อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 1051 สามคนพ่อแม่ลูกไร้ยางอาย
ตอนที่ 1051 สามคนพ่อแม่ลูกไร้ยางอาย
ตอนที่ 1051 สามคนพ่อแม่ลูกไร้ยางอาย
ในเวลานั้นเหมิงกุ้ยเฟยไม่คุ้นเคยกับผู้อาวุโสสกุลหมิง เมื่อกลับมาถึงบ้านที่ไม่คุ้นเคย นางก็รู้สึกไม่สบายใจยิ่งนัก
แน่นอนว่านางไม่ต้องการแต่งงานกับคนแปลกหน้าอย่างฮ่องเต้
แต่หลังจากคิดดูแล้ว นางก็รู้สึกว่าการแต่งงานกับฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเฟิงชางนั้นไม่เลวเลย เพราะสุดท้ายคู่พี่น้องเหมิงซินต่างก็อยู่ในอาณาจักรเฟิงชาง พวกเขาอยู่ในอวี้เฟิงถัง และเมื่อนางไปที่อาณาจักรเฟิงชาง ก็สามารถไปหาพวกเขาและอยู่กับพวกเขาได้อีกครั้ง
ในเวลานั้นเหมิงกุ้ยเฟยไร้เดียงสายิ่งนัก นางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าการเป็นพระสนมของฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเฟิงชางนั้นหมายความว่าอย่างไร เพราะไม่มีใครสอนเรื่องเหล่านั้นให้นาง นางสนิทแค่กับเหมิงซิน จึงไว้ใจเพียงแค่เขาเท่านั้น
เมื่อเทียบกับคฤหาสน์ผู้อาวุโสสกุลหมิง หากนางอยู่ใกล้กับเมืองหลวงของอาณาจักรเฟิงชาง ก็จะอยู่ใกล้กับคู่พี่น้องเหมิงซินมากกว่า นางจึงเต็มใจจะไปอยู่ที่นั่นมากกว่า
ดังนั้นนางจึงยอมตกลงแต่งงานในที่สุด
เพียงแต่นางคาดไม่ถึงว่าเหมิงหลิงหลงจะเขี่ยนางทิ้ง แล้วเข้ามาแทนที่นาง
เหมิงกุ้ยเฟยได้สติแล้วคิดว่าคงไม่เป็นไร ต่อให้ไม่แต่งงานกับฮ่องเต้แห่งอาณาจักรเฟิงชาง นางก็ไปหาเหมิงซินได้อยู่ดี
ดังนั้นนางจึงขอกลับไปที่บ้านพัก หลังจากไปที่บ้านพักแล้ว นางก็ใช้วิธีเดิม เพื่อออกจากดินแดนเหมิง และไปยังเมืองหลวง
เพียงแต่นางไม่คาดคิดว่าในเวลานั้น คู่พี่น้องเหมิงซินจะรู้ว่านางถูกพากลับไปที่ดินแดนเหมิง พวกเขาจึงพยายามอย่างหนัก เพื่อกลับไปสอบถามข่าวคราวของนางที่ดินแดนเหมิง
ในเวลานั้นผู้นำคนเก่ากำลังจะตายด้วยโรคร้าย ด้วยความสติเลือนราง เขาจึงลืมไปว่าพี่น้องทั้งสองมาจากดินแดนเหมิง จึงยอมตกลงอย่างง่ายดาย
เหมิงซินกับเหมิงพั่วกลับไปที่ดินแดนเหมิง จากนั้นก็ไปพบกับเหมิงกุ้ยเฟยที่บ้านพัก
ในตอนนั้นสองพี่น้องได้ใช้เวลาอยู่กับนางมากขึ้น เหมิงซินและเหมิงกุ้ยเฟยค่อย ๆ พัฒนาความสัมพันธ์แบบหนุ่มสาว และพวกเขาก็ไม่อาจแยกจากกันได้
นางค่อย ๆ เรียนรู้เรื่องมากมายเกี่ยวกับโลก รู้ว่าตัวเองถูกทอดทิ้ง และรู้ว่าโชคชะตาไม่ยุติธรรมกับนางมากเพียงใด
ทว่าเมื่อมีเหมิงซินอยู่เคียงข้าง นางก็ไม่มีอะไรจะขออีกแล้ว
ไม่มีใครคาดคิดมาก่อนว่าเหมิงหลิงหลงจะอ่อนแอมากหลังจากให้กำเนิดลูกจนกำลังจะตาย อีกทั้งยังคิดจะให้นางไปแทนที่ตัวเองด้วย
ในเวลานั้น หลังจากทราบความสัมพันธ์ระหว่างเหมิงซินและเหมิงกุ้ยเฟยแล้ว เหมิงพั่วก็ตกตะลึง แล้วออกจากดินแดนเหมิงไปด้วยความโศกเศร้า
เหมิงซินถูกประมุขเผ่าเหมิงและผู้อาวุโสสกุลหมิงจับตัวไว้ และกลายเป็นเบี้ยต่อรองที่ใช้ข่มขู่เหมิงกุ้ยเฟย
ผ่านไปไม่กี่ปี
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ผู้นำคนเก่าของอวี้เฟิงถังได้เสียชีวิตลง ผู้นำคนปัจจุบันซึ่งก็คือผู้นำหนิงเพิ่งเข้ารับตำแหน่ง และกำลังดำเนินการแก้ไขครั้งใหญ่ ดังนั้นเขาย่อมไม่มีเวลาสนใจคู่พี่น้องเหมิงซินที่หายตัวไปเป็นเวลาหลายปี
เมื่อพวกเขากลับมาที่อวี้เฟิงถังอีกครั้ง ก็บังเอิญช่วยผู้นำหนิงกำจัดปัญหาร้ายแรงในตอนนั้นได้ และนำข้อมูลสำคัญบางอย่างกลับมาด้วย
อีกทั้งข้อแก้ตัวที่คู่พี่น้องเหมิงซินนำมาอธิบายถึงการหายตัวไปหลายปีนั้นก็สมบูรณ์แบบ
หลังจากที่พวกเขากลับมาที่อวี้เฟิงถัง พวกเขาก็แสดงท่าทางอ่อนน้อมยิ่งนัก พวกเขาได้ช่วยเหลือผู้นำหนิงทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความซื่อสัตย์ และทักษะของพวกเขาก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดพวกเขาก็ได้รับตำแหน่งผู้พิทักษ์ฝ่ายขวา
ซึ่งวรยุทธ์ของเหมิงกุ้ยเฟย ก็ได้รับการถ่ายทอดมาจากคู่พี่น้องเหมิงซินนั่นเอง
เพียงแต่เหมิงกุ้ยเฟยไม่มีพรสวรรค์ด้านการฝึกวรยุทธ์มากนัก และสายเกินไปที่จะฝึกวรยุทธ์ อีกทั้งนางก็ไม่ได้อยู่ในวังมานานนัก ดังนั้นแม้ทักษะของนางจะไม่ใช่หมัดเท้าปักบุปผา* แต่ก็ไม่ได้ล้ำเลิศมากนัก
(* หมัดเท้าปักบุปผา (花拳绣腿) เป็นสำนวน หมายถึง เพลงมวยที่งดงามแค่กระบวนท่า ทว่าใช้การจริงไม่ได้)
ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อเหมิงกุ้ยเฟยถูกจับตัวเข้าไปในตำหนักอ๋องซิว นางจึงไม่รีบหลบหนี เพราะนางรู้ดีว่าแม้นางจะมีทักษะ แต่ก็เป็นเรื่องยากที่จะหนีออกจากตำหนักไปได้
ถ้านางถูกจับได้ ก็จะถูกเปิดโปงความจริงที่ว่านางมีวรยุทธ์
ดังนั้นนางจึงรอโอกาสที่จะได้พบเหมิงซิน เมื่อนางเห็นชายชุดดำจำนวนมากรายล้อมเหมิงซิน นางรู้สึกโล่งใจและรู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว
ดังนั้นเมื่อมีการแลกเปลี่ยนตัวประกัน นางจึงฉวยโอกาสต่อสู้กลับ ตอนที่ฟ่านผิงอวิ๋นเหม่อลอย
แม้ว่านางจะไม่มีกำลังภายใน แต่การเคลื่อนไหวของนางก็คล่องตัวยิ่งนัก ฟ่านผิงอวิ๋นไม่ได้คาดคิดว่านางจะมีความสามารถเช่นนี้ เขาจึงเกือบถูกนางเตะอย่างไม่ทันตั้งตัว
ทันใดนั้นอวี้ชิงลั่วก็นึกขึ้นได้ว่า “ไม่น่าแปลกใจเลย เมื่อข้าจับชีพจรของนาง ข้าก็รู้สึกว่านางไม่ได้แตกต่างจากคนทั่วไป ที่แท้นางก็ไม่มีกำลังภายในนี่เอง”
พูดอีกอย่างก็คือก็เหมือนกับตัวนางเอง
“ตอนนั้นข้ารู้สึกแปลกใจ เพราะยาที่ข้าให้เหมิงกุ้ยเฟยนั้น ผู้ที่มีวรยุทธ์สูงส่งจะไม่รู้สึกเจ็บปวดมากนักหลังจากได้รับยา” เช่นเดียวกับเย่ซิวตู๋ ถ้าใช้ยานั้นกับร่างกายของเขา อย่างมากเขาก็แค่หน้าซีดและรู้สึกใจสั่น
ในเวลานั้น นางปฏิบัติต่อเหมิงกุ้ยเฟยในฐานะสตรีวังหลังตามปกติ ยาที่นางใช้จึงย่อมมุ่งเป้าไปที่คนธรรมดา เมื่อเห็นว่าเหมิงกุ้ยเฟยหนีไปจากฟ่านผิงอวิ๋นได้ นางจึงคิดว่าเหมิงกุ้ยเฟยเป็นผู้มีวรยุทธ์ที่แข็งแกร่ง และกังวลว่ายาจะไม่ส่งผลกระทบต่อนางมากนัก
คาดไม่ถึงเลยว่านางยังคงเจ็บปวด
โชคดีที่วรยุทธ์ของเหมิงกุ้ยเฟยไม่ได้อยู่ในระดับสูงนัก ไม่เช่นนั้นต้องลำบากเป็นแน่
โชคดีที่นางเป็นคนแก้ปัญหาเรื่องเหมิงกุ้ยเฟย ไม่เช่นนั้นก็ไม่รู้ว่าเรื่องจะเป็นอย่างไรต่อไป
อวี้ชิงลั่วฝังเข็มให้ผู้นำหนิง จากนั้นยกมือออก แล้วหันไปขอพู่กันและกระดาษจากผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้าย เพื่อจะจ่ายยาให้เขา ก่อนจะลูบไหล่ที่เขาเจ็บ
ผู้นำหนิงเป็นคนฉลาดมาก เมื่อเห็นเช่นนั้น เขาก็รีบแสดงความขอบคุณทันที “วันนี้แม่นางชิงทำงานหนักมาก ขอบคุณมาก กลับไปต้องตอบแทน”
“ขอบคุณก็ส่วนขอบคุณ แต่สิ่งสำคัญที่สุดในตอนนี้ คือจัดการกับคนทรยศที่อยู่นอกเมืองเสียก่อน” อวี้ชิงลั่วนั่งลงบนเก้าอี้ด้วยรอยยิ้ม
ผู้นำหนิงอึ้งไปครู่หนึ่ง แล้วยกยิ้ม “ย่อมต้องเป็นเช่นนั้น มันเป็นความรับผิดชอบของอวี้เฟิงถังมาตั้งแต่แรก”
“อา ไม่ๆๆ นั่นไม่ใช่สิ่งที่ข้าต้องการจะสื่อ” อวี้ชิงลั่วยังคงยิ้ม ขณะมองผู้นำหนิงอย่างมีเลศนัย
ผู้นำหนิงไม่สามารถอธิบายได้ว่า เหตุใดเขาจึงรู้สึกขนหัวลุก เมื่อถูกหญิงคนนี้จ้องมองเป็นครั้งแรก
เขารู้สึกว่าเริ่มปวดบาดแผลบนร่างกาย และหันไปมองเย่ซิวตู๋
เย่ซิวตู๋แสร้งทำเป็นไม่เห็น และเริ่มจิบชาอย่างใจเย็นอีกครั้ง ราวกับจะบอกว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้อง นั่นไม่ใช่ธุระของเขา หากข้องใจอะไรก็ให้จัดการเอง เขาเพียงแค่เฝ้ามองอยู่ด้านข้าง และจะไม่ปล่อยให้ชิงเอ๋อร์กลายเป็นดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง*
(* ดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง (红杏出墙) เป็นสำนวน หมายถึง หญิงที่มีสามีแล้ว แต่ยังโปรยเสน่ห์แก่ชายอื่น)
ผู้นำหนิงเผลอขมวดคิ้ว “แม่นางชิง เช่นนั้น… เจ้าหมายความว่าอย่างไร”
“โอ้ ท่านแม่หมายความว่าท่านต้องฟังคำสั่งของท่านพ่อข้า เมื่อต้องรับมือกับคนทรยศนอกเมือง อ๊ะ ไม่สิ ทั้งอวี้เฟิงถังต้องฟังคำสั่งของพ่อข้าต่างหาก ท่านไม่เข้าใจเรื่องง่าย ๆ เช่นนี้หรือขอรับ?” หลังจากนั่งฟังมานาน หนานหนานที่แทบไม่มีโอกาสได้พูดรีบลุกขึ้นทันที เพื่อเตือนผู้นำหนิง
“…” ผู้นำหนิงอ้าปากค้าง
“…” ผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายเริ่มจ้องมองหนานหนานอีกครั้ง
หนานหนานแหงนหน้ามองเพดาน แล้วกะพริบตากลมโตอย่างไร้เดียงสา
จากนั้นเย่ซิวตู๋ก็วางถ้วยในมือลงอย่างสบาย ๆ แล้วพูดว่า “อันที่จริงการทำงานร่วมกันเพื่อจัดการกับคนทรยศเป็นสิ่งสำคัญมาก เนื่องจากเราร่วมมือกันก็ต้องจริงใจต่อกัน ข้าไม่ต้องการให้ทุกคนมีความเห็นต่างกัน เพราะความวุ่นวายภายนอกยังไม่ยุติ แต่ความขัดแย้งภายในกลับเกิดขึ้น ในเมื่อผู้นำหนิงเป็นผู้นำ ผู้นำหนิงก็ควรรับผิดชอบหน้าที่ในการเป็นผู้บังคับบัญชา แต่ตอนนี้ผู้นำหนิง… ได้รับบาดเจ็บสาหัส จึงต้องให้ภรรยาของข้าคอยตรวจอาการและรักษา ไม่เหมาะกับการทำงานหนักจริง ๆ ดังนั้นเปิ่นหวางจึงต้องจำยอมรับภาระนี้ให้”
“…” ผู้นำหนิงและผู้พิทักษ์ฝ่ายซ้ายสบถในใจเป็นหมื่นคำ จะมีใครไร้ยางอายไปกว่าสามคนพ่อแม่ลูกนี้หรือไม่?
……………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อ้าว เคลมตำแหน่งหน้าที่ให้ตัวเองเฉยเลยท่านอ๋อง
หากบอกว่าการกระทำแบบนี้ไร้ยางอายแล้ว นี่ยังน้อยค่ะสำหรับครอบครัวนี้
ไหหม่า(海馬)