อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 1014 ข้ายังไม่วางใจ
ตอนที่ 1014 ข้ายังไม่วางใจ
ตอนที่ 1014 ข้ายังไม่วางใจ
อวี้ชิงลั่วมองท่าทางบ้าคลั่งของนางแล้วก็ตกใจ
เย่ซิวตู๋รีบโอบนางถอยมาสองก้าว ท่าทางเช่นนี้ของเหมิงกุ้ยเฟยทำให้เขาเป็นกังวลอย่างมากว่าจู่ๆ นางจะคลั่งขึ้นมาแล้วทำร้ายชิงเอ๋อร์
เหมิงจื่อเชียนถอนหายใจ ค่อยๆ ย่อตัวลง “ท่านป้า ท่านปู่รู้สึกผิดกับท่านมาโดยตลอด ถึงแม้เขาจะมีเรื่องที่ทำผิดต่อท่าน แต่อย่างไรท่านก็เป็นบุตรสาวของเขา เขายังหวังว่าท่านจะใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข เพียงแต่หลายปีมานี้ ท่านปู่เห็นท่านคลอดองค์ชายเจ็ดให้ฝ่าบาท จึงเข้าใจว่าท่านมีความตั้งใจอยากจะเป็นกุ้ยเฟยแห่งอาณาจักรเฟิงชาง จึงไม่ได้ไปรบกวนอันใดมากนัก เขาไม่รู้เลยว่าเหมิงซินจะถูกคนทำร้ายเช่นนี้”
“ฮ่าๆๆๆ…” เหมิงกุ้ยเฟยยังคงหัวเราะอยู่ ราวกับว่าไม่ได้ฟังคำพูดของเขาเลยแม้แต่น้อย น้ำเสียงดูเศร้าโศก แววตาดูอ่อนแอ
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะของนางก็หยุดลง แววตาดุร้ายจ้องมองไปยังเหมิงจื่อเชียนในทันใด
มือทั้งสองกลายเป็นกรงเล็บ แล้วตรงเข้าไปตะปบเหมิงจื่อเชียนในทันที
เหมิงจื่อเชียนไม่ทันได้ตั้งตัวก็ย่อตัวลงอีกครั้ง แต่ยังไม่ทันได้ตอบสนองก็ถูกนางเหวี่ยงลงกับพื้น ใบหน้ามีรอยเลือดเพิ่มขึ้นมาสองแห่งในทันใด
ต่อจากนั้นเหมิงกุ้ยเฟยก็วางมือลงบนคอของเขา ดวงตาของนางแดงก่ำ น้ำเสียงบาดแหลมดังตามขึ้นมา “ทั้งหมดก็เพราะพวกเจ้า คนสารเลวอย่างพวกเจ้า เป็นพวกเจ้าที่ทำร้ายข้าจนมาถึงจุดนี้ ข้าจะฆ่าเจ้า ปู่เจ้าก็ดี พ่อเจ้าก็ดี ทั้งสองคนล้วนเป็นคนสารเลว ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะทำให้พวกมันไม่มีลูกหลานอีกต่อไป”
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้ว จับมือของเหมิงกุ้ยเฟยเอาไว้แล้วดึงนางขึ้นมา จากนั้นก็ผลักออกไปทางด้านข้าง
เหมิงจื่อเชียนไอโขลกสองครั้ง มองแววตาราวกับจะกินคนของเหมิงกุ้ยเฟย ในใจก็สั่นไหวอย่างอธิบายไม่ถูก นางโกรธแค้นท่านปู่และท่านพ่อมากจริงๆ เดิมทีคิดว่าเมื่อบอกความจริงไปแล้วจะทำให้นางเกลียดท่านปู่น้อยลงบ้าง
คิดไม่ถึงว่านางกลับเกลียดคนทั้งจวนผู้อาวุโสสกุลหมิง
“ปล่อย ปล่อยข้า เจ้าเองก็ไม่ใช่คน เจ้ามันก็สัตว์เดรัจฉาน ข้าจะฆ่าพวกเจ้า จะฆ่าพวกเจ้าเสีย” เหมิงกุ้ยเฟยถูกดึงไปด้านข้างแล้วก็จะพุ่งตัวเข้าใส่เย่ซิวตู๋อีก
เย่ซิวตู๋สีหน้าเคร่งขรึม กำลังคิดจะทุบให้นางสลบไป
คิดไม่ถึงว่าจู่ๆ เหมิงกุ้ยเฟยยังไม่ทันได้พุ่งเข้ามา รูม่านตาก็หดลงแล้วเป็นลมล้มพับไป
อวี้ชิงลั่วรีบเดินไปข้างหน้าสองก้าว ดูดวงตาสองข้างของนางแล้วกล่าว “มีอารมณ์พลุ่งพล่านเกินไป ไม่สามารถคลายความอัดอั้นในใจได้ จึงได้เป็นลมไปเท่านั้น ไม่ใช่ปัญหาใหญ่อันใด”
เย่ซิวตู๋ได้ยินก็ถอยเท้ามาก้าวหนึ่ง จากนั้นอวี้ชิงลั่วก็มองไปยังเหมิงจื่อเชียน
รอยเลือดสองรอยบนใบหน้าของเขาชัดเจนเป็นพิเศษ ดูท่าเหมิงกุ้ยเฟยจะโกรธเกรี้ยวมากเสียจนอยากจะฆ่าเขา
“เจ้านี่ก็เหลือเกิน นางดูจวนจะบ้าคลั่งอยู่แล้ว เจ้าก็ยังจะเข้าไปใกล้เพียงนั้น”
เหมิงจื่อเชียนยิ้มขื่น “ที่นางต้องตกอยู่ในสภาพนี้ อย่างไรก็เป็นฝีมือของท่านพ่อข้า เดิมทีก็เป็นเพราะพวกเราทำผิดต่อนางขอรับ”
อวี้ชิงลั่วอยากจะตรงเข้าไปตบเขาสักทีจริงๆ “พวกเจ้าผิดต่อนางหรือ? แล้วที่นางทำกับพวกข้าน่ะถูกแล้วหรือ? เจ้าเองก็ไม่ดูเสียบ้างว่านางทำอะไรเอาไว้ นางทำอะไรกับเย่ซิวตู๋เอาไว้ และทำสิ่งใดกับตำหนักอ๋องซิว ข้าขอเตือนเจ้าเลยนะเหมิงจื่อเชียน เจ้าจะไปสงสารนางไม่ได้ หากเจ้ากล้าทำให้แผนของพวกข้าต้องพังลงเพียงเพราะความเห็นอกเห็นใจ ข้าจะขยี้เจ้าให้ตาย”
เหมิงจื่อเชียนผงะ กะพริบตาปริบๆ
สีหน้าของอวี้ชิงลั่วเย็นชา ทั้งยังเตะขาท่อนล่างของเขาครั้งหนึ่งอย่างไม่เกรงใจ “เหมิงจื่อเชียน เจ้าต้องเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ให้ชัดแจ้ง องค์ชายเจ็ดกำลังรวบรวมกำลังคนจำนวนมากเพื่อมาจัดการกับพวกเรา สถานการณ์ตอนนี้ไม่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งก็ต้องตาย เจ้าน่าจะรู้ว่าเหมิงกุ้ยเฟยสำคัญเพียงใด น้ำผึ้งหยดเดียวก็สะเทือนไปหมดได้ หากเป็นเพราะเจ้าทำให้พวกข้า ทั้งตำหนักอ๋องซิวต้องตาย ต่อให้ข้าตายเป็นผีก็จะไม่ปล่อยเจ้าไป”
เหมิงจื่อเชียนได้ยินก็ตัวแข็งทื่อไปหมด สีหน้าจริงจังขึ้นมากอย่างมาก “ท่านวางใจเถิด ข้ารอบคอบอยู่แล้ว”
“ข้าก็ยังไม่วางใจจริงๆ” อวี้ชิงลั่วกล่าวตามตรงอย่างไม่เกรงใจ
ชีวิตของเหมิงกุ้ยเฟยนั้นน่าเศร้า แต่ก็ไม่ใช่ฝีมือของนาง เย่ซิวตู๋ก็ยิ่งบริสุทธิ์ แล้วทำไมพวกเขาจะต้องมาชดใช้ให้นางด้วย?
ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้เหมิงกุ้ยเฟยก็มีความทะเยอทะยานมาก ดูอย่างคำพูดของนางเมื่อครู่สิ อะไรคือการบอกว่าทุกอย่างเป็นความผิดของฝ่าบาทกัน? เช่นนั้นก็เห็นแล้วว่านางหาข้อแก้ตัวให้กับความทะเยอทะยานของตนก็เท่านั้น
อวี้ชิงลั่วครุ่นคิดพลางหันหน้าไปมองเย่ซิวตู๋
เมื่อเห็นว่ามุมปากของเขาเม้มแน่น ทั้งยังไม่ได้มีอารมณ์ผันผวนเพราะเรื่องไม่คาดคิดในวันนี้ ในใจก็ลอบถอนหายใจโล่งอก
ยังดีที่เหมิงกุ้ยเฟยได้ข้ามเส้นตายของเย่ซิวตู๋ไปแล้ว ไม่ว่าคนผู้นั้นจะเป็นใคร ไม่ว่านางจะมีความทุกข์อันใด การไปลอบสังหารฝ่าบาท เย่ซิวตู๋จะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ เป็นแน่
อวี้ชิงลั่วหันหน้ามาจ้องมองเหมิงจื่อเชียนอย่างดุร้าย อีกฝ่ายหัวเราะแห้งๆ “เอาเถิด ท่านอย่าจ้องมองข้าแบบนั้นเลย ข้าจะไม่ทำให้เรื่องเลวร้ายเป็นแน่ ถ้าหากท่านไม่วางใจจริงๆ เช่นนั้นท่านก็ให้คนมาจับตาดูข้าเป็นใช้ได้แล้ว”
“อืม คงทำได้เพียงเท่านั้นแล้ว” อวี้ชิงลั่วพยักหน้า แสดงออกว่าเห็นด้วย
“…” เหมิงจื่อเชียนจ้องอย่างตะลึง เขาเพียงบอกไปอย่างนั้น เหตุใดนางจึงตอบรับเสียได้เล่า?
เหมิงจื่อเชียนมุมปากกระตุก รีบเปลี่ยนประเด็น “ใบหน้าของข้าบาดเจ็บแล้ว พี่สะใภ้ ท่านมียาให้ข้าบ้างหรือไม่?”
“ไปเถิด เจ้าไปหาเอาจากหนานหนานเสีย” กล่าวจบ อวี้ชิงลั่วก็ดึงมือเย่ซิวตู๋โดยไม่สนใจเหมิงกุ้ยเฟยที่นอนอยู่กับพื้น ออกจากห้องเล็กนี้ไปทันที
เหมิงจื่อเชียนกลับหันหน้าไปมอง กำลังคิดว่าควรอุ้มนางไปนอนบนเตียงหรือไม่
แต่คิดได้ว่าเมื่อครู่อวี้ชิงลั่วมองขู่เช่นนั้นก็กัดฟัน หันหน้าเดินออกจากห้องเล็กตามไป
เพียงออกจากประตูมา อวี้ชิงลั่วก็เห็นซวนหย่ายืนอยู่ตรงประตูเรือนไกลๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ห้องเล็กเลย
นางกลอกตาในทันใด ตะโกนออกไป “ซวนหย่า”
ซวนหย่ายังคงหันหลังให้พวกเขา เมื่อครู่นางได้ยินสิ่งที่ไม่ควรได้ยิน ยากนักกว่าจะซ่อนตัวอยู่ไกลเล็กน้อย ก็ได้ยินเสียงหัวเราะกรีดหัวใจของเหมิงกุ้ยเฟย กระตุ้นให้นางอยากไปหาถ้ำเพื่อหลบซ่อนเสียจริงๆ
เมื่อได้ยินอวี้ชิงลั่วเรียกนาง ก็หันกลับมาอย่างงุ่มง่าม แสร้งถามราวกับว่าตนไม่รู้เรื่องอันใดทั้งนั้น “พวกเจ้าคุยเสร็จแล้วหรือ คือว่า ข้าไปหาท่านตาถูมา ข้ายืนอยู่ตรงนี้มาตั้งนาน เมื่อยขามากทีเดียว ขอตัวก่อนล่ะ”
“รอเดี๋ยว”
ซวนหย่าตัวแข็งทื่อ จบแล้วๆ อวี้ชิงลั่วมุ่งร้ายกับนางเสียแล้ว ช่างไร้เหตุผลเสียจริง นางเองก็แค่ทำตัวอ่อนแอคุยกับท่านอ๋องซิวไม่กี่ประโยคเอง หญิงผู้นี้เหตุใดจึงจิตใจโหดร้ายนัก ช่างเป็นคนขี้หึงเสียจริง ขี้หึงๆ
“ซวนหย่า ช่วยอะไรข้าหน่อยสิ” อวี้ชิงลั่วเดินมาถึงข้างกายนางแล้ว
ราวกับว่าเย่ซิวตู๋ไม่อยากจะเห็นหน้าซวนหย่าอย่างมาก ไม่มองนางแม้แต่แวบเดียว เพียงแต่ยืนอยู่ด้านข้างรออวี้ชิงลั่ว
“เจ้าช่วยข้าจับตาดูเหมิงจื่อเชียนที ต่อไปห้ามเขาเข้าใกล้ห้องเล็กอีก ห้ามเขาแตะต้องเหมิงกุ้ยเฟย”
ทันทีที่กล่าวจบ ไม่เพียงแต่ซวนหย่าที่เบิกตากว้าง แม้แต่เหมิงจื่อเชียนเองก็มีสีหน้าไม่อยากจะเชื่อเช่นกัน “พี่สะใภ้ ท่านเอาจริงหรือ?”
“เจ้าว่าอย่างไรเล่า?” อวี้ชิงลั่วมองเขาเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
เมื่อกำลังคิดจะกล่าวอันใด หางตาก็เห็นว่าด้านหน้ามีเงาหนึ่งวิ่งมาทางตนอย่างเร่งรีบ
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
จะว่าไปชีวิตของเหมิงกุ้ยเฟยก็น่าสงสารน่าเห็นใจนะ แต่สิ่งเลวร้ายที่ทำลงไปกับคนอื่นๆ มันก็ไม่ควรค่าให้สงสารอะ ปาหินใส่เขาแล้วยังหวังให้เขาโยนดอกไม้กลับมาให้มันก็ไม่ใช่เด้อ
ไหหม่า(海馬)