อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 1018 แพ้ราบคาบ
ตอนที่ 1018 แพ้ราบคาบ
ตอนที่ 1018 แพ้ราบคาบ
น้ำเสียงของโม่เสียนยังคงเบามาก แต่กลับฉายแววโล่งใจอยู่เสี้ยวหนึ่ง “องค์ชายสี่แพ้ราบคาบขอรับ”
“…” อะไรนะ? อวี้ชิงลั่วตะลึงไป
ต่อจากนั้น รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปาก ในใจมีความสุขขึ้นมาอย่างมาก
“ไปกัน พวกเราเองก็ไปช่วยที่ประตูเมืองกันเถิด” อวี้ชิงลั่วมีชีวิตชีวาขึ้นมา เมื่อคิดไปว่าองค์ชายสี่ต้องเสียหายอย่างหนัก ในใจก็มีความสุขอย่างมากจริงๆ
โม่เสียนชะงัก รีบขวางนางเอาไว้ “แม่นางอวี้ ท่านหมอเจียงแล้วก็หมอหลวงจากไท่อีเยวี่ยนรีบไปแล้วขอรับ ท่านอ๋องบอกว่าตอนนี้กำลังคนเพียงพอแล้ว ทหารที่บาดเจ็บเหล่านั้นมีพวกหมอเจียงคอยดูแล เพียงพอแล้วขอรับ”
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว
โม่เสียนกล่าวต่อ “ท่านอ๋องยังกล่าวอีกว่า ตอนนี้ที่ตำหนักอ๋องซิวไม่มีใครคอยคุม จึงขอให้แม่นางอวี้อยู่ที่นี่จะดีกว่า ถึงอย่างไร… ตำหนักท่านอ๋องของพวกเราก็ยังจำเป็นต้องมีแม่นางอวี้คอยดูขอรับ”
เขาหมายถึงเหมิงกุ้ยเฟย
แต่จริงๆ แล้วความตั้งใจของท่านอ๋องก็คือไม่อยากให้แม่นางอวี้ไปเห็นความโหดร้ายของสนามรบ
ในใจของท่านอ๋องยังคงหวังว่าแม่นางอวี้จะอยู่ห่างจากภาพฉากอันสยดสยองเช่นนี้ ถึงแม้แม่นางอวี้จะเป็นหมอ คงเห็นความเป็นความตายจนชินตาแล้ว เพียงแต่อย่างไรสนามรบก็คือสนามรบ ต้องมองดูคนตายไปต่อหน้าทีละคนๆ สำหรับแม่นางอวี้แล้วคงไม่ดีนัก
อวี้ชิงลั่วครุ่นคิดแล้วก็เห็นด้วย เพราะที่นี่ยังมีเหมิงกุ้ยเฟยวิปลาสอยู่อีกคน
นางเองก็เป็นกังวลเรื่องเผิงอิงเมื่อครั้งก่อนอย่างมาก ครั้งก่อนก็เพราะนางและเย่ซิวตู๋ไม่อยู่ เผิงอิงจึงสามารถใช้โอกาสนี้พาหนานหนานออกไปได้ไม่ใช่หรือ?
หากไม่ใช่เพราะเย่ฮ่าวหรานและจินหลิวหลีรีบกลับมาทันเวลา ก็ไม่แน่ว่าคงจะเกิดเรื่องขึ้นแล้ว
เมื่อคิดถึงตรงนี้ นางก็ไม่มีความคิดจะไปที่ประตูเมืองแล้ว ถึงแม้นางอยากจะไปช่วย แต่ที่ตำหนักในตอนนี้ก็ขาดคนไม่ได้
ตอนนี้เสิ่นอิงได้รับบาดเจ็บ เหมิงกุ้ยเฟยก็ถูกขังเอาไว้ในตำหนักอ๋องซิว องค์ชายเจ็ดให้ความสำคัญกับเหมิงกุ้ยเฟยเพียงนั้น ไม่แน่อาจจะส่งคนมาช่วยก็เป็นได้
เพียงแต่นางคิดว่าค่อนข้างพิกลนัก เหมิงกุ้ยเฟยถูกจับมาได้สองวันแล้ว แต่ตำหนักอ๋องซิวกลับดูเหมือนจะสงบอย่างมาก
องค์ชายเจ็ดไม่มีความคิดต้องการช่วยคนออกไปหรือ? นางยังนึกว่าคงจะมีคนไม่น้อยบุกมาที่ตำหนักอ๋องซิวเสียอีก นี่มันแปลกเกินไปหน่อยแล้ว
อวี้ชิงลั่วส่ายหัว จากนั้นก็ไปยังห้องเล็กที่สวนหลังเรือน
ตรงหน้าท่านตาถูยังคงมีกระดานหมากรุกอยู่กระดานหนึ่ง แต่สิ่งที่แตกต่างออกไปก็คือ ข้างกายของเขายังมีหนานหนานและเย่หลานเฉิงอยู่ด้วย
เย่หลานเฉิงนั่งอยู่ตรงข้ามท่านตาถู ในมือถือเบี้ยอยู่ ท่าทางขมวดคิ้วครุ่นคิดหนัก
หนานหนานกระโดดขึ้นลง แนะนำเขาไม่หยุด
“ไม่ได้ๆ เสี่ยวเฉิงเฉิง ต้องเดินไปตรงนี้”
ท่านตาถูที่อยู่ตรงข้ามเต็มไปด้วยรอยยิ้ม มองเด็กสองคนตรงหน้าพึมพำ ภูมิใจอย่างมาก
เย่หลานเฉิงกลับส่ายหน้า “ไม่ได้ หากเดินไปตรงนี้ ต่อไปเขาก็จะขวางข้าไว้ได้”
หนานหนานอึ้งงัน ขมวดคิ้วสีหน้าไม่สู้ดี “อย่างนั้นหรือ เช่นนั้นตรงนี้ล่ะ เจ้าดูสิ ตรงนี้ว่างมาก ถ้าเจ้าเดินไปเขาก็ขวางเจ้าไม่ได้แล้ว”
“เอ่อ… หนานหนาน เดินไปตรงนี้ ก็เหมือนข้าส่งตัวเองไปตายน่ะสิ” เย่หลานเฉิงกล่าวอย่างไร้เรี่ยวแรง
มุมปากของอวี้ชิงลั่วกระตุกครั้งหนึ่ง เดินไปข้างกายหนานหนานแล้วดึงเขามาข้างๆ “เจ้าไม่รู้อะไรเกี่ยวกับสิ่งนี้เลยสักนิดก็อย่าไปออกความเห็นส่งเดชจนส่งผลกระทบกับหลานเฉิง ไม่รู้จักคำว่าสุภาพบุรุษนั่งดูหมากรุกไม่เอ่ยวาจาหรือ?”
“ท่านแม่ ข้ายังรู้จักคำว่า ‘พี่น้องร่วมใจก็ตัดได้แม้แต่ทอง’ ด้วยนะ ข้ากำลังร่วมมือกับเสี่ยวเฉิงเฉิงรับมือกับท่านตาถู ไม่อย่างนั้นท่านดูสิ ท่านตาถูโตเพียงนี้แล้ว หากเสี่ยวเฉิงเฉิงเล่นหมากรุกกับเขาตัวคนเดียว จะถูกคนหาว่าท่านตาถูเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กเอาได้ไม่ใช่หรือ?”
ท่านตาถูได้ยินก็อดไม่ได้ที่จะคิ้วกระตุกสองครั้ง ต่อให้พวกเขาสองคนร่วมมือกัน ก็ดูเหมือน…เขาเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กอยู่ดี
ทำไมเขารู้สึกว่าคำพูดของหนานหนานมีนัยยะบางอย่างแอบแฝงนะ?
เย่หลานเฉิงลุกขึ้นอย่างเชื่อฟัง “ท่านน้าชิง”
“เหตุใดพวกเจ้าจึงมาอยู่ที่นี่ได้เล่า?”
“หา? เดิมทีพวกข้าก็คิดจะไปพูดคุยเป็นเพื่อนน้าเป่าเอ๋อร์ แต่ว่าน้าเป่าเอ๋อร์บาดเจ็บยังไม่หายจึงกำลังนอนหลับ ดังนั้นพวกข้าจึงกลับมา เมื่อผ่านมาตรงนี้ก็เห็นท่านตาถูอยู่คนเดียวดูท่าทางเบื่อหน่ายอย่างมาก จึงทำตัวเป็นเด็กดีมากมาเล่นหมากรุกเป็นเพื่อนเขาขอรับ” หนานหนานตอบทันใด
เย่หลานเฉิงพยักหน้าอยู่ข้างๆ พวกเขาล้วนเป็นห่วงอวี้เป่าเอ๋อร์ แต่ดูจากที่เขากลับมาอย่างปลอดภัยก็วางใจแล้ว
ขณะพูดคุยกัน ก็มีคนสองคนเดินมาจากไกลๆ
น้ำเสียงฟังดูแล้วเหมือนจะมีการทะเลาะกัน หนานหนานยืดคอมองดูแล้วกล่าวอย่างแปลกใจ “เหตุใดท่านน้าหย่ากับท่านอาจื่อเชียนจึงอยู่ด้วยกันเล่าขอรับ”
ทันทีที่เขากล่าวจบ เหมิงจื่อเชียนก็เงยหน้าขึ้นมาแล้ว
เมื่อเห็นอวี้ชิงลั่วที่อยู่ด้านหน้าก็รู้สึกร้อนตัวเล็กน้อย รีบหมุนตัวจากไป
ซวนหย่าที่เดินอยู่ข้างๆ เขาแค่นหัวเราะออกมา จากนั้นก็ดึงเขากลับมา “เจ้าจะไปไหน? ทำไมหรือ? ทีตอนอยู่กับข้ายังตั้งอกตั้งใจบอกว่าจะมาดูทางด้านนี้หน่อย เพียงเห็นอวี้ชิงลั่วก็รีบหนีเสียแล้ว ไหนว่าเจ้าไม่กลัวไม่ใช่หรือ? วิ่งหนีทำไมเล่า?”
เหมิงจื่อเชียนถูกนางจิกกัดก็โกรธหน้าดำหน้าแดง จ้องมองนางอย่างดุร้าย จากนั้นก็เดินจากไปด้วยความอาย
อวี้ชิงลั่วหรี่ตา เดินไปข้างหน้าจ้องมองเหมิงจื่อเชียนอย่างพินิจพิจารณา ถามด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ว่าอย่างไร สิ่งที่ข้าพูดไปเมื่อวานเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาแล้วหรือ?”
“เปล่านะพี่สะใภ้ ท่านอย่าเข้าใจผิดสิ ข้าเพียงแต่แวะมาดูเท่านั้น ได้ยินว่านางไม่ได้กินข้าวเลย คิดว่าโน้มน้าวเสียหน่อยคงจะดี” เหมิงจื่อเชียนเหงื่อเย็นเยียบไหลออกมา เขาไม่ได้มีความคิดอื่นเลยจริงๆ เพียงแต่อยากชดเชยแทนท่านพ่อและท่านปู่ก็เท่านั้น
เขารู้ดีว่าตอนนี้เหมิงกุ้ยเฟยมีความสำคัญมาก และเขาก็แยกแยะออก
เพียงแต่ว่าแค่มองเห็นอวี้ชิงลั่ว ก็รู้สึกร้อนตัวอย่างบอกไม่ถูก
ซวนหย่าที่อยู่ข้างๆ หัวเราะเยาะออกมาสองครั้ง “อวี้ชิงลั่ว เจ้าวางใจเถิด ข้าคอยดูเขาอยู่ ไม่ปล่อยให้เขาเข้าใกล้ใครเป็นแน่”
เหมิงจื่อเชียนกัดฟัน ถลึงตามองซวนหย่าแวบหนึ่ง “ข้าก็บอกแล้ว ข้ารู้ความกังวลเป็นอย่างดี เพียงแต่ท่านป้าไม่กินข้าว จะตัดหางปล่อยวัดไปเลยก็ไม่ได้สิ ถ้าหากนางหิวจนตาย การจับคนมาเช่นนี้ก็ไร้ประโยชน์ไม่ใช่หรือ?”
อวี้ชิงลั่วเองก็หัวเราะเยาะออกมา “นางไม่กินข้าว เจ้าคิดว่าเจ้าจะกล่อมนางได้หรือ? ข้าจะบอกให้นะ ตอนนี้คนที่นางเกลียดที่สุด นอกจากเย่ซิวตู๋แล้วก็เป็นเจ้า เจ้าคิดว่านางจะฟังคำเจ้าหรือ?”
“ข้า…” เหมิงจื่อเชียนเม้มปาก ไม่กล่าวอะไรแล้ว
หนานหนานและเย่หลานเฉิงมองอย่างงุนงง พวกเขาไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่
แม้ว่าเหมิงกุ้ยเฟยจะโวยวายอยู่นานมาก แต่วันนี้กลับเงียบสงบอย่างมาก นอกจากตอนเช้าที่เขวี้ยงอาหารออกมาข้างนอกแล้ว ก็ไม่ได้มีการเอะอะโวยวายอันใด
ดังนั้นตอนที่พวกหนานหนานมาถึงจึงไม่ได้ยินเสียงของนางเลย
อีกทั้งคนในตำหนักนี้ที่รู้ว่าเหมิงกุ้ยเฟยถูกจับกลับมาก็มีเพียงไม่กี่คน ที่เรือนนี้ล้วนมีท่านตาถูและคนอื่นๆ ผลัดเวรกันมาเฝ้าดู ทั้งยังไม่มีคนรับใช้เข้าใกล้เลย
ซวนหย่าเห็นว่าเหมิงจื่อเชียนไม่กล่าวอันใดแล้วก็พึงพอใจขึ้นมา หลังจากมองเขาอย่างยั่วยุแวบหนึ่งแล้วก็ดึงอวี้ชิงลั่ววิ่งไปด้านข้าง จากนั้นก็เอ่ยพึมพำออกมา
“ชิงลั่ว ข้าว่าเหมิงกุ้ยเฟยผู้นี้ รีบจัดการนางให้เร็วเสียจะดีกว่า จะเก็บไว้ที่นี่คงไม่ใช่เรื่องดี อย่าว่าแต่จะเรียกให้คนขององค์ชายเจ็ดมาสร้างเรื่องที่ตำหนักอ๋องซิวเลย หากอยู่ที่นี่คงจะมีแต่เรื่องใหญ่”
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้ว “เจ้ามีแผนอะไรอยู่?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ระวังเอาไว้ให้นะคะ อย่าได้ประมาท ดูท่าทางแล้วน่าจะต้องมีคนมาช่วยเหมิงกุ้ยเฟยเร็วๆ นี้แหละ ลางสังหรณ์ผู้แปลมันฟ้อง
ไหหม่า(海馬)