อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 1046 เรื่องนี้ต้องขอบคุณเจ้า
ตอนที่ 1046 เรื่องนี้ต้องขอบคุณเจ้า
ตอนที่ 1046 เรื่องนี้ต้องขอบคุณเจ้า
ตอนที่เห็นร่างของเหวินเทียนเมื่อก่อนหน้านี้ อวี้ชิงลั่วก็ตกตะลึงไปเช่นกัน
นางไม่คิดเลยว่าเหวินเทียนที่ควรจะอยู่ในดินแดนเหมิง กลับมาปรากฏตัวที่นี่ได้
ว่ากันตามเหตุผลก็คือ ประตูเมืองถูกปิดลงตั้งแต่หลายวันก่อนแล้ว การที่เหวินเทียนมาปรากฏตัวที่นี่ในตอนนี้ทำให้นางประหลาดใจอย่างมาก
“กลับมาหนึ่งวันก่อนประตูเมืองปิดขอรับ” เหวินเทียนคงจะอยากรีบเปิดเผยเรื่องที่เผิงอิงเป็นสายลับและโจมตีเขาเช่นกัน ครั้นอวี้ชิงลั่วมาคุยกับเขา เขาเองก็เพียงแต่ตอบอย่างตรงไปตรงมา
“หงเย่กลับมาพร้อมข้าขอรับ วันแรกที่ข้ากลับมาก็กลับไปที่ตำหนักอ๋องซิวแล้ว” เหวินเทียนหัวเราะขื่น “เพียงแต่ได้พบท่านอ๋องที่ประตู ท่านก็กล่าวว่าที่ตำหนักไม่ปลอดภัย บาดแผลของหงเย่ก็ยังไม่ได้หายดี อย่าเพิ่งพักที่ตำหนักอ๋องซิวเลย ให้อยู่ข้างนอกเสียก่อนสักสองสามวัน”
พวกเขากำลังอยู่ในช่วงพักฟื้นอยู่ที่ดินแดนเหมิง ดังนั้นจึงไม่ควรรีบร้อนกลับมาเช่นนี้
เพียงแต่หงเย่เป็นกังวล เอาแต่รู้สึกกระวนกระวาย ไม่อาจวางใจได้เลย ไม่ว่าอย่างไรก็จะรีบกลับมา เช่นเดียวกับที่อารมณ์ของเขาก็ไม่มั่นคง เอาแต่คิดถึงสถานการณ์ของเมืองหลวง ไม่อาจนอนหลับได้เลย
ดังนั้นเมื่อหมอเฒ่าฉยงซานบอกว่าหงเย่สามารถเดินทางได้แล้ว พวกเขาก็รีบกลับเมืองหลวงโดยไม่แม้แต่จะหยุดพัก
เดิมทีแม่นมเก๋อเองก็อยากจะกลับมาด้วย แต่หลังจากนั้นเหมิงฮูหยินก็เกลี้ยกล่อมนาง อย่างไรแม่นมเก๋อก็อายุมากแล้ว สุขภาพก็ไม่ดีแล้วเช่นกัน หากกลับเมืองหลวงเช่นนี้จะกลายเป็นตัวถ่วง
ดังนั้นหงเย่และเหวินเทียนจึงเตรียมสัมภาระเบาๆ เตรียมเข้าสู่สงคราม รีบกลับมาทางด้านนี้
คิดไม่ถึงว่าเมื่อกลับมา สถานการณ์ในเมืองหลวงกลับร้ายแรงเพียงนี้แล้ว ตอนนั้นพวกเขากลับไปที่ตำหนักอ๋องซิวก็ถูกเย่ซิวตู๋ขวางเอาไว้เสียก่อน
เย่ซิวตู๋บอกว่าตอนนี้ตำหนักอ๋องซิวตกเป็นเป้า สามารถตกเป็นอันตรายได้ทุกเมื่อ
ความหมายของเย่ซิวตู๋ก็คือ ตอนนี้ยังไม่มีใครรู้ว่าพวกเขากลับเมืองหลวงมาแล้ว อยู่ข้างนอกเสียจะดีกว่า ถึงตอนนั้นหากตำหนักอ๋องซิวเผชิญอันตราย พวกเขาที่อยู่ด้านนอกก็จะกระทำการใดๆ ได้สะดวก
เมื่อเป็นคำสั่งของท่านอ๋อง เหวินเทียนก็ย่อมเชื่อฟัง
พอดีกับที่หงเย่รีบเร่งเดินทาง บาดแผลบนร่างกายจึงปริออกเล็กน้อย ไม่สามารถช่วยอะไรได้ชั่วคราว แต่จะเป็นภาระเสียมากกว่า เขาจึงพาหงเย่ไปอยู่ที่บ้านไร่แห่งหนึ่ง รอฟังคำสั่งจากเย่ซิวตู๋ตลอดเวลา
และเป็นเพราะปกปิดที่อยู่ ไม่ให้คนจำนวนมากเกินไปทราบว่าพวกเขากลับมาแล้ว นอกจากเย่ซิวตู๋ก็ไม่มีคนสนิทที่ไหนติดต่อได้เลย รวมไปถึงอวี้ชิงลั่ว… และเผิงอิงด้วย
จนกระทั่งวันนี้ ตอนที่เขาออกมาซื้อของก็ได้ยินคนบอกว่าท่านอ๋องซิวที่เป็นผู้บัญชาการรบที่ประตูเมืองจู่ๆ ก็หายตัวไป ในใจเขาจึงเป็นกังวล รีบไปที่ด้านนอกตำหนักอ๋องซิวเพื่อสอบถามถึงสถานการณ์
พอดีกับที่ได้พบโม่เสียนและฟ่านซิวอวิ๋นที่มีสีหน้าจริงจังกำลังพาเหมิงกุ้ยเฟยขึ้นรถม้า จนกระทั่งฟ่านซิวอวิ๋นควบรถม้าจากไปแล้ว ก็มีเด็กรับใช้คนหนึ่งรีบวิ่งมากล่าวกับโม่เสียน บอกว่าค้นเจอของบางอย่างในห้องของเด็กรับใช้ที่ติดต่อกับเผิงอิง
โม่เสียนก่นด่าขึ้นมา ณ ตรงนั้นว่า เผิงอิงไอ้คนทรยศ
เหวินเทียนได้ยินประโยคนี้ก็รู้สึกวิงเวียนขึ้นมาเล็กน้อย เผลอเปิดเผยตัวตนที่ซ่อนอยู่ในมุมลับ
โม่เสียนผู้มีตาไวจึงสังเกตเห็นเขาในทันใด
เมื่อทั้งสองคนได้พบกัน เหวินเทียนก็ถามเขาด้วยความตื่นเต้นว่าประโยคนั้นหมายความว่าอย่างไรกันแน่?
โม่เสียนพาเขาไปพบเสิ่นอิงที่นอนอยู่บนเตียง เหวินเทียนจึงได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ คนที่เป็นพี่น้องกับเขามาหลายปี ที่แท้กลับเป็นคนทรยศ เป็นสายลับ เป็นอสรพิษที่ซ่อนตัวอยู่ข้างกายพวกเขามาหลายปี
ไฟความโกรธแค้นที่ลุกโชนเผาไหม้ความมีเหตุผลของเหวินเทียนไปหมด เขาอยากจะตามหาเผิงอิงเพื่อคิดบัญชีเสียตอนนั้น
โม่เสียนไม่สามารถรั้งเขาไว้ได้ ส่วนเหวินเทียนนั้นหลังจากรีบรุดออกจากตำหนักอ๋องซิวแล้วก็เคว้งคว้างไปครู่หนึ่ง
จนกระทั่งเมื่อใจเย็นลง จึงคิดได้ว่าตอนนี้เผิงอิงกำลังทำธุระให้เหมิงกุ้ยเฟย อีกทั้งเมื่อครู่ ฟ่านซิวอวิ๋นก็ยังพาเหมิงกุ้ยเฟยนั่งรถม้าจากไป
เขาเองก็คิดเพียงว่าจะติดตามรอยเส้นทางดู ส่วนฟ่านซิวอวิ๋นที่ควบม้าไปตลอดทางก็ไม่ได้ปกปิดร่องรอยใดๆ เลย สำหรับเขาแล้วเวลานี้เป็นเวลาเร่งด่วน ไม่มีความจำเป็นต้องปิดบังแต่อย่างใด
เหวินเทียนตามรอยรถม้ามาตลอดทาง เมื่อมาถึงก็เห็นเผิงอิงที่กำลังคิดจะหนี
ชั่วขณะนั้นเขายังไม่สามารถแยกแยะข่าวที่ได้ยินมาได้ กลับยืนอยู่ในที่ลับอยู่นาน จนกระทั่งฟ่านเสี่ยวเสี่ยวได้รับบาดเจ็บ เขาจึงอดทนไม่ไหวและขวางทางหนีของเขาไว้
เพียงแต่…เมื่อเห็นเผิงอิงในสภาพนี้ เหวินเทียนก็สับสนมาก ไม่รู้ว่าควรทำเช่นไรดี
อวี้ชิงลั่วฟังจบก็ถอนหายใจเล็กน้อย
เหวินเทียนเช็ดหน้า กล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้ข้าจึงได้รู้ว่าเหตุใดเมื่อครั้งแรกที่ท่านอ๋องเห็นข้า ก็ให้ข้าพาหงเย่ไปหาที่พักอื่น และไม่ต้องติดต่อกับใครทั้งนั้น อย่างไรเสีย เผิงอิงก็เป็นสายลับ ส่วนข้า… ก็มีความสัมพันธ์กับเขาเช่นนั้น”
“เจ้าคิดมากไปแล้ว” น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นมาจากทางด้านรถม้า
อวี้ชิงลั่วและเหวินเทียนหันหน้าไปมอง ก็เห็นร่างสูงโปร่งของเย่ซิวตู๋ที่ไม่รู้ว่ามาอยู่ตรงนี้ตั้งแต่ตอนไหน
เขาเหลือบมองเหวินเทียนเล็กน้อย น้ำเสียงยังคงเย็นเยียบ “เผิงอิงเป็นสายลับ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องอันใดกับเจ้า ข้าอยากจะจัดการเผิงอิง จึงไม่อยากให้เจ้าลำบากใจก็เท่านั้น”
เขากล่าวจบก็ถอดเสื้อคลุมวางไว้บนรถม้า จากนั้นก็โอบอวี้ชิงลั่วเข้าไป
อวี้ชิงลั่วยิ้มออกมา โน้มตัวไปที่ข้างหูเขาเพื่อล้อเลียน แต่กลับไม่ได้ลดเสียงลง “ท่านก็บอกไปตามตรงเลยสิว่าท่านเชื่อใจเหวินเทียนอย่างมาก จึงไม่สงสัยเขาเพียงเพราะเขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับเผิงอิงก็เท่านั้น เหตุใดต้องพูดจาอ้อมโลกเพียงนี้ด้วย?”
เหวินเทียนที่อยู่ด้านนอกก็ย่อมได้ยินประโยคนี้ เขาตกใจเล็กน้อย สีหน้ากลับผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก แม้แต่ที่มุมปากก็ยังปรากฏรอยยิ้มเล็กน้อย
เย่ซิวตู๋กลับจ้องมองอวี้ชิงลั่วด้วยความโกรธ “เจ้านี่พูดมากจริง”
“ท่านพ่อ จริงๆ แล้วข้าก็เชื่อใจท่านลุงเหวินมากนะ” หนานหนานไม่อยากถูกทิ้งไว้คนเดียว ยื่นศีรษะเล็กๆ ของตนออกมาทันใด เบียดเข้าไปข้างกายของท่านพ่อท่านแม่
ในใจกลับนึกน้อยใจเล็กน้อย เหตุใดวันนี้ท่านพ่อท่านแม่ไม่เก็บอาการเอาเสียเลย ถึงแม้พื้นที่ในรถม้าจะน้อยไปหน่อย แต่ในรถเองก็ยังมีคนอื่นอยู่นะ
จริงๆ เลย ขนาดเขาที่เป็นลูกก็ยังรู้จักคิดให้รอบคอบ
อวี้ชิงลั่วผลักศีรษะของเขาไปด้านข้าง ส่งเสียงไม่พอใจ “รู้แล้วๆ คำพูดนี้ก็เอาไปพูดกับท่านลุงเหวินสิ จะมาบอกข้าทำไม?”
หนานหนานเปิดม่านรถม้าขึ้นจริงๆ นั่งข้างกับเหวินเทียน ตบไหล่ของเขาเหมือนผู้ใหญ่ตัวน้อย กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านลุงเหวิน ข้าเชื่อใจท่านจริงๆ นะขอรับ”
เหวินเทียนมองท่าทางโอ้อวดของเขา อารมณ์ที่มืดหม่นในที่สุดก็ดีขึ้นมาก ยิ้มพลางลูบศีรษะของเขา “อืม ลุงเหวินรู้แล้ว ขอบคุณมากหนานหนาน”
“ไม่ต้องเกรงใจขอรับ” หนานหนานกล่าวจบก็เปิดม่านรถม้าแล้วปีนเข้าไปอีกครั้ง
เพียงเปิดม่านรถขึ้น อวี้ชิงลั่วก็บังเอิญเห็นผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายที่เดินผ่านไปพอดี นางชะงักไป ทันใดนั้นก็คิดได้ว่าตนยังมีคำถามมากมายเกี่ยวกับผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายผู้นี้ที่จู่ๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้อยู่
คิดเช่นนั้น นางก็หันหน้าไปมองเย่ซิวตู๋ “เหตุใดผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของอวี้เฟิงถังจึงกลายมาเป็นพวกเดียวกับท่านได้? ท่านรู้จักคนผู้นี้ได้อย่างไร? เหตุใดเขาจึงช่วยเจ้าเล่า?”
เย่ซิวตู๋ได้ยินเช่นนั้นก็เลิกคิ้วมองนาง ยิ้มออกมาอย่างลึกลับ “เรื่องนี้ จะว่าไปแล้วก็ต้องขอบคุณเจ้า”
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ชิงลั่วไปทำอะไรหนอ ท่านอ๋องเลยได้รู้จักกับผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้าย
ไหหม่า(海馬)