อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 1047 เอาใจใส่
ตอนที่ 1047 เอาใจใส่
ตอนที่ 1047 เอาใจใส่
อวี้ชิงลั่วตะลึงไป ขอบคุณนางหรือ?
ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของอวี้เฟิงถังช่วยเหลือเย่ซิวตู๋ จะมาขอบคุณนางทำไม? นางไม่รู้จักคนผู้นี้แม้แต่นิด ทั้งยังไม่เคยช่วยอะไรอวี้เฟิงถังเอาไว้เลย
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้วเล็กน้อย ค่อนข้างไม่เข้าใจ หรือว่า… เมื่อก่อนนางเคยช่วยชีวิตคนที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับอวี้เฟิงถังหรือ? ไม่น่าจะใช่นี่ หากมีคนเช่นนั้นจริง นางก็ควรจะรู้จักจึงจะถูก
เย่ซิวตู๋ยิ้มแต่ไม่พูดอะไร เพียงแต่สั่งให้เหวินเทียนกลับตำหนัก
หนานหนานที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำนี้ของเขา ก็เริ่มตกอยู่ในความคิดเช่นเดียวกับอวี้ชิงลั่ว
คนที่ท่านแม่เคยช่วยไว้ เขาก็รู้จักทุกคน
แต่เขาไม่เคยพบผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายผู้นี้มาก่อนเลยจริงๆ น่าแปลกเกินไปแล้ว คนที่มีทักษะต่อสู้เก่งกาจเพียงนั้น เขาควรมีความประทับใจอย่างมากจึงจะถูก
สองแม่ลูกตกอยู่ในภวังค์ทันใด การกระทำยังเหมือนกันอย่างมากจนเย่หลานเฉิงที่เพิ่งเงยหน้ามาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ ตอนนี้อารมณ์ของเขาสงบลงแล้ว ถึงแม้ท่านแม่จะบาดเจ็บ แต่อย่างไรก็ยังรักษาชีวิตไว้ได้และกลับมาอยู่ข้างกายเขาแล้ว
เพียงแต่ว่าท่านพ่อผู้นั้นของเขา กลับทำให้คนหวาดผวาอย่างมาก
เอาเถิด ต่อไปก็อยู่กับท่านแม่อย่างพึ่งพากันและกันไปตลอดชีวิต สั้นๆ ก็คือ เขาไม่อยากมีความเกี่ยวข้องกับอดีตองค์รัชทายาทอีกแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจจะมีครั้งต่อไปก็ได้ เขาจะได้ไม่ทำให้ท่านแม่ของเขาเจ็บอีก จะได้ไม่ใช้เขาและท่านแม่มาจัดการกับพวกท่านอาห้าและท่านอาชิง
กลุ่มคนในรถม้าต่างมีความคิดของตัวเอง ณ ขณะนั้นไม่มีใครเอ่ยปากใดๆ เลย
อวี้ชิงลั่วและหนานหนานต่างกำลังกลั่นกรองคนทั้งหมดที่เคยช่วยหรือได้พบมาตลอดหลายปีมานี้ คิดอย่างลึกซึ้งยิ่ง
จนกระทั่งรถม้ากลับมาถึงตำหนักอ๋องซิวและหยุดอยู่ตรงประตูหน้าตำหนัก นางก็ถูกเย่ซิวตู๋ดัน และมีสติกลับมาอีกครั้ง
เย่ซิวตู๋มองนางด้วยรอยยิ้มแต่ไม่ยิ้ม “ไม่ต้องคิดแล้ว เจ้าคิดไม่ออกหรอก อีกเดี๋ยวข้าจะพาเจ้าไปที่ๆ หนึ่ง แล้วเจ้าก็จะรู้เอง”
กล่าวจบก็เลิกม่านรถขึ้นแล้วลงจากรถม้า
อวี้ชิงลั่วเม้มปาก ส่งเสียงเหอะเบาๆ แล้วกระโดดลงจากรถม้า
เย่ซิวตู๋สั่งให้พวกฟ่านผิงอวิ๋นนำตัวอดีตองค์รัชทายาทและเผิงอิงทั้งหมดเข้าไป ขังเอาไว้ก่อนค่อยว่ากัน
ฟ่านเสี่ยวเสี่ยวยังคงโมโหนักไม่สามารถฆ่าเผิงอิงได้ในทันที เมื่อเดินไปถึงข้างกายของเหวินเทียนก็ถลึงตามองเขาอย่างดุดัน เดินกระทืบเท้าเข้าตำหนักไปหาเสิ่นอิง
สวีโหรวเองก็ถูกหามเข้าตำหนัก พระชายาในองค์ชายสามได้ยินข่าวก็รีบร้อนวิ่งมา เมื่อเห็นนางในสภาพโชกเลือดเต็มตัวก็หน้าซีดไป
“พี่สะใภ้รอง… เป็นอย่างไรบ้างหรือ?” นางหันหน้าไปถามอวี้ชิงลั่ว น้ำเสียงสั่นเครือเล็กน้อย
ใบหน้าซีดเซียวไร้เส้นเลือดของสวีโหรวนั้นน่าตกใจอย่างมาก ราวกับว่า… ราวกับว่าเป็นคนที่หมดลมหายใจแล้วอย่างไรอย่างนั้น
อวี้ชิงลั่วให้คนแบกสวีโหรวไปที่เตียง จับชีพจรของนาง จากนั้นก็หันหน้ามาตอบคำถามของพระชายาในองค์ชายสาม “ยังดีอยู่เจ้าค่ะ ไม่เป็นอันตรายถึงชีวิต ข้าจะทำแผลให้นางเสียก่อน องค์ชายสามเป็นอย่างไรบ้าง ไข้ลดแล้วหรือยังเจ้าคะ?”
“ลดแล้วๆ หลังกินยาของแม่นางอวี้เข้าไป เมื่อเดินทางกลับมา เนื้อตัวก็เย็นลงไม่น้อย หลังจากกลับตำหนักก็มีท่านหมอเจียงคอยช่วย ตอนนี้ไม่เป็นอะไรแล้ว เพียงแต่ยังไม่มีแรง ทั้งยังต้องทนเจ็บมานาน ตอนนี้จึงยังหลับอยู่”
เมื่อได้ยินว่าสวีโหรวไม่เป็นอะไร พระชายาในองค์ชายสามก็ถอนหายใจโล่งอก เพียงแต่เมื่อสายตามองไปยังนิ้วด้วนนั้นก็เบิกตากว้างอย่างประหลาดใจ ขอบตาแสบร้อนเสียจนเกินทน
“ในช่วงหนึ่งคืนหนึ่งวันนี้ พี่สะใภ้รองจะต้องทนทุกข์มามากมายเป็นแน่ นี่ช่าง…”
พระชายาในองค์ชายสามตอนนี้ดีใจอย่างมาก ถึงแม้จะบอกว่าองค์ชายสามเป็นคนบุ่มบ่ามใจร้อน บางครั้งก็มักจะชอบเอาแต่ใจตัวเอง หรือรังแกคนดีเกรงกลัวคนชั่วไปบ้าง
แต่อย่างน้อยที่สุด เมื่อความอันตรายมาเยือน ถึงแม้เขาจะแกล้งบ้าและได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ก็ยังคงปกป้องนางและลูกๆ
ทว่าอดีตองค์รัชทายาทเล่า? ที่ว่าเขาเป็นคนธรรมดาไร้ความสามารถก็ช่างเถิด แต่ความเห็นแก่ตัวนั้นกลับมีมากเสียจนน่าขนลุก
เขาสามารถจัดการกับพี่น้องของตนได้อย่างโหดเหี้ยม ซึ่งเรื่องนี้นางก็หมดคำจะกล่าว อย่างไรเสียเมื่อก่อนพี่น้องในราชวงศ์ก็ไม่ได้มีสายสัมพันธ์ใกล้ชิดกันอยู่แล้ว
แต่กับภรรยาและลูกที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเขา ถึงขนาดวางแผนช่วยเหลือเขา เขาก็ยังสามารถหลอกใช้ได้อย่างโหดเหี้ยม จนถึงขั้นทำร้ายร่างกายกันเช่นนี้ ในโลกนี้ยังมีสิ่งใดที่เขาทำไม่ได้อีกบ้างเล่า?
โชคดีที่ฝ่าบาทมองการณ์ไกล ไม่ได้มอบอาณาจักรเฟิงชางให้เขา ไม่อย่างนั้นทั่วทั้งแผ่นดินคงจะถูกเขาทำลายจนราพณาสูรกระมัง
“ข้าสั่งยาให้นางเล็กน้อย หากรักษาดีๆ ก็จะหายดี เพียงแต่นิ้วนั้น…” อวี้ชิงลั่วชักมือกลับ ช่วยนางจัดผ้าห่ม มองไปยังเย่หลานเฉิง
“ท่านน้าชิง ข้าทราบแล้วขอรับ รอให้ท่านแม่ฟื้น ข้าจะอยู่กับนาง ปลอบนางเองขอรับ” เย่หลานเฉิงนั่งอยู่บนขอบเตียง ปากเม้มแน่น
อวี้ชิงลั่วลูบศีรษะของเขาด้วยความสงสาร “อืม ท่านน้าชิงรู้ว่าเจ้าเป็นเด็กดี เจ้าอยู่ที่นี่เป็นเพื่อนท่านแม่เถิด หากนางฟื้นขึ้นมาจะต้องอยากเห็นเจ้าในทันทีเป็นแน่”
“ขอรับ”
จากนั้นอวี้ชิงลั่วก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมพระชายาในองค์ชายสาม
เย่ซิวตู๋ยืนรอนางอยู่ด้านนอก พระชายาในองค์ชายสามเห็นว่าเขามีท่าทางราวกับอยากพูดสิ่งใด จึงคำนับเย่ซิวตู๋เล็กน้อย กล่าวเสียงต่ำ “…ท่านอ๋องเองก็ไม่รู้ว่าจะฟื้นตอนไหน ข้ากลับก่อนดีกว่า”
“พี่สะใภ้สามเดินดีๆ เจ้าค่ะ หากต้องการสิ่งใดขอแค่สั่งคนรับใช้ที่จวนเป็นใช้ได้”
“อืม” พระชายาในองค์ชายสามพยักหน้าให้อวี้ชิงลั่วอีกครั้ง จากนั้นก็หมุนตัวเดินมุ่งหน้าไปยังห้องที่ตนพัก
เย่ซิวตู๋จับมือนางลงขั้นบันได “เจ้าหิวหรือไม่? ตอนนี้ก็ดึกแล้ว ไปกินอะไรเสียก่อนเถิด แล้วข้าจะพาเจ้าไปที่ที่หนึ่ง”
ท้องฟ้ามืดแล้ว พวกเขาเองก็ยุ่งมาทั้งวัน ไม่ได้กินอะไรทั้งวัน ก็น่าจะท้องว่างกันแล้ว
เมื่อครู่หนานหนานเพิ่งกลับมาถึงก็วิ่งไปที่ครัวเพื่อหาของกินทันที รอไม่ไหวอีกต่อไป
พวกเขาอยู่ตรงนี้กันครู่หนึ่ง เกรงว่าเจ้าตัวเล็กคงจะสวาปามจนอิ่มท้องไปเรียบร้อยแล้ว
อวี้ชิงลั่วพยักหน้า นางหิวแล้วจริงๆ
“เรื่องศพของเหมิงกุ้ยเฟยและเหมิงซิน ท่านให้คนจัดการแล้วหรือ?”
“อืม” พวกเย่ซิวตู๋ทั้งสองคนคุยไปพลาง เดินไปที่โถงบุปผาไปพลาง
แม่นมเซียวอยู่ตรงนั้นแล้ว ขณะหนานหนานเอนกายอยู่บนโต๊ะเล็กนั้นคนเดียว ยัดของกินเข้าปากอย่างตะกละตะกลาม แม่นมเซียวเห็นดังนั้นก็ไม่ได้ดุเขาอย่างเช่นที่ผ่านมา กลับช่วยเอาผ้าเช็ดหน้าเช็ดปากให้เขา
หนานหนานเชิดคางขึ้น มีความสุขอย่างมากจริงๆ
อวี้ชิงลั่วลูบหน้าผากตนแล้วถอนหายใจ เขาน่าจะ… เป็นสุภาพบุรุษเสียหน่อยนะ?
“ท่านแม่ๆ ทางด้านนี้” เมื่อเห็นพวกเขา หนานหนานก็รีบโบกมือ
แต่เพียงแค่เย่ซิวตู๋และอวี้ชิงลั่วนั่งลงพร้อมกัน เจ้าเด็กน้อยก็รีบไถลตัว หยิบเอากล่องอาหารหนีไปไกล
อวี้ชิงลั่วอึ้งไป ถามแม่นมเซียว “เขาเป็นอะไรไปหรือ?”
“บอกว่าจะเอาของกินไปส่งให้เย่หลานเฉิงน่ะสิ”
อวี้ชิงลั่วนึกขึ้นได้ทันใด เย่ซิวตู๋ส่ายหน้า กล่าวอย่างจนปัญญา “ไม่แปลกใจเลยที่เขากินเร็วขนาดนั้น เขาเอาใจใส่หลานเฉิงมากนะ”
เอาใจใส่หรือ?
ความคิดของอวี้ชิงลั่วเริ่มคิดถึงสิ่งผิดปกติบางอย่าง นางรีบสะบัดหน้า สลัดความคิดของตนออกไป
ทันใดนั้นก็นึกออกถึงเรื่องเรื่องหนึ่ง จึงวางตะเกียบลง หันหน้าไปทางเย่ซิวตู๋
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ชิงลั่วคิดไปถึงไหนน่ะคะ หนานหนานก็แค่เป็นห่วงเพื่อน กลัวเพื่อนจะไม่ได้กินข้าวหรือเปล่า?
ไหหม่า(海馬)