อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 13 ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง
ตอนที่ 13 ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง
“บาดแผลภายนอกไม่ใช่ปัญหาใหญ่อะไร แต่พิษนี่…”
พิษ?
เสิ่นอิงตกใจ เขารีบถาม “พิษนี่ถอนไม่ได้เช่นนั้นหรือ?”
อูตงก็บอกก่อนหน้านี้แล้ว ที่สำคัญคือพิษนี้อยู่ลึกเกินไป นี่แหละที่อันตรายถึงชีวิต
เมื่อเขาพูดเช่นนี้ พลังปราณของบุรุษที่อยู่หลังม่านก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย แม้แต่เจ้าเสือดำที่อยู่ข้างเขาก็รู้สึกได้ว่าเขากำลังตึงเครียด จึงเริ่มส่งเสียงคำรามต่ำอย่างกระสับกระส่าย
บุรุษใช้มือลูบมัน ทำให้มันได้รับการปลอบใจและสงบลงอีกครั้ง
อวี้ชิงลั่วมองไปยังตำแหน่งที่เขาอยู่ปราดหนึ่ง นางรู้สึกแค่ว่าพยัคฆ์ทมิฬตัวนั้น…เป็นของดีจริง ๆ มีเสือดำหนึ่งตัวอยู่ข้างกายเป็นสัตว์เลี้ยง บุคลิกก็ดูดีขึ้นหลายขั้นในทันทีเลยสินะ?
ไม่รู้ว่าจะมีโอกาสพาเจ้าเสือดำตัวนั้นกลับไปหรือไม่ หากได้เลี้ยงสัตว์เลี้ยงแบบนั้นไว้ข้างกาย จะไปที่ไหนก็ไม่ใช่ปัญหา โดยเฉพาะบุตรชายของนาง หลังจากนี้จะได้ใช้สายตาที่เลื่อมใสศรัทธามองนางเสียที
อวี้ชิงลั่วกำลังคิดเรื่องนี้อยู่ในใจ ทว่าไม่คิดเลยว่าตอนที่หนานหนานได้เห็นเสือดำตัวนั้น เขาก็มีความคิดนี้ผุดขึ้นมาเป็นสิ่งแรกเช่นกัน
เสิ่นอิงเห็นนางไม่พูดอะไร ก็ยิ่งเกิดความร้อนใจ “สรุปแล้วถอนพิษได้หรือไม่?”
อวี้ชิงลั่วเงยหน้ามองเขา “ต้องใช้เวลาเตรียมยาถอนพิษ”
เสิ่นอิงได้ยินก็ถอนหายใจในทันที จากนั้นก็ได้ยินเสียงของบุรุษหลังม่านถามว่า “นานแค่ไหน?”
“เรื่องนี้…พูดยาก ถึงอย่างไรสถานการณ์ของเขาก็ค่อนข้างรุนแรง แต่พวกท่านไม่ต้องกังวล ช่วงเวลาที่ข้าเตรียมยาถอนพิษนี้ ข้าจะระงับพิษที่อยู่บนร่างกายของเขาเพื่อไม่ให้ลุกลามไปยังส่วนอื่น”
อวี้ชิงลั่วบอกกับบุรุษหลังม่านด้วยความจริงใจ แต่เมื่อนึกได้ว่าบุรุษหลังม่านคงมองไม่เห็นสีหน้าที่จริงใจของนาง นางจึงหันไปมองเสิ่นอิงอีกครั้ง
มุมปากของอีกฝ่ายกระตุกวูบ แต่เมื่อได้ยินนางพูดยืนยัน ความหนักอึ้งในใจก็ถูกปล่อยวาง
ภายในห้องโถงเงียบสงัดลงอีกหน อวี้ชิงลั่วทราบดี เวลานี้เสิ่นอิงมิอาจตัดสินใจอะไรได้ เขาเองก็ต้องรอให้นายท่านของเขาตัดสินใจ
“สามวัน ข้าให้เวลาเจ้าแค่สามวัน” ผ่านไปนาน เสียงที่เฉยเมยจากฝั่งนั้นก็ดังขึ้นอย่างเรียบเฉย
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้วราวกับไม่ค่อยพอใจเท่าไรนัก แต่ก็ฝืนใจตอบกลับไป “แม้ว่าสามวันจะน้อยไปหน่อย แต่ข้าจะพยายามอย่างเต็มที่”
“สิ่งที่ข้าต้องการคือต้องทำได้” มิเช่นนั้น สตรีที่ไม่รู้จักที่มาที่ไปบุกรุกเข้ามาในจวนโม่และเผาทำลายค่ายกลร้อยบุษบา คงมีแค่จุดจบเดียว
สายตาของบุรุษหรี่ลงเล็กน้อย นิ้วของเขาลูบลงบนตัวของพยัคฆ์ทมิฬโดยไม่รู้ตัว
อวี้ชิงลั่วไม่ได้ถือสา และดูเหมือนว่าจะไม่รู้สึกถึงพลังของเขาที่ส่งออกมา นางยักไหล่ “แน่นอน”
อันที่จริงหากคิดจะลงมือจริง ๆ นางไม่ต้องใช้เวลาถึงสามวันหรอก หากนางยินดีที่จะทำ ก็สามารถหยิบโอสถหยาดน้ำค้างที่สามารถถอนพิษร้อยชนิดออกมาได้ในตอนนี้ ให้เผิงอิงรักษาตัวอย่างระมัดระวังก็สามารถฟื้นฟูให้หายดีได้
ทว่าตอนนี้นางยังไม่คิดจะออกจากจวนโม่ นางยังอยากรู้ว่าบุตรชายของนางอยู่ที่ใด อย่างน้อย ๆ ก็ให้อีกฝ่ายเข้าใจว่านางก็พยายามอย่างสุดความสามารถด้วยความยากลำบากเพื่อช่วยเขากลับมา
คนเหล่านี้ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่คนธรรมดา บางที…อาจช่วยเหลือนางได้
บุรุษที่อยู่หลังม่านดูเหมือนจะพึงพอใจกับคำตอบของนาง จึงสั่งเสิ่นอิงว่า “พานางไปพักที่สวนอวี้จู๋ (ไผ่หยก) ส่วนพวกเจ้าพาเผิงอิงลงไปก่อนเถอะ”
“ขอรับ” เสิ่นอิงก้มหน้าลง สีหน้าของเขาเปลี่ยนเป็นความเข้มงวดขึ้น
อวี้ชิงลั่วหมุนกายกลับมา นางไม่ได้มองไปยังบุรุษผู้นั้นอีก แต่กลับเดินตามเสิ่นอิงออกไปข้างนอกอย่างเงียบ ๆ ถึงอย่างไรนางก็ถูกขังอยู่ในค่ายกลร้อยบุษบานั่นตลอดทั้งคืน วันนี้ก็ยุ่งจนถึงตอนนี้ อันที่จริงนางทั้งรู้สึกเหนื่อยและกระหาย แทบอยากหาสถานที่เพื่อพักผ่อน
ตอนที่นางเพิ่งก้าวเท้าออกมาได้เพียงสองก้าว จู่ ๆ เสียงเย็นชาก็ดังขึ้นจากด้านหลังอีกครั้ง “เย่ซิวตู๋”
เขาพูดจบ ก็ไม่ได้พูดอะไรอีก
อวี้ชิงลั่วกลับชะงัก เย่ซิวตู๋? เย่ซิวตู๋? เย่…
นางคิดอยู่ครู่หนึ่งถึงจะเข้าใจ ทันใดนั้นเส้นสีดำสามเส้นก็ปรากฏขึ้นบนหน้าผาก นี่เขากำลังบอกชื่อของตัวเองกับนางเหรอ? อันที่จริงหากเขาไม่เอ่ยปากพูด นางก็คงลืมไปแล้วว่านั่นเป็นเงื่อนไขที่นางเสนอออกไปก่อนหน้านี้ นั่นเป็นแค่สิ่งที่นางคิดไปงั้น ๆ คิดไม่ถึงเลย…เขาจะบอกนางจริง ๆ
เย่ซิวตู๋ ชื่อนี้ เหตุใดถึงทำให้รู้สึกอึดอัดได้ขนาดนี้กันนะ?
นางส่ายหน้า ช่างเถอะ นี่ไม่ใช่ขอบเขตที่นางจะกังวล ชื่อก็แค่สัญลักษณ์อย่างหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้นางยังต้องทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า หาตัวลูกชายให้เจอแล้วค่อยว่ากัน
อวี้ชิงลั่วและเสิ่นอิงเดินออกไป ภายในห้องโถงขนาดใหญ่จึงเหลือแค่เย่ซิวตู๋เพียงลำพัง
มือของเขายังคงลูบเสือดำที่อยู่ข้าง ๆ อย่างแผ่วเบาราวกับไม่ได้สัมผัส ดวงตาปิดลงเล็กน้อย และพ่นลมหายใจที่ข่มไว้มาโดยตลอดออกมา
เผิงอิงไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว
ระหว่างที่คิด ประตูด้านนอกก็เกิดเสียงฝีเท้ารีบร้อนดังขึ้น แม้ว่าจะไม่ได้หนัก แต่ก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะได้ยินความโกรธเคืองแฝงอยู่ในนั้น
คนคนนั้นเดินมาถึงหน้าประตู เขาค่อย ๆ เก็บอารมณ์และก้าวเท้าเข้ามาด้านในห้องโถงอย่างมั่นคง จากนั้นจึงพยักหน้าเล็กน้อย “นายท่าน”
“กลับมาแล้วหรือ?” เย่ซิวตู๋นั่งยืดตัวเล็กน้อยพลางเอ่ยถาม “หาเจอแล้ว?”
“ขอรับ” เหวินเทียนตอบรับได้คำหนึ่ง แต่หลังจากนั้นก็เงียบขรึมไปอีกหน
เย่ซิวตู๋กระตุกมุมปากขึ้นอย่างเย็นชา “คนจากฝั่งไหน?”
“คือ…คือ…” เหวินเทียนอึก ๆ อัก ๆ ไม่แน่ใจว่าจะพูดดีหรือไม่ แต่อึดใจต่อมา เขาก็รู้สึกได้ว่าเย่ซิวตู๋หมดความอดทนแล้ว จึงไม่กล้าปิดบังอีกต่อไป ทำได้เพียงแค่กำหมัดและพูดด้วยความเคียดแค้น “คือ…ฮูหยินขอรับ มือสังหารที่ลงมือกับนายท่านครั้งนี้ เป็นคนที่เมืองหลวงทางฝั่งนั้นส่งมา ผู้ส่งสารหลักคือฮูหยินขอรับ”
พูดถึงตรงนี้ สีหน้าของเหวินเทียนก็ดูไม่สู้ดียิ่งกว่าเดิม
ดวงตาเย่ซิวตู๋เย็นชา มือที่ลูบเสือดำหยุดลง ผ่านไปครู่หนึ่งจึงกล่าวเสียงขรึมว่า “นางช่างมีความสามารถนัก ถึงได้เจอว่าข้าอยู่ที่เจียงเฉิงแห่งนี้”
บนโลกใบนี้ คาดว่าคงหาคนที่มีจิตใจเหี้ยมโหดเหมือนมารดาของเขาได้ยาก ถึงขนาดลงมือกับเขาอย่างไร้ความปรานี
“นายท่าน พวกเราถอยครั้งแล้วครั้งเล่า ฮูหยินกลับไม่เข้าใจความคิดของท่านแม้แต่น้อย ทั้งยังไล่ต้อนเช่นนี้ หากเป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่า…” เหวินเทียนรู้สึกขุ่นเคืองในใจ โดยเฉพาะเมื่อนึกขึ้นได้ว่าในตอนนี้นายท่านได้รับบาดเจ็บสาหัส หากไม่ใช่เพราะผู้พิทักษ์ทมิฬเข้ามาขวางมีดไว้ ผลลัพธ์ที่ได้คงเลวร้ายจนไม่กล้าคิด
ฮูหยินไม่มีความรักฉันมารดาและบุตรต่อนายท่านแม้แต่น้อย ทั้งยังลงมือสังหารครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาอยู่ข้างกายนายท่านมาหลายปี บางครั้งก็เกลียดเสียจนอยากลงมือแทนนายท่านเพื่อจัดการฮูหยินผู้ไร้มโนธรรมคนนี้ โดยไม่สนใจว่าจะถูกนายท่านกล่าวโทษจนถึงตายหรือไม่
เพียงแต่หากทำเช่นนี้จริง ๆ นายท่านในฐานะบุตรชาย เกรงว่าก็คงลำบากใจเช่นกัน
เย่ซิวตู๋ไม่ได้กล่าวสิ่งใด มือของเขาเริ่มลูบพยัคฆ์ทมิฬป้อย ๆ อีกครั้ง เจ้าเสือดำรู้สึกสบายจนมิอาจหาสิ่งใดทัดเทียมและรู้สึกเพลิดเพลินยิ่งขึ้น มันไม่ได้สนใจบรรยากาศอันตึงเครียดภายในห้องโถง ณ เวลานี้เลย
เหวินเทียนรออยู่นาน ก็ได้ยินเสียงที่ไม่ดังไม่เบาจากหลังม่าน “เก็บข้าวของหน่อย หลังจากนี้อีกห้าวัน เราจะกลับเมืองหลวง”
เหวินเทียนชะงัก เขาเลิกคิ้วขึ้นในทันที และรีบขานตอบ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะขมวดคิ้วอีกครั้ง “ห้าวัน? นายท่าน แต่บาดแผลบนร่างกายของท่าน…”
“ไม่เป็นไร” เย่ซิวตู๋ก้มหน้ามองปราดหนึ่ง พูดอย่างไม่ใส่ใจ “เจ้าไปดูเผิงอิงเถอะ เขาได้รับบาดเจ็บ”
เหวินเทียนและเผิงอิงเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน เมื่อได้ยินว่าอีกฝ่ายได้รับบาดเจ็บ เขาก็เม้มปากเข้าหากัน หลังจากกล่าวขอโทษเย่ซิวตู๋ ก็หมุนกายเดินออกจากห้องโถงไป
เมื่ออีกฝ่ายเดินออกไป ภายในห้องโถงก็เหลือเย่ซิวตู๋เพียงคนเดียวดังเดิม
เขายกมือขึ้นมานวดคลึงบริเวณหว่างคิ้ว บาดแผลที่หน้าอกเริ่มเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง ยังไม่ทันได้ข่มความรู้สึกเจ็บปวด จู่ ๆ พยัคฆ์ทมิฬที่อยู่ข้างกายก็กระโดดขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
เย่ซิวตู๋ชะงัก คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันระหว่างฟังเสียงก้าวเท้าเดินเบา ๆ อย่างระมัดระวังจากด้านนอกประตู สีหน้าของเขาอึมครึมลง ขณะกล่าวเสียงเย็นยะเยือก “เข้ามา”
สิ้นสุดเสียง ที่ประตูก็ปรากฏศีรษะเล็ก ๆ ชะโงกเข้ามาด้านในด้วยความฉงนสงสัยอย่างเงียบ ๆ และเชื่องช้า
เย่ซิวตู๋ชะงัก เส้นประสาทที่ตึงเครียดพลันผ่อนคลายลง ที่แท้ก็เป็นเขานี่เอง
…………………………
สารจากผู้แปล
เย่ซิวตู่นี่ใครกันนะ อย่าบอกนะว่าพระเอก?
ไหหม่า (海馬)