อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 1039 เหตุการไม่คาดคิด
บทที่ 1039 เหตุการไม่คาดคิด
บทที่ 1039 เหตุการไม่คาดคิด
อวี้ชิงลั่วหันหน้าไปสบตากับเย่ซิวตู๋ ขมวดคิ้วแน่น
อวี้เฟิงถัง… เผิงอิงเองก็เป็นคนของอวี้เฟิงถัง นางรู้ดีว่าคนของอวี้เฟิงถังล้วนเป็นยอดฝีมือ
ก่อนหน้านี้เย่ซิวตู๋เองก็บอกกล่าวนางเกี่ยวกับเรื่องของอวี้เฟิงถังอย่างละเอียด พบว่ากฎของอวี้เฟิงถังไม่ได้ขึ้นอยู่กับจำนวนคน แต่เป็นกลยุทธ์อันหลักแหลม
พวกเขาทั้งหมดล้วนเป็นยอดฝีมือที่ต่อสู้แบบหนึ่งต่อร้อยได้ เมื่อครู่นางก็เห็นแล้วว่าพวกลู่หลานเฟิงสองสามคนประมือกับพวกเขา ถึงจะมีความได้เปรียบอยู่เล็กน้อย แต่ปัญหาก็คือตอนนี้พวกเขามีคนเพียงน้อยนิด
ส่วนเหมิงกุ้ยเฟยและเหมิงซินกลับมีชายชุดดำอยู่ไม่น้อย มีฐานกำลังมากกว่าพวกเขาถึงสองเท่า หากต่อสู้กันขึ้นมาคงตึงมือเกินจะต้านทานได้
ท่านปู่ฮวาและท่านยายฮ่วนมีอายุมากแล้ว มีกำลังไม่มากดังที่ต้องการ และความถนัดของพวกเขาก็ไม่ใช่การต่อสู้
อีกทั้งที่นี่พวกเขายังมีสวีโหรวและเย่หลานเฉิงให้ปกป้อง หากต่อสู้กันขึ้นมาก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้า
ดูท่า คงทำได้เพียงถ่วงเวลาแล้ว…
“เหมิงกุ้ยเฟยมีความสามารถมากจริงๆ คิดไม่ถึงเลยว่าหลังจากจัดการทุกอย่างมาหลายปี แม้แต่อวี้เฟิงถังก็ยังอยู่ข้างเดียวกับท่าน”
“อวี้เฟิงถังเป็นของพวกข้ามาตั้งแต่แรกแล้ว” เหมิงกุ้ยเฟยหัวเราะเย็น
อวี้ชิงลั่วหรี่ตา อวี้เฟิงถังเป็นของพวกเขา…
“ช่างพูดเกินจริงนัก” เย่ซิวตู๋ที่เงียบมาโดยตลอด จู่ๆ ก็ ยกริมฝีปากขึ้นอย่างเย้ยหยัน “อวี้เฟิงถังเป็นกองกำลังที่อาณาจักรเฟิงชางก่อตั้งขึ้น มันเปลี่ยนเป็นของดินแดนเหมิงตั้งแต่เมื่อใดกัน?”
เหมิงกุ้ยเฟยหรี่ตา สีหน้าฉายแววไม่พอใจ
และไม่รู้ว่าคำพูดเมื่อครู่ของเย่ซิวตู๋แทงใจนางตรงไหน นางจึงได้ไม่เอ่ยปากตอบโต้
เพียงแต่สีหน้าของนางไม่สู้ดีเป็นอย่างมาก จนอวี้ชิงลั่วกลัวว่านางจะเอาความโกรธไปลงที่สวีโหรวอีก จึงรีบเอ่ยออกมา “เช่นนั้นแล้ว เหมิงกุ้ยเฟยเป็นหัวหน้าของอวี้เฟิงถังอย่างนั้นหรือ?”
กล่าวจบนางก็เลื่อนสายตาไปมองเผิงอิง “เช่นนั้นเผิงอิงเล่า เขามีตำแหน่งอันใดในอวี้เฟิงถังกัน?”
สำหรับคนทรยศผู้นี้ อวี้ชิงลั่วรู้สึกอยากจะสับเขาเป็นหมื่นเป็นพันชิ้นเหลือเกิน
เขาทำให้เสิ่นอิงบาดเจ็บหนักขึ้น นางตรวจสอบอย่างละเอียดแล้ว ช่างไร้ปรานีเสียจริงๆ เขาไม่สนใจความหลังครั้งเก่าที่มีเลยแม้แต่น้อย แต่กลับคิดจะฆ่าอีกฝ่ายเสีย
หากไม่ใช่ว่าหนานหนานได้ให้ยาช่วยชีวิตเขาไว้ได้ทัน รวมไปถึงเจียงอวิ๋นเซิงที่กลับมาทันเวลา เกรงว่าเสิ่นอิงก็คงไม่มีชีวิตรอดแล้ว
ส่วนคนที่อยู่ ณ ที่แห่งนี้ในตอนนี้ ยังมีอีกหนึ่งคนที่เกลียดเผิงอิงเข้ากระดูกดำ
ฟ่านเสี่ยวเสี่ยวกำหมัด หากไม่ใช่ว่าได้รับสายตาห้ามปรามจากพี่ชาย นางก็คงพุ่งเข้าไปแก้แค้นให้เสิ่นอิงที่นางรักแล้ว
“ข้าก็เป็นเพียงผู้ใต้บังคับบัญชาตัวเล็กๆ เท่านั้น ไม่สามารถกล่าวถึงตำแหน่งอันใดได้” เผิงอิงมองอวี้ชิงลั่วด้วยสายตาเย้ยหยัน ทั้งยังแฝงแววยั่วยุอยู่ในนั้น
อวี้ชิงลั่วหรี่ตา “ตอนนั้นที่เจ้าอยู่ดินแดนเหมิงแล้วโน้มน้าวให้ท่านอ๋องปล่อยให้เหวินเทียนอยู่ที่นั่นต่อ ข้าก็คิดอยู่ว่ามันแปลกมาก หากคิดเช่นนั้นจริงๆ เจ้าก็ถือว่ายังเหลือความรักดั่งพี่น้องกับเหวินเทียนอยู่บ้างสินะ”
“ความรักดั่งพี่น้องหรือ ฮ่า”
อวี้ชิงลั่วอึ้ง เขาให้เหวินเทียนอยู่ที่ดินแดนเหมิงต่อ ไม่ใช่เพราะจะรักษาชีวิตเขาไว้หรือ?
“ข้ากลัวว่าเขามาอยู่ข้างกายข้า ข้าจะอดไม่ได้ที่จะลงมือกับเขา และฆ่าเขาเป็นคนแรกน่ะสิ หากไม่ใช่เพื่อหงเย่แล้วล่ะก็…”
อวี้ชิงลั่วดวงตาเป็นประกาย เพื่อหงเย่หรือ? เช่นนั้นแล้ว ความรู้สึกที่เขามีให้หงเย่กลับเป็นเรื่องจริงหรือ?
“เช่นนั้นเจ้าก็มีความจริงใจให้หงเย่หรือ?” อวี้ชิงลั่วพูดขัดเขาทันที หัวเราะออกมา “ไม่แปลกเลยที่ตอนนั้นหงเย่ถูกเหมิงพั่วทำร้ายสาหัส ตอนที่เหมิงพั่วถูกฆ่าตาย เจ้าเองก็ไม่คิดจะช่วยชีวิต มองดูเขาถูกซ่างกวนจิ่นฆ่าไปต่อหน้าต่อตา ที่แท้เจ้าก็คิดไม่ซื่อกับหงเย่นี่เอง ไม่ว่าชายคนหนึ่งจะเลวร้ายเพียงใด แต่เมื่อเป็นเรื่องความรักต่อบุตรและหญิงสาวแล้ว ก็จะลำเอียงอย่างเลี่ยงไม่ได้”
เผิงอิงได้ยินเช่นนั้นก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้ว ต่อจากนั้นก็ตกใจ รู้สึกได้ว่ามีบางอย่างผิดปกติ
ทันใดนั้นเขาก็หันหน้ามาทันที กำลังคิดจะอ้าปากกล่าวสิ่งใด ทั้งร่างก็กระเด็นออกไปแล้ว
ชั่วครู่นั้น สีหน้าของเหมิงซินก็ดำมืดราวกับเถ้าถ่าน บูดบึ้งอย่างสุดพรรณนา “เจ้าเห็นน้องชายข้าถูกฆ่า…จะตายแต่ก็ไม่ช่วยหรือ?”
“ท่านผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา ท่านอย่าไปฟังคำพูดไร้สาระของหญิงนางนี้นะขอรับ เหมิงพั่วถูกซ่างกวนจิ่นฆ่าตาย นางกำลังยุแยงให้แตกกัน”
“ข้าน่ะหรือยุแยงให้แตกกัน” อวี้ชิงลั่วแค่นหัวเราะ “เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าตอนนั้นเจ้าไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์? เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าหงเย่ไม่ได้รับบาดเจ็บ? เจ้ากล้าพูดหรือไม่ว่าตอนนั้นที่เหมิงพั่วกำลังจะตายเจ้าไม่ได้ยืนดูอย่างนิ่งดูดาย? ข้าว่าด้วยความสามารถของเจ้าแล้ว อยากจะช่วยก็คงไม่มีปัญหากระมัง”
ที่แท้เหมิงซินผู้นี้ก็เป็นผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา ที่แท้ตำแหน่ง… ก็สูงส่งเพียงนี้เลยหรือ? ไม่แปลกใจเลยที่สามารถระดมคนจำนวนมากนี้ได้
เหมิงซินคว้าคอเสื้อของเผิงอิงเอาไว้ ท่าทางราวกับอยากจะจับเขากินอย่างไรอย่างนั้น
เผิงอิงรีบยื่นมือออกมาขวางไว้ รีบอธิบาย “ท่านผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา สถานการณ์ในตอนนั้นข้าไม่มีทางเลือก หากข้าช่วยเหมิงพั่ว สถานะของข้าก็จะถูกเปิดโปง จะไม่สามารถทำภารกิจแทนท่านผู้พิทักษ์ฝ่ายขวาและเหนียงเหนียงได้อีกนะขอรับ ข้าเองก็เห็นแก่ส่วนรวมมาก่อน”
“ส่วนรวมหรือ?” เหมิงซินชกหน้าเขาอย่างรุนแรง “ต่อให้ถูกเปิดเผยตัวตน เจ้าเองก็ต้องช่วยน้องชายข้า เจ้าเห็นน้องชายข้าตายต่อหน้าแต่ไม่ช่วยเหลือ เจ้าสมควรตาย เขาเป็นคนเดียวในครอบครัวข้าที่…”
คำพูดหลังเขาไม่ได้พูดออกมา แต่อวี้ชิงลั่วเองก็รู้ ในเมื่อเหมิงพั่วและเหมิงซินเป็นพี่น้องกัน แต่เหมิงซินกลายเป็นขันทีแล้ว เช่นนั้นเรื่องการสืบทอดตระกูลก็ตกไปอยู่กับเหมิงพั่วโดยปริยาย
เพียงแต่เหมิงพั่วเองก็ชอบเหมิงกุ้ยเฟย ดังนั้นหลายปีมานี้จึงไม่ได้แต่งงาน ทว่าอย่างไรเขาก็เพิ่งอายุสามสิบกว่าปีเท่านั้น หากอยากมีลูกก็ยังพอมีเวลา ต่อไปค่อยหาหญิงสาวมาแต่งงานและมีลูก และมีลูกหลานรุ่นต่อไปให้ครอบครัวก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้
ตอนนี้คนกลับต้องตายไปราวกับตะเกียงที่ดับลง ตระกูลเขาไม่มีใครสืบเชื้อสายอีกแล้ว
อวี้ชิงลั่วลอบหัวเราะ นี่อาจเป็นชะตาของพวกเขากระมัง หากเรื่องเป็นไปด้วยดี แผนการของเหมิงซินและเหมิงกุ้ยเฟยไม่ลากเอาเหมิงพั่วเข้ามาเกี่ยว ตระกูลของพวกเขาก็คงยังมีรากเหง้าอยู่
แต่น่าเสียดาย…
อวี้ชิงลั่วหรี่ตา แววตาเลื่อนไปมองเหมิงกุ้ยเฟย
พบว่าทันใดนั้นนางก็ขมวดคิ้ว มือที่จับสวีโหรวไว้คลายลงเล็กน้อย และยังคงสั่นไหวอยู่บ้าง
ส่วนเหมิงซินยังคงจัดการกับเผิงอิงด้วยความโกรธ แม้แต่เหมิงกุ้ยเฟยที่เรียกเขาเบาๆ ก็ยังไม่ได้ยิน
ส่วนชายชุดดำคนอื่นๆ นั้น ถึงแม้จะยังสังเกตทุกการเคลื่อนไหวของพวกเขา แต่ก็เห็นได้ชัดกว่าไม่ได้เข้มงวดเหมือนก่อนหน้า
โอกาสดีมาถึงแล้ว
อวี้ชิงลั่วสบตากับเย่ซิวตู๋ ต่อจากนั้นนิ้วของนางก็ค่อยๆ ยกขึ้นลูบผมตน
ทุกคนไม่รู้ว่าทำไม แต่สีหน้าของเหมิงกุ้ยเฟยยังย่ำแย่ลงเรื่อยๆ ในที่สุดก็ปล่อยสวีโหรว ค่อยๆ ล้มลงไปทางด้านหนึ่ง
ชายชุดดำเหล่านั้นร้องเสียงต่ำ เหมิงซินรีบหันหน้ามาพยุงเหมิงกุ้ยเฟยเอาไว้
ร่างบอบบางของสวีโหรวล้มลงกับพื้น มีชายชุดดำเดินหน้ามารับเอาไว้
ทว่าในตอนนั้นเอง จู่ๆ ก็มีลมกรรโชกมาจากด้านในห้อง ผ่านร่างของชายชุดดำผู้นั้นไปอย่างแรง
ต่อจากนั้นชายชุดดำก็รู้สึกได้ว่ามือชา จู่ๆ มือที่พยุงสวีโหรวไว้ก็ไม่สามารถขยับได้ เขาร้องออกมาทันที “ไม่ได้การล่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เป็นอะไรไปล่ะนังกุ้ยเฟย จู่ๆ อ่อนแรงขึ้นมาซะงั้น เลิกอวดเก่งแล้วเหรอ?
ไหหม่า(海馬)