยังปฏิบัติกับตนเช่นนี้ จึงเริ่มไม่ชอบและเข้าวังน้อยลง
ถึงขนาดที่ว่าหกปีก่อนเขาถูกเหมิงกุ้ยเฟยใส่ร้าย สุดท้ายก็ไปอยู่ที่วัดร้างและเกิดเรื่องกับอวี้ชิงลั่ว
หลังจากเรื่องนั้น นางก็ส่งคนมาตามหาอวี้ชิงลั่ว
เพียงแต่ตลอดมานั้นตามหาไม่พบ ส่วนเหมิงกุ้ยเฟยเองก็เริ่มปฏิบัติกับเขารุนแรงขึ้น
เขาจึงได้จากเมืองหลวงแล้วไปที่เจียงเฉิง
ตอนนี้… กลับมาอีกครั้ง เพียงแต่คิดไม่ถึงว่าความเป็นจริง… จะค่อยๆ ปรากฏต่อหน้าเขาทีละอย่างๆ ทำให้ในที่สุดเขาก็เข้าใจว่าสาเหตุที่เหมิงกุ้ยเฟยเกลียดเขาเพียงนี้นั้นมาจากไหน
เย่ซิวตู๋จ้องมองเหมิงกุ้ยเฟยที่กำลังบ้าคลั่งตรงหน้าตน ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ผ่านไปครู่ใหญ่ก็เอ่ยปากเบาๆ “บางทีท่านอาจจะพูดถูก มีคนมากมายที่ติดค้างท่านอยู่มาก”
อวี้ชิงลั่วตะลึง หันหน้าขวับอย่างประหลาดใจ มือที่จับเขากระชับแน่นขึ้น นางกลัวจริงๆ ว่าตอนนี้เย่ซิวตู๋จะใจอ่อนแล้วปล่อยนางไปเช่นนี้
เย่ซิวตู๋กลับไม่ได้มองนาง เพียงแต่บีบมือของนางอย่างช้าๆ แล้วกล่าวต่อ “แต่ไม่ว่าใครจะติดค้างท่าน เสด็จพ่อก็ไม่เคยทำเรื่องเลวร้ายกับท่าน ท่านส่งคนไปสังหารเขา ล้วนเป็นความตั้งใจที่เห็นแก่ตัวของท่าน เพื่อเติมเต็มความทะเยอทะยานของท่านเอง เหตุใดต้องเอาความผิดทั้งหมดผลักไสไปให้คนอื่นเล่า?”
เสียงหัวเราะของเหมิงกุ้ยเฟยชะงักลง ทันใดนั้นก็หันหน้ากลับมาจ้องมองเย่ซิวตู๋ ผ่านไปครู่ใหญ่ก็หัวเราะเสียงเย็น “เขาไม่ผิดหรือ? เขาไม่ได้ติดค้างข้าหรือ? ฮ่าๆๆๆๆ หากไม่ใช่เพราะเขาอยากจะแต่งงานกับหญิงชาวเหมิง หากไม่ใช่เพราะเขาให้เหมิงหลิงหลงให้กำเนิดบุตร เรื่องทั้งหมดนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น เหมิงหลิงหลงก็จะไม่กลายเป็นนางสนมของเขา เจ้าเองก็คงไม่ได้กลายเป็นบุตรชายของเขา ข้าเองก็คงไม่ถูกเหมิงหลิงหลงและผู้อาวุโสสกุลหมิงบีบบังคับให้มาเป็นเหมิงกุ้ยเฟย เหมิงซินคงไม่ถูกผู้อาวุโสสกุลหมิงและประมุขแห่งดินแดนเหมิงตอนจนกลายเป็นขันทีไม่ใช่หรือ? ดังนั้นทั้งหมดจึงเป็นความผิดของเขา เขาสมควรตายแล้ว”
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว เห็นได้ชัดว่านี่เป็นการเถียงข้างๆ คูๆ
หากว่าตามตรรกะผิดเพี้ยนของนาง หมายความว่าท่านยายของเย่ซิวตู๋ก็ไม่ควรให้กำเนิดเหมิงกุ้ยเฟยน่ะสิ ไม่อย่างนั้นก็คงไม่ก่อให้เกิดโศกนาฏกรรมหลังจากนั้นของนาง?
“เฮ้อ…” ทันใดนั้น ทางด้านซ้ายมือก็ปรากฏเสียงถอนหายใจเบาๆ ดังขึ้น
อวี้ชิงลั่วชะงัก หันหน้ากลับไปมองก็เห็นเหมิงจื่อเชียนก้าวมาข้างหน้า จ้องมองเหมิงกุ้ยเฟยเขม็ง กล่าวเสียงต่ำ “ที่เหมิงซินกลายเป็นขันที ไม่ใช่ฝีมือของท่านปู่กับอดีตท่านประมุข”
“เจ้าว่าอย่างไรนะ?” เหมิงกุ้ยเฟยหันหน้ามาในทันที “เจ้าหมายความว่าอย่างไร เฮอะ ตอนนี้เจ้าก็ยังคิดจะแก้ตัวแทนพวกเขาอีกหรือ หากไม่ใช่พวกเขาแล้วจะเป็นใคร? ยังมีใครอีกที่คิดจะทำลายทางออกของข้า และต้องปฏิบัติกับเหมิงซินอย่างโหดร้ายเพียงนั้น นอกจากผู้อาวุโสสกุลหมิงและอดีตประมุขแล้ว ก็ย่อมไม่มีใครรู้เลยว่าข้ามาแทนที่เหมิงหลิงหลง ไม่มีใครรู้ว่าเหมิงซินเป็นจุดอ่อนของข้า”
ดูราวกับว่าอวี้ชิงลั่วคิดอะไรออก ทันใดนั้นนางก็ตกตะลึง หันหน้าไปสบตากับเย่ซิวตู๋ในทันที
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ใครกันนะที่เป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังตัวจริง ทำให้เหมิงกุ้ยเฟยต้องตกอยู่ในสภาพ
แบบนี้
ไหหม่า(海馬)