อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 1048 ได้พบคนที่นึกไม่ถึง
ตอนที่ 1048 ได้พบคนที่นึกไม่ถึง
ตอนที่ 1048 ได้พบคนที่นึกไม่ถึง
“คือว่า… เรื่องที่บ้านพัก ท่าน…” อวี้ชิงลั่วลังเลเล็กน้อย ถึงแม้นางจะไม่ได้เห็นโศกนาฏกรรมที่บ้านพักกับตาตัวเอง แต่เพียงแค่เห็นสีหน้าเช่นนั้นของลู่หลานเฟิง นางเองก็พอนึกภาพเหตุการณ์สยดสยองออก
คนเหล่านั้น… ตายอย่างไม่รู้เรื่องอันใดทั้งสิ้น
การกระทำของเย่ซิวตู๋หยุดลงเช่นกัน เขาเป็นคนเห็นมันกับตา
ผู้อารักขาเหล่านั้น คนรับใช้เหล่านั้น… ล้วนเป็นคนที่เขาเลือกมาด้วยตัวเอง เขารู้จักทุกคน เชื่อใจทุกคน
แต่คนเหล่านั้นล้วนต้องมาตายภายในคืนเดียว
อีกทั้งยังตายด้วยวิธีเช่นนั้น ไม่ทันได้แสดงความสามารถตัวเองออกมาก็ถูกคนฆ่าตายเสียแล้ว
เกิดเสียงดัง ‘ป๊อก’ เสียงหนึ่ง ตะเกียบในมือของเย่ซิวตู๋ถูกเขาหักออกเป็นสองท่อน
สายตาของอวี้ชิงลั่วและแม่นมเซียวเลื่อนลงมา มองลงไปยังตะเกียบคู่นั้น
โม่เสียนที่เดินเข้าประตูอยู่ไม่ไกลก็หยุดฝีเท้าในทันทีทันใด
แม่นมเซียวเพียงหยุดชะงักไปครู่หนึ่ง จากนั้นก็โค้งคำนับแล้วถอยออกจากโถงบุปผาไป ระหว่างนั้นก็พาโม่เสียนออกไปด้วย
โถงบุปผาเงียบลงทันที อวี้ชิงลั่วยื่นมือออกมาวางบนหลังมือของเขาเบาๆ ดึงตะเกียบหักที่เขายังบีบอยู่ในมือออก ใช้ผ้าเช็ดหน้ากดแผลที่ถูกตะเกียบแทงจนเลือดออกเอาไว้ กล่าวบ่นอย่างไม่พอใจเล็กน้อย “คราวหน้าใช้ตะเกียบเงินเถิด จะได้ไม่หักง่ายๆ”
ตั้งแต่ครั้งก่อนที่หนานหนานเห็นตะเกียบเงินของท่านพ่อที่สวยงามและใช้ได้จริงนั้น เขาก็เอาไปใช้อย่างเปิดเผย ต่อให้หลังจากนั้นจะไม่มีเงินแล้ว ก็นำสิ่งนี้ไปแลกเอาได้ ฝีมือการเก็บเงินยิ่งบ้าคลั่งขึ้นทุกที
อวี้ชิงลั่วจึงให้เย่ซิวตู๋ใช้ตะเกียบไม้ มีนางอยู่เช่นนี้ เขาก็ไม่น่าจะถูกใครลอบวางยาพิษขณะกินอาหารได้
คิดไม่ถึงว่าเพียงเขาออกแรงบีบก็หักเสียแล้ว
เมื่อได้ยินเสียงพึมพำของนาง เย่ซิวตู๋ก็ได้สติกลับมาอีกครั้ง มองการกระทำอ่อนโยนของนางก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมา กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง กินข้าวเถิด”
“อืม” อวี้ชิงลั่วเองก็ไม่ถามต่อ เพราะเกรงว่าอีกเดี๋ยวเขาจะบีบมือจนชามแตก
ทว่ากินไปได้ครู่เดียว ก็เป็นเย่ซิวตู๋ที่เอ่ยปากออกมาก่อน “เรื่องที่บ้านพัก ข้าให้คนไปจัดการแล้ว จะ… ฝังพวกเขาให้ดี ส่วนครอบครัวพวกเขา ข้าเองก็จะช่วยรับผิดชอบให้ตามความสมควร”
“อืม” อวี้ชิงลั่วพยักหน้า “ตอนนี้เหมิงซินกับเหมิงกุ้ยเฟยตายไปแล้ว ชายชุดดำเหล่านั้นที่ฆ่าพวกเขาก็ถูกฆ่าไปแล้ว ก็ถือว่าได้แก้แค้นให้พวกเขาแล้วล่ะ”
ส่วนอดีตองค์รัชทายาท เย่ซิวตู๋ก็กล่าวไปแล้ว ว่าจะไม่ปล่อยให้มีชีวิตอย่างดีเกินไป
ทั้งสองคนกินข้าวกันอย่างเงียบๆ อีกพักหนึ่ง เมื่อวางตะเกียบลง จู่ๆ ด้านนอกประตูก็มีเสียงฝีเท้าตึงตังดังเข้ามา
คนที่จะทำเสียงเช่นนี้ได้ก็มีเพียงหนานหนานเท่านั้น
แน่นอนว่าเมื่ออวี้ชิงลั่วยืนขึ้น หนานหนานก็วิ่งกลับมายังข้างกายพวกเขาอีกครั้ง
“ท่านพ่อ ท่านบอกไว้ว่าจะพาท่านแม่ออกไปข้างนอกหรือ ข้าก็อยากไปด้วย” เขาเองก็คิดมานานยังคิดไม่ออกว่าผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายเป็นใครกันแน่ ท่านพ่อบอกว่าจะพาท่านแม่ไปที่ที่หนึ่งก็จะรู้ที่มาที่ไป ตอนนี้เขาสงสัยมาก อยากจะรู้ให้ชัดเจนเช่นกัน ดูสิว่าสุดท้ายแล้วจะเป็นคนที่เขารู้จักหรือไม่
เย่ซิวตู๋คิดอยู่ครู่หนึ่งก็รับปาก
เรื่องทางด้านนี้จัดการไปประมาณหนึ่งแล้ว ขณะนี้ท้องฟ้ามืดแล้ว เรื่องของผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายที่รับปากไว้ก็ต้องทำตามสัญญา
“ไปกันเถิด” เย่ซิวตู๋พาสองแม่ลูกออกนอกประตูไป
อวี้ชิงลั่วกลับลังเลขึ้นมาอยู่ตรงรถม้าหน้าประตู เย่ซิวตู๋ยืนอยู่ด้านหลังนาง ถามอย่างสงสัยเล็กน้อย “เป็นอะไรไปหรือ?”
“ท่าน ทางด้านประตูเมืองเป็นอย่างไรบ้าง? ท่านไม่อยู่จะไม่เป็นไรหรือ? ข้าว่าข่าวการตายของเหมิงกุ้ยเฟยและเหมิงซินก็คงส่งไปถึงหูขององค์ชายเจ็ดอย่างรวดเร็วเป็นแน่ ถึงตอนนั้นหากเขาโจมตีเมืองโดยไม่สนสิ่งใด พวกองค์ชายหกจะรับมือได้หรือไม่?”
เย่ซิวตู๋กลับพยุงนางไปรถม้า จนกระทั่งทั้งสามคนนั่งลง ปิดม่านรถลงแล้ว เขาจึงเอ่ยออกมา “เจ้าอย่าได้ดูถูกน้องหกไป จริงๆ แล้วเขานั้น… เป็นนายพลที่เก่งกาจ เพียงแต่หลายปีมานี้ทำตัวเงียบๆ เพื่อไม่ให้ตกเป็นเป้าของผู้อื่นก็เท่านั้น อีกอย่าง ที่ประตูเมืองไม่ได้มีแต่พวกน้องหก ยังมีคนเก่งๆ อยู่อีก เจ้าวางใจเถิด”
ยังมีคนเก่งๆ อยู่อีกหรือ? อวี้ชิงลั่วแปลกใจ คิดว่าเย่ซิวตู๋ช่างลึกลับนัก
“ท่านพ่อ ท่านจะพาพวกเราไปไหนกันแน่หรือ จะไปพบใครบางคนใช่หรือไม่?” หนานหนานรอไม่ไหวแล้ว ปีนไปอยู่ตรงกลางระหว่างอวี้ชิงลั่วและเย่ซิวตู๋ เงยหน้าเล็กๆ ขึ้นถามอย่างกระตือรือร้น “ท่านพ่อ อวี้เฟิงถังอะไรนั่นมีความเกี่ยวข้องกับข้าหรือไม่? หนานหนานรู้จักคนที่สำคัญมากๆๆๆ ของพวกเขาหรือ ข้าจะบอกให้นะท่านพ่อ ไม่ว่าข้าจะรู้จักคนเก่งกาจมากเพียงใด ท่านเองก็ไม่ต้องแปลกใจ อย่างไรเสียคนอย่างข้าก็เก่งกาจในการดึงดูดความสนใจของคนเก่งๆ จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาอย่างมาก”
อวี้ชิงลั่วกระตุกมุมปาก ผลักหนานหนานไปด้านข้าง “เจ้าไม่ต้องชมตัวเองเกินเรื่องไปทุกครั้งไม่ได้หรือ? มันชวนคลื่นไส้อย่างมากรู้หรือไม่?”
หนานหนานเงยหน้าจ้องมองอวี้ชิงลั่วอย่างไม่พอใจ
เย่ซิวตู๋หัวเราะลั่น กอดหนานหนานเอาไว้ในอ้อมอกของตนแล้วกล่าวเสียงต่ำ “ไม่ใช่คนที่พวกเจ้ารู้จักหรอก ที่ข้ารู้จักผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายของอวี้เฟิงถัง เรื่องนี้ต้องขอบคุณเสิ่นอิง”
ขอบคุณเสิ่นอิงหรือ?
“หมายความว่าอย่างไร?” สองแม่ลูกเงยหน้ามองเขาพร้อมกัน ดวงตาสองคู่ฉายความรู้สึกที่เหมือนกันอย่างกับแกะ จ้องเขม็งอย่างงดงามมากทีเดียว
เย่ซิวตู๋อารมณ์ดีขึ้นมาไม่น้อย “ตอนที่ได้ยินเสิ่นอิงบอกว่าเผิงอิงเป็นคนของอวี้เฟิงถัง ข้าก็รู้สึกว่าแปลก อวี้เฟิงถังก่อตั้งขึ้นมาหลายร้อยปี หัวหน้ากองกำลังล้วนถูกเลือกอย่างพิถีพิถัน ต้องมีใจทุ่มเทให้กับอาณาจักรเฟิงชาง ด้วยความสามารถของพวกเขา น่าจะรู้ว่าองค์ชายเจ็ดไม่มีพรสวรรค์ของฮ่องเต้ เหตุใดจึงเลือกเขามาเป็นฮ่องเต้เล่า?”
“ยิ่งไปกว่านั้น สงครามครั้งนี้ปะทุขึ้นมาเพราะน้องเจ็ด เหตุผลที่เขาก่อสงครามก็ไม่สมเหตุสมผลแม้แต่น้อย ผู้ที่มีสายตาเฉียบแหลมได้ยินก็รู้ว่าเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้น ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นอวี้เฟิงถัง สงครามที่ไร้ซึ่งเหตุผลที่สมเหตุสมผลนี้ อวี้เฟิงถังจะสนับสนุนได้อย่างไร?”
“แต่สำหรับข้าแล้ว การมีอยู่ของอวี้เฟิงถังนั้นช่างเป็นปัญหาจริงๆ ถ้าหากไม่จัดการอวี้เฟิงถังเสีย เช่นนั้นจะไม่เป็นประโยชน์กับพวกเรา เพียงแต่เราไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอวี้เฟิงถังมากนัก สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องรู้เขารู้เรา เข้าใจอวี้เฟิงถังเสียก่อน รู้ว่าทำไมพวกเขาจึงเลือกอยู่ข้างทางด้านองค์ชายเจ็ด”
“หลังจากนั้นข้าจึงถามเสิ่นอิง ว่าจะสามารถติดต่อคนทรยศของอวี้เฟิงถังที่เขาเคยช่วยเหลือเอาไว้ได้หรือไม่ เดิมทีเสิ่นอิงรับปากว่าจะไม่บอกที่อยู่ของคนผู้นั้นให้ใครทั้งนั้น แต่ทว่าตอนนี้สถานการณ์มันแตกต่าง เขาจึงบอกที่อยู่ทั้งหมดกับข้า”
“มหาฤาษีอยู่อย่างสันโดษในเมือง เกรงว่าคนของอวี้เฟิงถังเองก็คงคิดไม่ถึง ตอนนั้นคนทรยศซ่อนตัวอยู่ใต้จมูกของพวกเขา อยู่ในเมืองหลวงนี่”
“ข้าไปพบคนผู้นั้นมา คิดไม่ถึงว่าที่นั่น ข้ายังได้พบคนที่คิดไม่ถึงอีกคนหนึ่งด้วย”
อวี้ชิงลั่วตะลึงไป คนที่คิดไม่ถึงหรือ?
“ใครกัน?”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ดูท่าเรื่องราวจะยังไม่จบแฮะ ต้องมีคนให้จัดการอีกเยอะเลยอย่างไรไม่รู้
ไหหม่า(海馬)