อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 11 คำถามอะไร
ตอนที่ 11 คำถามอะไร
คนที่ยืนอยู่กลางห้องโถงใหญ่ต่างมีร่างแข็งทื่อโดยไม่ได้ตั้งใจ ส่วนบุรุษที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย น้ำเสียงเคร่งขรึมลงหลายส่วน “เข้ามา”
“นายท่าน ท่านเผิงได้รับบาดเจ็บสาหัส เกรงว่า…” ด้านนอกมีบุรุษชุดดำวิ่งเข้ามาด้วยใบหน้าหดหู่ และตกอยู่ในช่วงเวลาคับขันอย่างยิ่งยวด ด้านหลังของเขามีบุรุษตามมาอีกราวสี่ห้าคนกำลังแบกเปลหาม บนเปลมีร่างของเผิงอิงที่นอนเลือดอาบอยู่
สีหน้าของเสิ่นอิงเปลี่ยนไปในทันที เขาเร่งฝีเท้าก้าวไปยืนข้าง ๆ เผิงอิง เมื่อเห็นใบหน้าดำอึมครึมและร่างกายเปื้อนเลือดของอีกฝ่าย รูม่านตาจึงหดเล็กลงอย่างห้ามไม่อยู่ เขารีบหันมาตะโกนเรียกอูตง “รีบมาดูอาการเขาเร็วเข้า”
เปลหามถูกวางลงบนพื้นอย่างรวดเร็ว สีหน้าของอูตงเปลี่ยนเป็นดูมิจืดถึงขีดสุด นางแหวกเสื้อที่เปื้อนเลือดบนตัวของเผิงอิงโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง มองเพียงปราดเดียวก็ถึงกับสูดลมเย็นเข้าปากอย่างห้ามมิอยู่ “นี่มัน…”
อวี้ชิงลั่วยืนห่างออกไปสามก้าว เหลือบมองปราดหนึ่งก่อนเบนสายตากลับมา นางเห็นบาดแผลของบุรุษที่มีนามว่าเผิงอิงได้อย่างชัดเจนแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นบาดแผลที่ถูกแทงด้วยมีดสั้น ตอนนี้มีดสั้นเล่มนั้นยังปักอยู่บนร่างกายของเขา และอยู่ใกล้กับจุดสำคัญมาก ซึ่งคนอื่นๆ ก็ไม่กล้าลงมือดึงมีดสั้นออกมา
ทว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ บุรุษผู้นี้โดนยาพิษ
อวี้ชิงลั่วหลุบตาลงเล็กน้อย มุมปากกระตุกขึ้นขณะมองอูตงด้วยสายตาเย้ยหยัน ลูกศิษย์ของหมออาวุโสฉงซานอย่างนั้นเหรอ? นางเองก็สงสัยทักษะทางการแพทย์ของอีกฝ่ายมาก ตอนนี้จะได้สังเกตการณ์ ณ ที่แห่งนี้แล้ว
ระหว่างที่คิดเช่นนี้ เท้าของอวี้ชิงลั่วก็ขยับไปด้านหน้าเล็กน้อย
ทันทีที่นางขยับตัว ก็รู้สึกได้ถึงสายตาเย็นชาที่พุ่งเข้าหานางจากทิศใดสักแห่ง
อ๋อ นางลืมไปได้อย่างไรกัน ด้านหลังม่านนั่น ยังมีนายท่านนั่งอยู่อีกคนนี่นา
เมื่อเห็นว่าห้องโถงแห่งนี้เย็นวาบราวเข้ามาอยู่ในโรงน้ำแข็ง ก็ทราบได้ว่าบัดนี้อารมณ์ของนายท่านผู้นี้ต้องอึมครึมมากแน่นอน คิดว่าบุรุษที่ชื่อเผิงอิงผู้นี้ น่าจะเป็นลูกสมุนที่มีความสำคัญกับเขามาก
มุมปากของอวี้ชิงลั่วกระตุกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ รอยยิ้มก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
“ว่าอย่างไร?” เสิ่นอิงหันมองอูตงด้วยความประหม่า สายตาที่มองนางเต็มไปด้วยความรอคอย เมื่อเห็นท่าทางของเผิงอิงที่ลมหายใจเริ่มผะแผ่ว กล้ามเนื้อทุกส่วนบนร่างกายก็ยิ่งบีบรัดมากขึ้น
มือขวาของอูตงค่อย ๆ กำเข้าหากัน ผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงก้มหน้าลงและส่ายหน้าอย่างหนัก “พิษฝังลึกเกินไป สถานการณ์ร้ายแรงมิอาจช่วยกลับมาได้แล้ว”
“เจ้าพูดจาเหลวไหลอะไร?” เสิ่นอิงคว้าแขนของอูตง ทั้งยังตะคอกใส่นางด้วยใบหน้าเหี้ยมโหด “แม้แต่มีดสั้นเจ้ายังไม่ดึง ยาถอนพิษก็ยังไม่ได้ใช้ เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าช่วยกลับมาไม่ได้?”
อูตงถูกบีบแขนจนเจ็บ นางเองก็หงุดหงิดขึ้นมา จึงสะบัดมือของเขาออกและตะโกนเสียงดังว่า “ใครกันแน่ที่เป็นหมอ ข้าบอกว่ารักษาไม่ได้ก็คือรักษาไม่ได้ เจ้าตะคอกใส่ข้าจะมีประโยชน์อันใด? ดึงมีดออกมามีแต่จะทำให้เขาเจ็บปวดมากขึ้น สู้ให้เขาจากไปอย่างสงบแบบนี้ยังจะดีเสียกว่า อีกอย่างพิษที่อยู่บนร่างกายของเขาก็กระจายไปทั่วอวัยวะภายในแล้ว ต่อให้ข้าใช้ยาถอนพิษตอนนี้ ก็ไม่ทันแล้ว”
“ต่อให้ช่วยไม่ทัน เจ้าเองก็ควรลองก่อน เจ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง แต่ยืนมองเขาจากไปเช่นนี้ เจ้าเป็นหมอประสาอะไร?”
“ข้าไม่ทำอะไรสักอย่าง? เสิ่นอิง เจ้าอย่าทำตัวได้คืบจะเอาศอกกับข้าไปหน่อยเลย ข้าคือลูกศิษย์ของหมออาวุโสฉงซาน ข้ามาที่จวนโม่แห่งนี้เพียงแค่ต้องการดูแลนายท่านเพียงคนเดียวเท่านั้น ตอนนี้ลูกสมุนในจวนโม่ของพวกเจ้ากลับมาให้ข้ารักษา รักษาได้ไม่ดีก็ชี้หน้าตำหนิข้า เจ้ามีสิทธิ์อะไร?”
“เจ้า…” เสิ่นอิงใบหน้าแข็งทื่อ เขาถลึงตามองอูตงที่อยู่ตรงหน้า แต่กลับพูดอะไรมิออกแม้แต่คำเดียว
ก็จริงอย่างที่นางว่า ตอนแรกที่อูตงมาที่นี่นางตกลงที่จะดูแลนายท่านเพียงคนเดียว ต่อให้นางไม่ช่วยเผิงอิงก็เป็นเรื่องที่สมเหตุสมผล ทว่า พวกเขาต่างก็อยู่กับนางมานานขนาดนี้ ยอมทำตามคำร้องขอของนางมาโดยตลอด แม้แต่จะให้ไปที่ขอบหน้าผาเพื่อไปเก็บสมุนไพรในป่าหิน ขอแค่นางเอ่ยปากลั่นวาจา พวกเขาก็ยินดีไปทำแทนนางโดยไม่พูดพร่ำทำเพลงและไม่ปฏิเสธ
ตอนนี้ เผิงอิงคนที่เป็นสหายที่ดีที่สุดของนางได้รับบาดเจ็บสาหัส นางกลับไม่แม้แต่จะพยายามช่วยเหลือเขา แม้กระทั่ง…ก่อนหน้านี้นางก็ขีดเส้นกั้นระหว่างตนเองและพวกเขาอย่างชัดเจน ลูกสมุนของจวนโม่? เหอะ แม้แต่นายท่านยังไม่เคยเรียกพวกเขาว่าเป็นลูกสมุนของจวนโม่เลยด้วยซ้ำ แต่อูตงกลับวางตัวเสียสูงส่ง
อูตงเห็นว่าเขาไม่พูดอะไร จึงเชิดคางขึ้นเล็กน้อย คิดว่าความโกรธที่ได้รับในวันนี้ได้ระบายออกมาแล้ว ภายในใจก็รู้สึกได้ถึงความสมดุลไม่น้อย
“เสิ่นอิง หากเจ้ายังเป็นสหายของเผิงอิง ข้าแนะนำว่าเจ้ารีบไปเตรียมงานศพให้เขาโดยเร็วเถิด เขาเหลือเวลาอีกประมาณสองชั่วยามแล้ว”
“พรืด…” อวี้ชิงลั่วกล้าสาบานได้เลยว่านางไม่ได้ตั้งใจเปล่งเสียงหัวเราะเย้ยหยันที่ชัดเจนแบบนี้ออกมาจริง ๆ เพียงแต่เมื่อเห็นเรื่องตลกนี้ นางก็อดใจไม่ไหว
สายตาของอูตงทอดมองมาที่นางทันที “เจ้าหัวเราะอะไร?”
“อ๋อ ขออภัยด้วย ข้าก็แค่คิดว่า ลูกศิษย์ของหมออาวุโสฉงซานมีปัญญาแค่นี้เองหรอกหรือ”
“เจ้าว่าอะไรนะ?”
อวี้ชิงลั่วชี้ไปยังเผิงอิงที่กำลังนอนอยู่บนเปลและใกล้จะหมดลมจริง ๆ “เจ้าไม่เข้าใจที่ข้าพูดหรือ? งั้นข้าจะอธิบายให้เจ้าเข้าใจสักหน่อย คนผู้นี้ เดิมทียังช่วยเหลือได้ แต่เมื่อมาถึงมือหมอเถื่อนอย่างเจ้า ชีวิตของเขาก็ควรจะเป็นเช่นนี้จริง ๆ นั่นแหละ”
ครั้นคำพูดนี้ถูกเปล่งออกมา ไม่เพียงแค่อูตงที่ถลึงตาและหน้าตาแข็งทื่อ คนอื่นที่อยู่ภายในห้องโถงใหญ่ก็มองนางด้วยความประหลาดใจเช่นกัน
โดยเฉพาะบุรุษที่นั่งเงียบอยู่หลังม่าน ก็เริ่มสำรวจนางอย่างละเอียด
อูตงโกรธถึงขีดสุดแต่ก็ยังยิ้มออกมา นางแค่นเสียงเย็น “คนแบบเจ้านี่มันเก่งแต่ปาก ข้าคือหมอเถื่อนรึ? หรือจะบอกว่าเจ้าคือหมอเทวดา?”
“เรื่องนี้น่ะหรือ หมอเทวดาข้าคงไม่กล้าเป็นหรอก แต่ข้ามีความสามารถดึงเขากลับมาจากด่านประตูผีได้”
“เจ้าช่วยเขาได้?” เสิ่นอิงสาวเท้ามาข้างหน้า ก่อนจะยืนมองอวี้ชิงลั่วที่อยู่ตรงหน้า
อวี้ชิงลั่วรีบก้าวถอยไปด้านหลัง นางยื่นแขนออกมาเพื่อรักษาระยะห่างจากเขาหนึ่งช่วงแขน “ออกห่างจากข้าหน่อย จะเข้ามาใกล้ข้าขนาดนั้นเพื่ออะไร? หากข้าตกใจกลัวขึ้นมาจะทำเช่นไร?”
ตกใจกลัว? เสิ่นอิงมุมปากกระตุกอย่างแรง ทว่าตอนนี้สถานการณ์ของเผิงอิงรุนแรงยิ่งกว่า เรื่องที่เร่งด่วนถามให้ชัดเจนสักหน่อยน่าจะดีกว่า
“เจ้าบอกว่าเจ้ารักษาเขาได้ถูกต้องไหม เช่นนั้นเจ้าก็รีบลงมือสิ”
อวี้ชิงลั่วมองเขา “เจ้าให้ข้าลงมือ ข้าก็ลงมือหรือ? ข้ามิใช่คนของจวนโม่สักหน่อย ทำไมข้าต้องขยับนิ้วราคาแพงของข้าด้วย”
ราคาแพง? เหตุใดเขาถึงรู้สึกว่าสตรีผู้นี้หน้าไม่อายนะ?
บุรุษที่นั่งอยู่หลังม่านได้ยินคำพูดของนาง ก็แอบถอนหายใจโดยมิอาจอธิบายได้ เขากล่าวด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “เงื่อนไขของเจ้า…”
อวี้ชิงลั่วเหลือบมองไปที่เขาด้วยความพึงพอใจ ไม่เลว ฉลาดปราดเปรื่อง
นางบิดตัวเบา ๆ ก่อนจะยกนิ้วขึ้นมาหนึ่งนิ้วด้วยรอยยิ้ม “ตอบคำถามข้ามาหนึ่งข้อ”
อูตงกวาดตามองขึ้นลงปราดหนึ่ง นางรู้สึกได้ว่าสถานการณ์ดูเหมือนจะเหนือความคาดหมาย จึงรีบก้าวเท้ามาด้านหน้าด้วยความรีบร้อน “นายท่าน อย่าได้ฟังคำพูดเหลวไหลของนาง สตรีผู้นี้บุกรุกเข้ามาในจวนโม่ของเราเพราะมีเจตนาอื่นแอบแฝง ไหนเลยจะมีความสามารถช่วยเหลือเผิงอิงได้ อย่าได้ถูกนางหลอก นายท่าน…”
“อูตง เจ้าไม่อยากให้เผิงอิงมีชีวิตอยู่ขนาดนั้นเชียวหรือ?” เสิ่นอิงมองนางอย่างดุดัน เขาผิดหวังในตัวนางมาก ต่อให้มิอาจรักษาให้มีชีวิตรอดได้จริง ๆ ต่อให้เป็นการรักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น[1] แต่ก็ต้องให้สตรีที่อยู่ตรงหน้าลองดูสักหน่อย
อูตงหันไปถลึงตาใส่เขาอย่างดุดัน “ข้าทำเพื่อจวนโม่ของเรา หากปล่อยคนน่าสงสัยที่ไม่รู้ที่มาที่ไปให้มากระทำความผิดด้วยความเหิมเกริมในจวนโม่ ถึงเวลานั้นหากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา เจ้าจะรับผิดชอบหรือ?”
“ความปลอดภัยของจวนโม่พวกเราก็ต้องรับผิดชอบอยู่แล้ว เจ้าดูแลแค่เรื่องของตัวเองก็พอ”
“ข้าคือคนของจวนโม่ ข้าเองก็มีสิทธิ์ที่จะรับผิดชอบความปลอดภัยของจวนโม่เช่นกัน”
อวี้ชิงลั่วลูบหู นางรู้สึกว่าเสียงหึ่ง ๆ ของสองคนนี้ทำให้นางรู้สึกหงุดหงิดเสียเหลือเกิน
แต่บุรุษที่นั่งอยู่หลังม่านดูราวกับว่าเสียงโวยวายของทั้งสองไม่ได้กระทบต่ออารมณ์ของเขาแม้แต่น้อย เขาหันมาถามอวี้ชิงลั่วโดยตรงว่า “คำถามอะไร?”
…………………………
[1] รักษาม้าตายประหนึ่งม้าเป็น (死马当活马医) หมายความว่า ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าไม่มีทางรักษาได้แต่ยังคงมีความหวังแม้จะริบหรี่ก็ตาม
สารจากผู้แปล
ถ้าชิงลั่วรักษาได้ขึ้นมานะ เดาว่าต้องมีคนหน้าแตกแบบกู้คืนไม่ได้แน่
ไหหม่า (海馬)