อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 1080 เหลวไหลเกินไป
ตอนที่ 1080 เหลวไหลเกินไป
ตอนที่ 1080 เหลวไหลเกินไป
หลีจื่อฟานตกตะลึง จากนั้นก็ยิ้มอย่างมีเลศนัย “ข้ารู้ว่าเจ้าแตกต่างจากเมื่อก่อน เจ้าแข็งแกร่งและฉลาดกว่าที่เคย เจ้าทนทุกข์มามากในช่วงหกปีที่ผ่านมา ข้ารู้ทุกอย่าง”
“ข้าไม่ได้หมายความอย่างนั้น” อวี้ชิงลั่วกังวล “ใช่ หกปีที่แล้วข้าถูกทำร้ายจริง แต่ไม่ว่าผลกระทบจะหนักหนาเพียงใด มันจะสามารถเปลี่ยนบุคลิกของคนคนหนึ่งได้ทั้งหมดหรือ? มันจะทำให้คนๆ หนึ่งลืมทักษะเดิมทั้งหมดได้หรือ? มันจะทำให้ทักษะทางการแพทย์ดีขึ้นอย่างกะทันหันโดยที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยได้หรือ? มันจะทำให้ความรู้สึกที่มีต่อคนๆ หนึ่งหายไปอย่างสิ้นเชิงได้หรือ? มันสามารถเปลี่ยนพฤติกรรม หรือแม้แต่นิสัยของคนๆ หนึ่งได้ทั้งหมดหรือ?”
หลีจื่อฟานตกตะลึง เขาย่อมคิดเรื่องเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ว่า แต่ว่า… นางคือชิงลั่วชัด ๆ
“แต่เจ้ามีไฝข้างหู ข้าจำได้ เจ้าเกลียดจั้วหลินมาก และเจ้าปฏิบัติต่ออวี้เป่าเอ๋อร์อย่างดีถึงเพียงนี้ แล้วเจ้าจะไม่ใช่ชิงลั่วได้อย่างไร?”
อวี้ชิงลั่วเริ่มปวดหัวกว่าเดิม นาง นางควรอธิบายเรื่องนี้อย่างไร?
“หลีจื่อฟาน หนานหนานบอกว่าท่านมีกระเป๋าที่ปักลายอย่างประณีตใช่หรือไม่? ลายปักบนนั้นต้องงดงามมากใช่หรือไม่?”
หลีจื่อฟานพยักหน้าด้วยความงุนงง “นั่นคือสิ่งที่เจ้า… ทำให้ข้าในตอนนั้น”
อวี้ชิงลั่วส่ายหัว แล้วหยิบผ้าเช็ดหน้าผืนเล็ก ๆ ออกมาจากแขนเสื้อ บนนั้นมีลายดอกไม้ปักอยู่ เป็นดอกไม้ที่ดูยุ่งเหยิงจนยากที่จะบอกได้ว่ามันคือดอกอะไร
นางยื่นผ้าเช็ดหน้าให้เขาและพูดว่า “นี่คือผ้าเช็ดหน้าที่ข้าปักเมื่อวาน”
สายตาของหลีจื่อฟานเคลื่อนลงมาช้า ๆ และจ้องไปยังงานปักบนผ้าเช็ดหน้า
รูม่านตาของเขาหดลงทันที และทันใดนั้นเขาก็หยิบกระเป๋าเงินออกมา พบว่าระดับความชำนาญในการปักช่างต่างกันโดยสิ้นเชิง วิธีเดินเข็มต่างกันโดยสิ้นเชิง แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ถ้าบอกว่าสองสิ่งนี้ปักโดยคนๆ เดียวกัน คงไม่มีใครเชื่อ
“เจ้า……”
“หลีจื่อฟาน ข้าบอกได้แค่ว่าอวี้ชิงลั่วที่ท่านรักน่ะตายไปแล้ว นางตายไปแล้วจริง ๆ ก็จริงอยู่ที่ว่าข้าคืออวี้ชิงลั่วด้วย ร่างกายของข้าคืออวี้ชิงลั่ว แต่ข้าเป็นอวี้ชิงลั่วที่ไม่รู้จักท่านสักนิด อวี้ชิงลั่วที่ไม่ได้อาศัยอยู่ในบ้านสกุลอวี้ อวี้ชิงลั่วที่ไม่เคยมีความสัมพันธ์กับท่าน ข้าปฏิบัติต่ออวี้เป่าเอ๋อร์อย่างดีเพราะเขาเป็นน้องชายของข้า ส่วนที่ข้าเกลียดอวี๋จั้วหลินก็เพราะเขาทำร้ายข้า”
สิ่งที่นางพูดนั้นซับซ้อนมาก จนบางทีนางอาจไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองกำลังพูดถึงอะไร
แต่หลังจากที่หลีจื่อฟานได้ยิน ใบหน้าของเขาก็ซีดลงทันที เขาจ้องมองนางด้วยสายตาว่างเปล่า ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
หลังจากนั้นไม่นาน มุมปากของเขาก็เผยอออกเล็กน้อย ขณะถามด้วยน้ำเสียงที่ค่อนข้างไม่แน่ใจ “เจ้า… หมายความว่าอย่างไร?”
“ท่านฉลาดมากอยู่แล้ว น่าจะเข้าใจได้ใช่หรือไม่?” อวี้ชิงลั่วมองหน้าเขา และรู้ว่าเขามีความคิดที่คลุมเครืออยู่ในใจแล้ว
หลีจื่อฟานถอยหลังไปสองก้าว ขณะพยายามฝืนยิ้ม แต่ก็พบว่าเขาทำไม่ได้
เขาส่ายศีรษะอย่างแรง “มัน มันเป็นไปไม่ได้ เหลวไหลเกินไป เหลวไหลเกินไป เรื่องเช่นนี้จะเกิดขึ้นในโลกได้อย่างไร? เป็นไปไม่ได้”
“บางทีข้าก็ยังคิดว่าเรื่องนี้เหลวไหลมาก และข้าก็ยังรู้สึกว่ามันไม่จริงเลยสักนิด” อวี้ชิงลั่วหัวเราะ ตอนที่นางมาโลกนี้ครั้งแรก นางก็คิดว่ามันเป็นความฝัน
เมื่อนางตื่นขึ้นก็ต้องเผชิญกับภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออกของการมีลูก ความคิดเดียวในใจของนางตอนนั้นคือการคลอดลูก
หลังจากมองเห็นเด็กที่เกิดมาจากความพยายามของนาง และเห็นรูปร่างที่อ่อนแอของเขา นางก็คิดอย่างเดียวว่าต้องรักษาเขาไว้ รักษาเขาไว้ให้ได้
หลังจากนั้นไม่นานนางก็เป็นแบบนี้ นางใช้เวลาแยกแยะและปรับตัว แต่เพราะมีหนานหนานอยู่ นางจึงรวมเข้ากับโลกนี้ได้อย่างรวดเร็ว
เมื่อมองย้อนกลับไปก็พบว่าที่นี่ค่อนข้างดีทีเดียว อย่างน้อยในโลกนี้นางก็มีญาติที่ผูกพันกันด้วยเลือดเนื้อเชื้อไข ไม่ใช่เด็กกำพร้าอีกต่อไป ไม่ใช่คนเก่งยุคใหม่ที่รู้เพียงวิธีก้มหน้าก้มตาเรียนแพทย์ และถูกทุกคนมองด้วยสายตาแปลกแยกและอิจฉา
“ตอนแรกข้ายังรู้สึกว่าสวรรค์เล่นตลกกับข้า แต่ตอนนี้เห็นทีจะเล่นตลกนานเกินไปแล้ว”
อวี้ชิงลั่วยิ้มอย่างมีเลศนัย แล้วหันไปมองหลีจื่อฟาน
ดวงตาของเขาเบิกกว้าง สีหน้าของเขาตกใจระคนตกตะลึง และยังไม่ฟื้นคืนสติดี
หลังจากนั้นไม่นาน จู่ ๆ เขาก็หันหลังให้นาง แล้วจ้องมองที่ชั้นวางหนังสือตรงหน้าโดยไม่พูดอะไรสักคำ
อวี้ชิงลั่วอ้าปากเล็กน้อย แต่ก็ไม่ได้ส่งเสียง เพราะคิดว่าหลีจื่อฟานต้องการเวลาในการครุ่นคิด
แต่หลังจากนั้นไม่นาน นางก็เหลือบไปเห็นหลีจื่อฟานยักไหล่เล็กน้อย ซึ่งมันดูเล็กน้อยมาก ถ้านางไม่ดูให้ดี นางก็จะไม่รู้เลย
นางยังคงไม่ส่งเสียง แต่ในใจนึกกังวลเล็กน้อย
ภายในห้องตำราเงียบสงัด เหลือเพียงเสียงลมหายใจของทั้งสอง
เสียงฝีเท้าแผ่วเบาดังขึ้นด้านนอกประตู ดูเหมือนว่าจะมีคนรับใช้เดินผ่านไปไม่ไกล และไม่นานก็ผ่านไป
ไม่นานนัก เสียงฝีเท้าก็ดังขึ้นอีกครั้ง และยังคงผ่านไปอย่างรวดเร็ว
เมื่ออวี้ชิงลั่วได้ยินเสียงฝีเท้าเป็นครั้งที่ห้า เวลาก็ผ่านไปครึ่งชั่วยามแล้ว ก่อนที่เสียงแหบพร่าของหลีจื่อฟานจะดังขึ้น
“…เหตุใดเจ้าถึงบอกเรื่องนี้แก่ข้า? ทำให้ข้ารู้สึกว่าชิงลั่วยังมีชีวิตอยู่ ให้ความหวังริบหรี่แก่ข้า… ไม่ได้หรือ?”
“ไม่ได้” อวี้ชิงลั่วตอบอย่างหนักแน่น “ท่านทำมามากพอแล้ว อวี๋จั้วหลินตายแล้ว และแค้นของนางก็ได้รับการชำระแล้วเช่นกัน สิ่งที่ท่านต้องทำในตอนนี้คือพักผ่อนให้สบาย ถ้าท่านยังคิดว่าข้าคือคนในหัวใจของท่าน ท่านก็จะหยุดไม่ได้ แล้วร่างกายก็จะพัง”
หลีจื่อฟานหัวเราะโดยยังคงหันหลังให้นาง “แต่ตอนนี้ข้าไม่มีความหวังแล้ว บางทีข้าอาจไม่มีความสนใจในชีวิตแล้วจริง ๆ”
“ท่านจะสิ้นหวังได้อย่างไร? ท่านยังอายุน้อยและมีหนทางอีกยาวไกล ท่านไม่ได้บอกหรือว่าการเป็นขุนนางนั้นดี? ท่านสามารถช่วยคนได้มากมาย ในบรรดาคนเหล่านี้ก็มีคนที่ถูกทำร้ายเหมือนกับอวี้ชิงลั่ว ข้าคิดว่าท่านคงไม่อยากให้โศกนาฏกรรมที่อวี้ชิงลั่วเคยเผชิญต้องเกิดขึ้นอีกใช่หรือไม่?”
หลีจื่อฟานชะงักไปครู่หนึ่ง และในที่สุดก็หันกลับมา เขามองอวี้ชิงลั่วแล้วขมวดคิ้วเล็กน้อย “เจ้าแค่บอกให้ข้าพักผ่อน”
“ท่านเป็นขุนนาง ย่อมสามารถพักผ่อนได้ ตราบใดที่ไม่ใช่การทำเพื่อข้า ท่านก็ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้มากเกินไป แค่ต้องทำสิ่งที่ท่านคิดว่าควรทำ”
หลีจื่อฟานพูดไม่ออกอยู่ครู่หนึ่ง มองอวี้ชิงลั่วด้วยสายตาแน่วแน่
ใช่แล้ว มันแตกต่างกัน ดวงตาของนางแตกต่างจากนางมาก นิสัยใจคอก็ต่างกัน แม้แต่สิ่งที่พวกนางสนใจก็แตกต่างกันด้วย
เป็นเพียงว่านางยังคงเป็นชิงลั่ว ชิงลั่วที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง แต่ไม่ใช่ของเขาอีกต่อไป
นางพูดถูก เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อหกปีที่แล้วก่อปมในใจของเขา เขาไม่ต้องการให้โศกนาฏกรรมเช่นนี้เกิดขึ้นต่อไป เขาไม่ต้องการให้คนที่เป็นเหมือนชิงลั่วไม่มีทางร้องขอความช่วยเหลือในขณะถูกตามล่าในสถานที่อย่างเมืองหลวง
หลีจื่อฟานสูดหายใจเข้าลึก ๆ แล้วมองอวี้ชิงลั่วอีกครั้ง “จะว่าไปแล้ว ท่านอ๋องซิวรู้เรื่องนี้หรือไม่?”
………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ถึงเวลาปล่อยมือแล้วค่ะท่านเสนาบดีฝั่งขวา ท่านกับนางมีวาสนาร่วมกันแค่นี้
ไหหม่า(海馬)