อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 1019 เย่หลานเฉิงหายตัวไป
ตอนที่ 1019 เย่หลานเฉิงหายตัวไป
ตอนที่ 1019 เย่หลานเฉิงหายตัวไป
“ฮิๆ” ซวนหย่าหัวเราะออกมาครั้งหนึ่ง “ข้าได้ยินว่าตอนนี้เริ่มสู้กันแล้วหรือ?”
“อืม”
ซวนหย่าถอนหายใจครั้งหนึ่ง “ข้าน่ะ เดิมทีก็ไม่คิดจะเข้าไปยุ่งกับเรื่องสกปรกเช่นนี้หรอก สงครามน่ะไม่ใช่เรื่องสนุก หากโดนลูกหลงขึ้นมา ข้าคงถูกเข้าใจว่าเป็นพวกเดียวกับเจ้า ไม่แน่ว่าอาจจะต้องตายอย่างทรมานอีกด้วย”
“สรุปแบบสั้นๆ ที” อวี้ชิงลั่วสุดจะทนแล้ว เหตุใดหญิงผู้นี้จึงพูดไร้สาระมากมายนัก?
ซวนหย่าส่งเสียง ‘เฮอะ’ ออกมา “ข้ารู้ ตอนนี้คนขององค์ชายเจ็ดล้อมเมืองหลวงเอาไว้หมดแล้ว ตอนนี้พวกเราถูกขังไว้และออกไปจากที่นี่ไม่ได้ ไม่ช้าก็เร็วก็จะถูกขังไว้จนตาย ถึงแม้จะถ่วงเวลาเพื่อรอกำลังเสริมมาช่วย แต่ใครจะรู้ว่าระหว่างนั้นพวกเขาจะบุกเข้ามาได้หรือไม่ พวกเราเองก็อยู่ในวิกฤติอย่างหนักไม่ใช่หรือ?”
อวี้ชิงลั่วหรี่ตา ยิ้มเยาะแล้วกล่าว “เหตุใดข้าฟังที่เจ้าพูดแล้ว เหมือนจะคิดว่าท่านอ๋องของข้าจะต้องแพ้แน่นอนเลยเล่า”
“เอ่อ… เปล่า เปล่านะ ข้าไม่ได้หมายความเช่นนั้นเลย” ซวนหย่าโบกมือ ถอยเท้าเล็กๆ ก้าวหนึ่งแล้วหัวเราะแห้งๆ “ข้าบอกว่าถ้าเผื่อไม่ใช่หรือ? ก็เพียงแต่มองในแง่ที่เลวร้ายที่สุด อย่างไรเราก็ควรพิจารณาทุกเรื่องในหลายๆ ด้าน ข้ารู้ว่าเจ้าเชื่อมั่นในท่านอ๋องของเจ้ามาก แต่ตอนนี้ในมือเรามีทรัพยากรที่ดีเพียงนี้ จะไม่ใช้ก็คงเสียเปล่ากระมัง”
“ทรัพยากรหรือ? เจ้าหมายถึงเหมิงกุ้ยเฟยหรือ?”
ซวนหย่าพยักหน้าอย่างแรงในทันใด “ได้ยินว่าองค์ชายเจ็ดให้ความสำคัญกับเหมิงกุ้ยเฟยอย่างมากใช่หรือไม่? เช่นนั้นเราก็สามารถมัดนางแล้วเอาตัวไปที่ประตูเมือง สั่งให้องค์ชายเจ็ดถอนกำลัง ไม่อย่างนั้นเราก็จะผลักเหมิงกุ้ยเฟยลงไป องค์ชายเจ็ดเป็นคนกตัญญูเพียงนั้น คงไม่ทำตัวอกตัญญูกระมัง เดี๋ยวคนจะดูถูกเอาได้ พอเขาถอยทัพ เราก็จะได้มีเวลารอกำลังเสริมเพิ่มขึ้น”
อวี้ชิงลั่วอยากจะหัวเราะยิ่งนัก “ซวนหย่า เจ้าเสียสติไปแล้วหรือ? เหมิงกุ้ยเฟยเองก็เป็นหมู่เฟยของเย่ซิวตู๋นะ เจ้าจะให้เขาลงมือกับหมู่เฟยของตัวเองหรือ?”
“ไอ้หยา เจ้าไม่ต้องพูดเรื่องนี้แล้ว เย่ซิวตู๋เป็นลูกแท้ๆ ของนางหรือไม่ ข้าไม่รู้ แต่เจ้าคงรู้กระมัง?” ซวนหย่าส่งสายตาราวกับจะบอกว่า ‘ในช่วงเวลานี้เจ้ายังคิดจะแสร้งทำเป็นโง่อีกหรือ ข้าช่างดูแคลนเจ้านัก’
อวี้ชิงลั่วอยากจะเฆี่ยนนางยิ่งนัก ตบไหล่ของนางอย่างแรงครั้งหนึ่งอย่างจริงจัง “ซวนหย่า สองวันมานี้เจ้าต้องไปซ่อมสมองบ้างแล้วกระมัง ใช่ จริงๆ แล้วเย่ซิวตู๋ไม่ใช่ลูกแท้ๆ ของเหมิงกุ้ยเฟย จะให้ลงมือก็ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แต่เรื่องนี้มีคนที่รู้น้อยมาก คนทั่วหล้าล้วนคิดว่าเหมิงกุ้ยเฟยเป็นหมู่เฟยของเย่ซิวตู๋ เจ้าจะให้เย่ซิวตู๋เอาชีวิตของเหมิงกุ้ยเฟยมาข่มขู่องค์ชายเจ็ดต่อหน้าทุกคนหรือ? เจ้าคิดว่าคนอื่นจะตัดสินเย่ซิวตู๋ว่าเป็นคนอย่างไร? แล้วจะตัดสินองค์ชายเจ็ดว่าเป็นคนอย่างไร?”
“…” ซวนหย่าสำลักไป ครู่หนึ่งก็พูดอะไรไม่ออก
นั่นสินะ นางเอาแต่คิดว่าอย่างไรเหมิงกุ้ยเฟยก็ไม่ใช่แม่แท้ๆ ของเย่ซิวตู๋ เช่นนั้นหากตายไปนางก็คงไม่คิดอันใดมาก แต่ลืมจุดพลิกผันนี้ไปเสียได้
หากเย่ซิวตู๋ทำตามที่นางกล่าวจริงๆ เช่นนั้นก็เกรงว่าทหารเหล่านั้นคงเย็นชาเย่ซิวตู๋ หากคิดว่าเขาเป็นคนไม่ภักดี ไม่ยุติธรรม ไม่มีมนุษยธรรม และอกตัญญูแล้วล่ะก็ เกรงว่าทุกคนคงจะต่อต้านเขาแทน
กลับกัน องค์ชายเจ็ดที่ยอมถอยทัพเพื่อช่วยเหมิงกุ้ยเฟย กลับเป็นคนที่ทุกคนต้องการตัวจริง
เฮ้อ ปัญหาก็คือความสัมพันธ์ของเหมิงกุ้ยเฟยและเย่ซิวตู๋นั้นไม่สามารถประกาศออกไปให้ใครรู้ได้ นี่เป็นเรื่องอื้อฉาวของราชวงศ์ เป็นเรื่องอื้อฉาวของดินแดนเหมิง หากแพร่งพรายออกไปก็จะยังคงเป็นปัญหากับเย่ซิวตู๋
ยุ่งยาก ยุ่งยากเกินไปแล้ว
ซวนหย่าอดไม่ไหวถามขึ้น “เช่นนั้นทำอย่างไรเล่า? นี่เหมิงกุ้ยเฟยถูกพวกเราจับตัวมา แต่ทำอะไรไม่ได้เลยหรือ? เจ้าคงไม่ได้จับนางมาเพียงเพื่อจะให้นางอดข้าวไม่กี่มื้อกระมัง?”
“การจับนาง ย่อมเป็นเป้าหมายของข้าอยู่แล้ว” อวี้ชิงลั่วหรี่ตา จากนั้นก็หัวเราะเสียงเย็น
ไม่กี่วันต่อมา สงครามก็ยิ่งปะทุรุนแรงยิ่งขึ้น
คนทางด้านของเย่ซิวตู๋ก็ดี คนทางด้านองค์ชายเจ็ดก็ดี ล้วนบุกเข้าไปโดยไม่ยอมถอย
โชคดีที่ในเมืองหลวงยังคงตั้งมั่นอยู่ได้ตลอดมา ยังไม่ได้ถูกข้าศึกบุกโจมตีเข้าประตูเมืองมาได้
อวี้ชิงลั่วเองก็สงสัยอยู่เล็กน้อย เห็นอยู่ว่าคนขององค์ชายเจ็ดมีมากมายเพียงนั้น เหตุใดจนถึงตอนนี้กลับไม่มีความคืบหน้าเลยสักนิด?
ส่วนทหารในมือของเย่ซิวตู๋… กลับดูเหมือนจะเพิ่มขึ้นทีละน้อยๆ อย่างแปลกประหลาด
และในช่วงเวลาหัวเลี้ยวหัวต่อนั่นเอง ฮ่องเต้ที่บอกว่าประชวรและไม่ได้ปรากฏตัวเป็นเวลานาน จู่ๆ ก็เริ่มปรากฏตัวในราชสำนัก และได้วิจารณ์ความทะเยอทะยานโฉดชั่วขององค์ชายสี่และองค์ชายเจ็ดในราชสำนัก พร้อมกับเกลียดแค้นชิงชังความโหดเหี้ยมของเหมิงกุ้ยเฟย
กล่าวว่าองค์ชายเจ็ดและองค์ชายสี่ก่อกบฎ สมรู้ร่วมคิดกับนายพลโหมวทำความผิดเกินให้อภัย ส่งเย่ซิวตู๋นำทัพไปปราบ ให้องค์ชายใหญ่และองค์ชายหกคอยให้ความช่วยเหลือ จับกุมทรราช หากพวกองค์ชายเจ็ดก่อกบฎก็ให้ฆ่าทิ้งเสีย กำจัดให้ตายคาที่
ชั่วขณะหนึ่ง เหล่าขุนนางที่เป็นกังวลเล็กน้อยเพราะฮ่องเต้ไม่ปรากฏตัวขณะเย่ซิวตู๋ยังสู้รบกับองค์ชายเจ็ดอยู่ก็เริ่มสงบใจได้ ในหมู่พวกเขานั้น เหล่าขุนนางที่องค์ชายสี่และองค์ชายเจ็ดส่งมาล้วนถูกเย่ซิวตู๋กำจัดทีละคนๆ ในช่วงที่ผ่านมานี้ ส่วนคนที่ยังเหลือก็เป็นคนของเย่ซิวตู๋ หรือไม่ก็เป็นคนที่เลือกจะเป็นกลาง ไปจนถึงคนที่ฮ่องเต้ไว้พระทัย
ตอนนี้ฮ่องเต้ตรัสออกมาเช่นนั้น พวกเขาก็ไม่มีทางเลือก ทำได้เพียงเชื่อใจเย่ซิวตู๋แล้ว
ส่วนประชาชนที่เดิมทียังตื่นตระหนก ถึงแม้หลายวันที่ผ่านมาจะยังคงหวาดกลัวอยู่ แต่ภายใต้การปลอบขวัญของเสนาบดีฝั่งขวาหลีจื่อฟานที่นำเหล่าข้าราชการ สุดท้ายก็สงบลงไม่น้อย
อย่างน้อยที่สุด ในเมืองหลวงตอนนี้ก็ไม่ได้วุ่นวาย และไม่ได้มีเรื่องพ่อค้านักฉวยโอกาสหรืออื่นๆ ที่ร้ายแรงเกิดขึ้น ทุกอย่างล้วนรอชมความสามารถของเย่ซิวตู๋
เย่ซิวตู๋นั้นทุกวันล้วนออกแต่เช้าแล้วกลับมาตอนดึก บางครั้งก็ถึงขนาดอยู่ข้างนอกตลอดโดยไม่กลับมาเลย
ตำหนักอ๋องซิวกลับสงบมาก สงบเสียจน… ทำให้อวี้ชิงลั่วเปลือกตากระตุก
อาการบาดเจ็บของอวี้เป่าเอ๋อร์และเสิ่นอิงค่อยๆ ดีขึ้น ถึงแม้หนานหนานและเย่หลานเฉิงจะรู้สึกได้ถึงบรรยากาศหนักอึ้ง แต่ก็จัดการความรู้สึกของตนได้อย่างดี ช่วงเวลาส่วนใหญ่ล้วนอยู่เป็นเพื่อนข้างกายเป่าเอ๋อร์ คอยพูดคุยกับเขา
เพียงแต่ตั้งแต่วันนั้นที่หนานหนานรู้สึกได้ถึงพฤติกรรมแปลกประหลาดของเหมิงจื่อเชียนและซวนหย่า ก็เริ่มสงสัยขึ้นมา ยิ่งสนใจในห้องเล็กๆ ที่สวนด้านหลังนั้นมากขึ้น
เขามีความรู้สึกว่าพอจะเดาออกเล็กน้อย
คิดว่าคนที่ถูกของอยู่ด้านในน่าจะเป็นเหมิงกุ้ยเฟย อย่างไรเขาก็รู้ว่าอวี้ชิงลั่วให้คนไปจับเหมิงกุ้ยเฟยมา เพียงแต่เขาคิดว่าคนที่สำคัญเพียงนั้น ไม่น่าจะอยู่ในตำหนักอ๋องซิวจึงจะถูก
จนกระทั่งเช้าวันนี้ เมื่อเดินผ่านสวนเล็กนั้นก็เห็นท่านตาถูนั่งเล่นหมากรุกอยู่ทางด้านนั้น จึงแกล้งเดินเข้าไปใกล้
ท่านตาถูเองก็ไม่สนใจเขา อวี้ชิงลั่วบอกเอาไว้ ไม่ว่าหนานหนานจะรู้ว่าเหมิงกุ้ยเฟยจะอยู่ที่นี่หรือไม่ก็ไม่เป็นไร อย่างไรด้วยนิสัยของเขา ไม่ช้าก็เร็วต้องรู้แน่
ดูท่าทางการคาดเดาของแม่นางอวี้จะไม่ผิด หนานหนานมาเพื่อยืนยันจริงๆ
ไม่นานนักก็มีเสียงก่นด่าของเหมิงกุ้ยเฟยดังมาจากด้านใน หนานหนานฟังออกอย่างชัดเจน
มุมปากอดไม่ได้ที่จะกระตุก ท่านแม่นำคนกลับมาที่ตำหนักอ๋องซิวจริงๆ น่ะหรือ?
เขาหันกลับไปมองท่านตาถูที่มองดูตนดูเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม ทันใดนั้นก็หัวเราะแห้งๆ ครั้งหนึ่งแล้วเงยหน้ามองฟ้า “ข้าไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เอาล่ะ ข้าไปหาเสี่ยวเฉิงเฉิงแล้วกินข้าวดีกว่า ลาก่อนขอรับท่านตาถู”
เพียงเขากล่าวจบ ก็วิ่งตรงไปยังเรือนของเย่หลานเฉิง
ทว่า…
ไม่มีคนหรือ หนานหนานมองเรือนที่ว่างเปล่าอย่างประหลาดใจ แปลกมาก เสี่ยวเฉิงเฉิงมักจะรออยู่ในห้องให้เขามากินข้าวด้วยแล้วไปเยี่ยมน้าเป่าเอ๋อร์ด้วยกันเสมอ เหตุใดวันนี้คนจึงหายไปเล่า?
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ใครลักพาตัวหลานเฉิงไปแล้วหรือเปล่า?
ไหหม่า(海馬)