อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 1073 ส่งเสด็จท่าน
ตอนที่ 1073 ส่งเสด็จท่าน
ตอนที่ 1073 ส่งเสด็จท่าน
ทว่าเมื่อเขากระโจนเข้าไปได้ก้าวเดียว โซ่ที่อยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขาก็ตึงขึ้น และกระตุกหยุดฝีเท้าของเขาไว้ทันที
อดีตไท่จื่อออกแรงมากเกินไป จึงพลันล้มลงกับพื้น
เย่ซิวตู๋หัวเราะเยาะโดยไม่แม้แต่จะมองเขา ก่อนหันไปปิดประตู
จากนั้นจึงเดินช้า ๆ ไปฝั่งตรงข้าม เปิดหน้าต่างสองบานให้ลมจากภายนอกพัดเข้ามา
กลิ่นสาบในห้องอ่อนจางลงมากในทันที
เมื่อเห็นท่าทางนิ่งสงบและสบายอารมณ์เช่นนั้น เส้นเลือดบนหน้าผากของอดีตไท่จื่อก็เริ่มปูดโปน ขณะกัดฟันกำหมัดแน่นขึ้นเรื่อย ๆ
แต่ไม่ว่าเขาจะออกแรงพุ่งตัวไปมากเพียงใด โซ่เหล็กก็จะพันธนาการเขาไว้เสมอ เขาอยู่ห่างจากเย่ซิวตู๋เพียงครึ่งแขน แต่ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าได้อีกต่อไป
อดีตไท่จื่อเริ่มโมโหมากขึ้นเรื่อย ๆ “เย่ซิวตู๋ มานี่สิ มานี่ ข้าจะฆ่าเจ้า ถ้าเจ้ามีความสามารถก็อย่าหนี อย่าเอาแต่หนี เจ้าคนสารเลว เจ้าขังเปิ่นไท่จื่อไว้ที่นี่ตั้งนาน เจ้าต้องตายอย่างทุกข์ทรมาน”
ในที่สุดเย่ซิวตู๋ก็หาพื้นที่ยื่นที่เหมาะสมได้ จากนั้นก็มายืนอยู่หน้าอดีตไท่จื่อ และเริ่มมองอย่างระมัดระวัง
อาจเป็นเพราะไม่ได้เจอเขามานาน ตั้งแต่ถูกขังอยู่ที่นี่ เย่ซิวตู๋ก็มาปรากฏตัวเพียงครั้งเดียวและไม่เคยสนใจเขาอีก
เมื่อมองเขาตอนนี้ก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ เขาดูไม่มีสง่าราศีอีกต่อไป ผมเผ้ารุงรัง ท่าทางดุร้ายป่าเถื่อน
แต่น้ำหนักกลับไม่ได้ลดลงมากนัก
เมื่อสักครู่นี้เหวินเทียนน่าจะโกหกต่อหน้าคนนอก ด่าทองั้นหรือ? เฮ้อ ตั้งแต่อดีตไท่จื่อถูกคุมขัง เขาก็เริ่มแช่งชักหักกระดูกคนอื่น
แต่ทุกครั้งที่เขาด่าใครสักคน เขาจะถูกทุบจนหมดสติไปและไม่ได้กินข้าวด้วยซ้ำ
อดีตไท่จื่อเป็นใคร? เขาจะทนหิวได้อย่างไร โดนทุบตีไปสองสามครั้ง เขาก็ไม่กล้าด่าอีก
ตอนนี้เขาถูกจองจำเป็นเวลานาน จึงถูกลงโทษหลายรอบแล้ว จนไม่กล้าแช่งชักหักกระดูกใครอีก
คาดไม่ถึงว่าเมื่อได้เจอเย่ซิวตู๋ตอนนี้ เขาจะกลับมามีความกล้าอีกครั้ง เปิดปากด่าทออย่างรุนแรงยิ่ง
แต่นั่นก็ไม่เป็นไร เขาคงตะโกนได้อีกไม่นาน
เย่ซิวตู๋ดึงเก้าอี้จากด้านข้างมานั่งลงตรงข้ามเขาอย่างสงบ เมื่อเห็นอดีตไท่จื่อขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน เขาก็ยกยิ้มและพูดช้าๆ ว่า “วันนี้เสด็จพ่อออกคำสั่งแต่งตั้งไท่จื่อองค์ใหม่”
ร่างของอดีตไท่จื่อที่ยังคงพยายามกระโจนมาข้างหน้า หยุดนิ่งไปกะทันหันด้วยความตกตะลึงโนเวล-พีดีเอฟ
เย่ซิวตู๋ยังคงหัวเราะ “ท่านรู้หรือไม่ว่าไท่จื่อองค์ใหม่คือใคร?”
อดีตไท่จื่อราวกับถูกแทงใจดำ เขาพยายามดึงโซ่ที่ข้อเท้าออกอย่างรุนแรง และคำรามด้วยความโกรธเกรี้ยว “เจ้าไง เจ้าเอง เจ้าช่างมักใหญ่ใฝ่สูงเสียจริง เจ้าพยายามอย่างเต็มที่เพื่อดึงข้าออกจากตำแหน่ง ในที่สุดเจ้าก็สมความปรารถนาแล้วไม่ใช่หรือ? เจ้าจะไม่ตายดี ไม่ตายดีแน่”
“ครั้งนี้ท่านคิดผิดแล้ว ไท่จื่อไม่ใช่ข้า”
รูม่านตาของอดีตไท่จื่อหดตัวลง ไม่ใช่เย่ซิวตู๋หรือ? ถ้าไม่ใช่เขา แล้วจะเป็นใครเล่า?
เขาจ้องเย่ซิวตู๋เขม็งและกำมือแน่น “ใคร ใครกัน?”
“โอรสของท่าน เย่หลานเฉิง” เย่ซิวตู๋หัวเราะด้วยความสาแก่ใจ
“ฟึ่บ…” ทันใดนั้นอดีตไท่จื่อก็ล้มลงกับพื้น ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
ได้อย่างไรกัน? จะเป็นหลานเฉิงไปได้อย่างไร? จะเป็นเขาได้อย่างไร?
เสด็จพ่อให้ตำแหน่งไท่จื่อแก่เขาได้อย่างไร? เหตุใดเรื่องเช่นนี้จึงเกิดขึ้นได้
เย่ซิวตู๋นั่งไขว่ห้าง สะบัดชายเสื้อ แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เสด็จพ่อกับข้าคาดหวังในตัวหลานเฉิงมากมาตั้งแต่แรก หลานเฉิงเหมาะสมกับตำแหน่งนั้นมากที่สุด พี่รอง… หลานเฉิงเหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากกว่าท่าน ท่านรู้หรือไม่?”
อดีตไท่จื่อเบิกตากว้าง ราวกับว่าเขาไม่สามารถแยกแยะข้อเท็จจริงนี้ได้ชั่วขณะหนึ่ง เขาอ้าปากค้างแต่พูดไม่ออก
“พี่รอง ท่านช่างโง่เขลาเสียจริง หากท่านเชื่อฟังพี่สะใภ้รองเสียตั้งแต่แรก รู้จักสงบเสงี่ยมและมีความยับยั้งชั่งใจ บางทีตอนนี้ท่านก็น่าจะยังเป็นไท่จื่อ แม้เสด็จพ่อจะไม่คิดว่าท่านเป็นผู้มีพรสวรรค์ในการปกครองอาณาจักร แต่เพื่อหลานเฉิงที่เป็นโอรสของท่าน บัลลังก์ก็จะเป็นของท่านอยู่ดี แม้จะไม่เป็นเช่นนั้น ท่านก็จะได้เป็นฮ่องเต้อย่างสบายและมั่นคง ด้วยนิสัยของหลานเฉิง เขาย่อมเคารพท่าน แม้ว่าเขาจะได้เป็นฮ่องเต้ในอนาคต เขาก็จะยังเชื่อฟังท่าน และท่านก็จะยังคงได้เป็นฮ่องเต้อยู่เบื้องหลัง”
“น่าเสียดายที่พี่รองไม่รู้จักใช้คนให้ถูกกับงาน ไม่รู้จักทะนุถนอมภรรยาและลูก หากท่านไม่สมรู้ร่วมคิดกับองค์ชายเจ็ด ไม่ใช้พี่สะใภ้รองมาข่มขู่หลานเฉิง และไม่ตัดนิ้วพี่สะใภ้รอง เท่านี้ท่านก็จะมีชีวิตที่มีความสุข ได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัว”
“พี่รอง บัลลังก์เป็นของพี่ตั้งแต่แรกแล้ว เป็นตัวท่านที่ผลักมันออกไปเอง”
อดีตไท่จื่อรู้สึกหายใจลำบาก เขาเป็นคนผลักบัลลังก์ออกไปเองอย่างนั้นหรือ? บัลลังก์เป็นของเขามาตั้งแต่แรกแล้วงั้นหรือ?
เป็นไปได้อย่างไร? เป็นไปได้อย่างไร?
“แล้วหลานเฉิงเล่า? หลานเฉิงอยู่ที่ใด? ข้าอยากพบหลานเฉิง เขากตัญญูมาก เขาจะกตัญญูต่อข้าและเชื่อฟังคำพูดของข้า” ทันใดนั้นอดีตไท่จื่อก็คว้าแขนเสื้อของเย่ซิวตู๋ด้วยความลนลาน และถามอย่างกระตือรือร้น
เย่ซิวตู๋หัวเราะ “ท่านคิดว่าหลังจากที่ท่านทำผิดมามากมาย หลังจากที่ท่านทำร้ายหลานเฉิง เขาจะยังมาหาท่านอีกหรือ?”
“ไม่มีทาง ไม่มีทาง ข้าเป็นพ่อของเขา เขาจะมาหาข้า ตอนนี้เขาเป็นไท่จื่อแล้ว เขาเป็นไท่จื่อ” อดีตไท่จื่อรู้สึกเจ็บแปลบในศีรษะ สมองของเขาเต็มไปด้วยความคิดที่ยุ่งเหยิง สับสนอลหม่าน ทำให้รู้สึกอึดอัดยิ่งนัก
คำว่า ‘ไท่จื่อ’ เป็นดั่งคำต้องสาปที่ถูกสลักเอาไว้กลางหัวใจของเขา
บัลลังก์อยู่ใกล้เขามาก ใกล้เขามากเหลือเกิน
แม้ว่าเขาจะถูกปลด แต่โอรสของเขากลับได้เป็นไท่จื่อ แล้วเขาจะทำทุกสิ่งก่อนหน้านั้น ถึงขั้นยอมสู้จนตัวตายไปเพื่ออะไร?
ตั้งแต่ต้นจนจบ แม้เขาจะไม่ทำอะไรเลย ตำแหน่งไท่จื่อก็อยู่ในมือของเขาเสมอมา แล้วเขาต่อสู้ไปเพื่ออะไร? สู้เพื่ออะไร?
เย่ซิวตู๋ยิ้มเยาะ “ท่านจะไม่มีโอกาสได้พบเขา และไม่มีโอกาสพบใครเลย”
ทันใดนั้นอดีตไท่จื่อก็เงยหน้าขึ้นจ้องมองเขา “เจ้า เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้าหมายความว่าอย่างไร? เจ้ากำลังจะฆ่าข้าหรือ?”
“ท่านทำหลายสิ่งหลายอย่างมามากพอแล้ว ตายไปก็ไม่น่าเสียดาย”
“ไม่ได้!” อดีตไท่จื่อตะโกน “ข้าเป็นพ่อของไท่จื่อ ข้าเป็นพ่อของฮ่องเต้ในอนาคต เรามีสายเลือดเดียวกัน ถ้าเจ้าฆ่าข้า เขาจะล้างแค้นให้ข้าในอนาคต เขาจะบดขยี้เจ้าให้เป็นเถ้าถ่าน ใช่แล้ว และยังมีเสด็จแม่กับไทเฮาด้วย พวกนางจะไม่ปล่อยเจ้าไป พวกนางจะไม่ปล่อยเจ้าไป”
เย่ซิวตู๋ยิ่งนึกเย้ยหยัน พ่องั้นหรือ? เขาไม่ได้บอกว่าเย่หลานเฉิงไม่ใช่ลูกชายของเขาหรือ? ตอนนี้กลับยอมรับเต็มปากเต็มคำหรือ?
“ไม่ต้องห่วง ข้าไม่ฆ่าท่านหรอก”
อดีตไท่จื่อตกตะลึงไปครู่หนึ่ง นัยน์ตาของเขาฉายแววปีติยินดี “เช่นนั้นเจ้าก็ปล่อยข้าไป ปล่อยข้าไปเร็ว ๆ ข้าจะไปหาลูกชายของข้า”
เย่ซิวตู๋ส่ายหน้า “ข้าจะไม่ฆ่าท่าน แต่มีคนต้องฆ่าท่าน”
เมื่อพูดจบเขาก็เปิดประตูห้อง แสงไฟสาดส่องเข้ามา ชายที่ติดตามเย่ซิวตู๋เดินเข้ามาช้า ๆ พร้อมกับถาดในมือ
อดีตไท่จื่อหรี่ตาลง เขายังมองเห็นไม่ชัดจนกระทั่งประตูปิดลงอีกครั้ง แต่วินาทีต่อมา รูม่านตาของเขาก็หดลง และรีบถอยหลังไปสองก้าวทันที “เจ้า เจ้าคือตู้กงกงหรือ?”
“กระหม่อมทำตามพระเสาวนีย์ของไทเฮา ด้วยการมาถวายสุราแด่องค์ชายรอง และส่งเสด็จองค์ชายรองพ่ะย่ะค่ะ”
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
โง่มานานยันวินาทีสุดท้ายเลยนะไท่จื่อ
ไหหม่า(海馬)