อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 110 หนานหนานได้รับพิษ
ตอนที่ 110 หนานหนานได้รับพิษ
แมงป่องตัวนั้นปีนขึ้นมาบนขากางเกงของเขา ปีนขึ้นมาได้ครึ่งหนึ่ง หนานหนานก็หยิบขึ้นมาวางไว้บนฝ่ามือ
“เสี่ยวไป๋เหอ ท่านแม่ให้เจ้ามาใช่หรือไม่? เฮ้อ ท่านแม่นี่ไม่ยอมปล่อยข้าเลยจริง ๆ ข้าเองก็อยากออกไปเร็ว ๆ นั่นแหละ แต่ว่า…แต่ตอนนี้วังคงปิดไปแล้วใช่หรือไม่? ดังนั้นเจ้าช่วยไปรายงานท่านแม่หน่อยว่าข้าปลอดภัยดี ไม่ต้องเป็นกังวล วันพรุ่งข้าต้องหาวิธีออกไปได้แน่นอน” เขายังไม่ได้กินอาหารชาววังเลย ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรจะกลับไปเช่นนี้ แบบนั้นเสียเปรียบมากเลยนะ
ระหว่างที่พูด หนานหนานก็เอี้ยวตัวหยิบกระเป๋าใบเล็กที่อยู่บนตัวออกมา หยิบขวดเล็ก ๆ หนึ่งขวด เทผงสีเขียวลงบนหลังของแมงป่องเล็กน้อย จากนั้นจึงวางมันกลับไปที่พื้นอีกครั้ง กำชับว่า “เสี่ยวไป๋เหอ เจ้าต้องนำความคิดถึงของข้าที่มีต่อท่านแม่แต่ซับซ้อนด้วยอารมณ์เพราะจนปัญญาไปให้ท่านแม่ทราบนะ เข้าใจหรือไม่? แล้วก็ นอกจากท่านแม่แล้วข้าก็ค่อนข้างคิดถึงท่านพ่อ คิดถึงท่านป้าจิน ท่านลุงเหวิน ท่านลุงโม่ ท่านลุงเสิ่น ท่านลุงเผิง แล้วก็เหล่าหวังที่อยู่เรือนติดกันด้วย เจ้า…นี่ เจ้าวิ่งเร็วอะไรขนาดนั้น เจ้าได้ยินที่ข้าบอกหรือไม่?”
“ใครอยู่ด้านนอก” หนานหนานไม่รู้ตัวเลยว่าในที่สุดเสียงของเขาก็ดึงดูดความสนใจของคนที่อยู่ด้านใน น้ำเสียงแผ่วเบาที่ฟังดูเคร่งขรึมดังออกมาอย่างรวดเร็ว
หนานหนานมองดูแมงป่องที่ค่อย ๆ ห่างไกลออกไปเรื่อย ๆ แล้วลอบถอนหายใจ ก่อนจะวิ่งมาด้านหน้าห้อง เปิดประตูห้องอย่างระมัดระวัง
คนที่อยู่ด้านในนั้นเดิมทีก็ระมัดระวังตัวอยู่แล้ว ไม่คิดว่าตรงประตูที่เปิดแง้มไว้กลับมีหัวเล็ก ๆ กำลังหมุนไปหมุนมา หมุนอยู่พักใหญ่ จึงยัดร่างกายเล็ก ๆ เบียดเข้ามาด้านใน
จากนั้น จึงมองไปด้านนอกประตูทำท่าทางราวกับเป็นโจร ผ่านไปครู่ใหญ่จึงเผยใบหน้าออกและปิดประตูอย่างระมัดระวัง
“เจ้า…เจ้าเป็นใคร?”
หนานหนานหันกลับมา ก็เผชิญหน้ากับใบหน้าเล็ก ๆ ที่ดูอ่อนเยาว์แต่กลับทำตัวเป็นคนมีอายุ บนร่างกายสวมใส่อาภรณ์สีหม่น ตรงหน้ามีโต๊ะวางอยู่หนึ่งตัว ร่างกายเล็ก ๆ บัดนี้กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ด้านหลังโต๊ะตัวนั้น กำลัง…อ่านตำรา
เอ๋? มิใช่ว่ากำลังกินข้าวหรอกหรือ? กล่องอาหารนั่นเล่า? กล่องอาหารที่เคอกงกงผู้นั้นนำเข้ามาล่ะ? หรือว่ากินหมดแล้ว?
มีอะไรผิดพลาดหรือไม่ คนคนนี้หัวก็เล็ก ตัวก็เล็ก เหตุใดถึงได้กินเร็วกว่าเขา?
หนานหนานเบิกตาโต รีบปรี่ตัวเข้าหา ใช้มือทั้งสองข้างจับมือของเขาดึงมามองหน้าหลังซ้ายขวาเพื่อตรวจสอบดู แต่กลับไม่เห็นกล่องอาหารกล่องเล็ก ๆ นั้นแล้ว
“นี่ โอ๊ย เจ้ากำลังทำอะไร?” หลังจากถูกหนานหนานทำซ้ำไปซ้ำมา เด็กคนนั้นก็เริ่มหงุดหงิด ดึงเสื้อของตัวเองกลับมา
ไม่คิดว่าจะใช้แรงมากเกินไป เสียง ‘แควก’ ดังขึ้น แขนเสื้อนั้นถูกฉีกจนขาดเป็นสองส่วน
ทั้งสองคนถึงกับชะงักไปพร้อมกัน ผ่านไปครู่หนึ่ง หนานหนานจึงกลอกตา รีบปล่อยมืออย่างรวดเร็วเพื่อปล่อยแขนเสื้อที่ฉีกจนขาดส่วนนั้น ช้อนสายตา…มองคานห้องสูง ๆ ที่อยู่เหนือศีรษะ เมื่อครู่เกิดอะไรขึ้น? เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น อืม เขาไม่รู้อะไรทั้งนั้น
“เจ้า…” เด็กน้อยถลึงตามองเขา ผ่านไปครู่หนึ่งจึงถอนหายใจอย่างจนปัญญา มองเสื้อที่ฉีกขาดด้วยความขุ่นเคือง ก่อนจะกลับไปนั่งอีกครั้ง
หนานหนานมองคานห้องอยู่นาน ภายในใจมีแผนการมากมายนับไม่ถ้วน ไม่มีอะไรมากไปกว่าการนั่งรอให้อีกฝ่ายคิดบัญชีกับตนเอง ทว่าใครจะไปคิดว่าเขารออยู่นาน กลับไม่ได้ยินเสียงตำหนิจากอีกฝ่าย จึงหันหน้ากลับมามองเขา
ก็พบว่าเด็กคนนั้นกลับไปนั่งที่เดิมอีกครั้ง และหยิบตำรามาอ่านต่อ
หนานหนานรู้สึกประหลาดใจมาก เขาหมุนกายเดินมานั่งตรงข้ามอีกฝ่าย ทั้งยังเอนตัวมาค้ำบนโต๊ะที่อยู่ตรงหน้าด้วยความฉงน ทั้งยังบดบังการอ่านตำราของอีกฝ่าย “เหตุใดเจ้าถึงไม่โกรธล่ะ?”
“เจ้าอย่ามาขวางระหว่างข้าอ่านตำรา เจ้าเป็นลูกเต้าจากวังไหน? รีบกลับไปซะ ดึกดื่นขนาดนี้ ผู้ใหญ่หาตัวเจ้าไม่พบ คงเป็นกังวลแย่แล้ว”
หนานหนานบุ้ยปาก เขามิใช่เด็กในวังสักหน่อย ยังคงค้ำตัวเข้ากับโต๊ะนั้นต่อไป ไม่ยอมให้อีกฝ่ายอ่านตำรา ทั้งยังถามอย่างเพียรพยายามว่า “เหตุใดเจ้าถึงไม่โกรธ?”
“โกรธอะไร? เสื้อตัวนี้เดิมทีก็ใส่จนเก่าแล้ว ฉีกขาดย่อมเป็นเรื่องธรรมดา วันหลังค่อยนำเข็มมาเย็บก็สิ้นเรื่องแล้ว” เด็กคนนั้นเหลือบมองเขา เห็นได้ว่าวัสดุเสื้อผ้าของเขาเป็นของชั้นสูงทั้งหมด ใบหน้าก็อมชมพู ดูเหมือนว่าชีวิตคงสุขสบายไม่น้อย
มองดูเสื้อผ้าที่อยู่บนตัวของตัวเอง รวมถึงการตกแต่งภายในห้องนี้ ก็อดเม้มปากไม่ได้ และไม่ได้พูดเอ่ยปากพูดอะไรอีก
หนานหนานย่อมสังเกตเห็นถึงสิ่งเหล่านี้ ด้วยเหตุนี้จึงยิ่งเกิดความสงสัย เขาดึงแขนเสื้ออีกข้างที่ไม่ได้ขาดของอีกฝ่าย ก่อนจะดึงตำราของเขาทิ้งไป ยังคงฟุบแล้วพูดว่า “เสื้อผ้าใส่มานานแล้วเหตุใดถึงไม่เปลี่ยน? อีกอย่าง เจ้าเป็นใครหรือ? เหตุใดถึงมาอยู่ที่นี่คนเดียว พ่อกับแม่เจ้าล่ะ?”
เด็กคนนั้นไม่ตอบ เอาแต่จ้องมองหนานหนานอย่างละเอียด ตอนนี้เขาเองก็รู้สึกประหลาดใจมาก ภายในวังแห่งนี้นอกจากเขา และบ่าวรับใช้ตัวน้อยเหล่านั้น ก็ไม่น่าจะมีเด็กคนไหนโตขนาดนี้ ต่อให้อยู่นอกวัง ก็ไม่ได้รับอนุญาตให้อยู่ค้างในวัง เหตุใดถึงได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่
หนานหนานเห็นเขาไม่ตอบ จึงเริ่มแนะนำตัวเองอย่างใจกว้าง “ก็ได้ เช่นนั้นข้าขอแนะนำตัวเองก่อน ข้าชื่ออวี้ฉิงหนาน ปีนี้อายุห้าขวบ เจ้าเรียกข้าว่าหนานหนานก็ได้ ข้ามีท่านแม่หนึ่งคน มีท่านพ่อหนึ่งคน และยังมีท่านลุงและท่านป้าอีกหลายคน เจ้าอย่ามองว่าข้าเติบโตขึ้นมาหน้าตาดีถึงขั้นนี้ อันที่จริงนี่คือผลลัพธ์จากความพยายามในการบำรุงของข้าเอง ข้าน่ะเดิมทีพักอาศัยอยู่นอกวัง วันนี้ดันขึ้นรถม้าคันหนึ่งมาโดยไม่ทันได้ระวัง นั่งแกว่งไปแกว่งมาตลอดทางจนมาถึงที่นี่นี่แหละ ภายหลังข้าหาทางออกไม่เจอ ก็เลยเดินมั่วๆ มาจนมาถึงที่นี่ เจ้าชื่ออะไร?”
เด็กคนนั้นอ้าปากค้าง แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน เขาเข้ามาในวังโดยไม่ทันได้ระวัง? เช่นนั้น เช่นนั้นระหว่างทางที่มาก็ไม่มีทหารองครักษ์จับได้น่ะสิ? เด็กคนนี้ ดวงดี…มากจริง ๆ
หลังจากลังเลครู่หนึ่ง เขาจึงกระซิบบอก “ข้าชื่อ…เย่หลานเฉิง อายุเจ็ดขวบ”
เย่หลานเฉิง? ชื่อต่างจากเย่หลานผิงแค่พยางค์เดียวไม่ใช่หรือ? หรือว่าพวกเขาจะเป็นพี่น้องกัน?
แต่อายุเจ็ดขวบ ดูเหมือนว่าจะโตกว่าเขาแค่นิดหน่อยเอง
หนานหนานส่ายหัวเล็ก ๆ เมื่อเห็นอีกฝ่ายพูดจบสองประโยคนี้ จึงเงียบเสียงอีกครั้ง บุ้ยปากและไม่ได้ถามอะไรอีก เมื่อนึกถึงเป้าหมายที่เขามาที่นี่ จึงรีบกลืนน้ำลาย เอ่ยถามว่า “เสี่ยวเฉิงเฉิง เมื่อครู่ข้าเห็นขันทีนำของกินมาให้เจ้า ข้าเดินทางมาตั้งนานแล้วยังไม่มีอะไรตกถึงท้อง หิวมากเลย”
เย่หลานเฉิงมุมปากกระตุกวูบ “เจ้าอย่าเรียกข้าเช่นนี้” ระหว่างที่พูด เขาก็รวบผ้าที่ขาดบริเวณปลายแขนเสื้อ ลุกขึ้นยืน “เจ้ารอข้าอยู่ที่นี่สักครู่”
พูดจบ ก็หมุนตัวเดินเข้าไปด้านใน หยิบกล่องอาหารเมื่อครู่ออกมา
ดวงตาของหนานหนานเป็นประกาย ยังไม่รอให้อีกฝ่ายได้วาง เขาก็เปิดฝาดูแล้ว
หลังจากนั้นก็…ผิดหวังถึงขีดสุด
ด้านในนั้นมีหมั่นโถวไม่กี่ลูก ทั้งยังเย็นชืดหมดแล้ว มีกับข้าวเล็ก ๆ สองถ้วย นี่เป็นสิ่งที่เขาเห็นในห้องพระเครื่องต้นมาก่อน สิ่งเดียวที่เขายังทนดูได้ก็คือน่องไก่ชิ้นนั้น ขันทีคนนั้นบอกว่าแอบซ่อนของดีไว้ คงไม่ใช่น่องไก่นี่หรอกกระมัง
หนานหนานรู้สึกจุกอยู่กลางอก แต่เขานึกขึ้นได้ว่าถึงอย่างไรก็เป็นของที่อยู่ในห้องพระเครื่องต้น เขาก็หิวขึ้นมาอีกครั้ง ฝืนใจอย่างยากลำบาก…ลองกินคำหนึ่งก็แล้วกัน
ระหว่างที่คิด ยังไม่รอให้เย่หลานเฉิงอนุญาต เขาก็หยิบน่องไก่ขึ้นมากัดแรง ๆ หนึ่งคำ ส่งเสียง ‘อ้ำ ๆ’ กลืนลงท้อง
ผ่านไปครู่หนึ่ง รูม่านตาของเขาก็ถึงกับหดเล็กลง เขารู้สึกปวดท้องจนเหงื่อผุดขึ้นบริเวณหน้าผาก
“ตุบ” น่องไก่หล่นลงไปในจาน หนานหนานกลิ้งอยู่บนพื้นพร้อมกับยกมือขึ้นกุมท้อง
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
อยู่ดีๆ ก็เจอเพื่อนใหม่ซะงั้น แต่หนานหนานหนูรุนแรงไปหรือเปล่าลูก ดึงแขนเสื้อเขาซะขาดเลย นี่ถ้าเป็นนิยายตันเหม่ยนี่คิดไปไกลแล้วนะไอ้แขนเสื้อขาดเนี่ย
แย่แล้ว น้องโดนพิษ มียาแก้ไหมเนี่ย
ไหหม่า(海馬)