อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 131 ใช่เจ้าหรือไม่
ตอนที่ 131 ใช่เจ้าหรือไม่?
อวี๋จั้วหลินขมวดคิ้ว แม้เขาจะเห็นด้วยกับเรื่องการแข่งขันนี้ แต่กลับไม่กล้าเป็นผู้ตัดสิน
“อะไรกัน คุณชายอวี๋ไม่มั่นใจว่าจะหาตัวแม่นางผู้นั้นและพูดโน้มน้าวใจนางได้งั้นหรือ?” เสนาบดีฝั่งขวามีท่าทางเหมือนจะเริ่มสนใจแล้ว ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยแววเย้ยหยัน
เย่ซิวตู๋ไม่ได้กล่าวสิ่งใด เพียงแต่ใช้สายตาหันมองอวี๋จั้วหลินด้วยความสงสัย
อวี๋จั้วหลินทราบดีว่าเสนาบดีฝั่งขวากำลังใช้วิธีการเชิงรุก ทว่าเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของเย่ซิวตู๋ เขาจึงทำได้แค่ขบฟันแน่น กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “ข้าน้อยจะพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อตามหาแม่นางคนนั้น และโน้มน้าวใจนางให้ได้”
เขาเชื่อว่าแม่นางชิงทั้งงดงามและคุยง่าย ทั้งยังดูเหมือนว่าจะสนใจเขาอีกหลายส่วนด้วย ยิ่งไปกว่านั้น อาจารย์เสิ่นผู้นี้ก็ใช้ชื่อเสียงของนางออกไปหลอกคนอื่นที่อยู่ข้างนอก สามารถใช้โอกาสนี้เพื่อจัดการกับเขา แม่นางชิงย่อมเต็มใจอย่างแน่นอน
เย่ซิวตู๋กระตุกมุมปากแย้มยิ้มจาง ๆ เขาเองก็สงสัยเช่นกันว่าอวี้ชิงลั่วจะตอบรับคำขอของอวี๋จั้วหลินหรือไม่
จินหลิวหลีถึงกับมุ่ยปากอย่างห้ามไม่อยู่ อวี๋จั้วหลินผู้นี้เห็นว่าตนเองมีความสามารถจริง ๆ คิดว่าเสน่ห์ไร้ขอบเขตของตนเองสามารถทำให้ทุกคนรักเขาได้งั้นหรือ? ทำไมเขาถึงไม่ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองสักหน่อย ยืนอยู่ตรงหน้าเย่ซิวตู๋และเสนาบดีฝั่งขวา ยังเทียบไม่ติดแม้แต่ปลายนิ้วก้อย
“ตกลง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าขอตัวก่อน หลังจากนี้อีกสิบวันหากแม่นางไม่มา เช่นนั้นก็แปลว่านางกลัวข้า ส่วนเรื่องในวันนี้ที่พวกท่านทำให้ข้าต้องอับอาย ข้าไม่มีทางยอมแพ้อย่างแน่นอน หากใครได้รับโรคที่รักษาให้หายได้ยากแล้วคิดจะมาหาข้า ฝันไปได้เลย เหอะ…”
อาจารย์เสิ่นทราบดีว่าหากอยู่ที่นี่ต่อไป ก็คงไม่เกิดผลดีกับเขาเช่นกัน
เดิมทีคิดว่าเหมิงกุ้ยเฟยให้ความสำคัญกับตนเองอย่างมาก ในฐานะที่เป็นบุตรชายแท้ ๆ ของเหมิงกุ้ยเฟยแล้วท่านอ๋องซิวก็น่าจะยืนอยู่ฝั่งเดียวกับตนเอง คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะไม่ไว้หน้าเหมิงกุ้ยเฟิงเช่นนี้ ไม่เพียงแต่โค่นเขา แต่ยังต้อนเขาให้จนมุมถึงขั้นนี้อีก
กลับไปเขาจะนำเรื่องนี้ไปรายงานกับเหมิงกุ้ยเฟยอย่างแน่นอน
“ช้าก่อน” เมื่อเห็นเขากำลังจะไป เย่ซิวตู๋กลับเลิกคิ้วด้วยสีหน้าเย็นชาขณะเอ่ยปากรั้งไว้
เท้าที่กำลังก้าวไปข้างหน้าของอาจารย์เสิ่นชะงักไปเล็กน้อย หันกลับมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “ท่านอ๋องซิวยังมีคำสั่งอะไรอีกหรือ?”
“อาจารย์เสิ่น เราอยากรู้ว่าหากคุณชายอวี๋สามารถตามหาแม่นางคนนั้นจนเจอ และนางปรากฏตัวขึ้นที่นี่เพื่อประลองกับเจ้าในสิบวันหลังจากนี้จนได้รับชัยชนะขึ้นมาจริง ๆ อาจารย์เสิ่นจะทำเช่นไร?”
“พูดเป็นเล่น นางจะชนะได้อย่างไรกัน?”
เสนาบดีฝั่งขวาพิงเข้ากับเสาที่อยู่ข้าง ๆ ด้วยรอยยิ้ม เอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน “นี่ ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ควรพูดให้มากเกินไป หากนางชนะขึ้นมา อาจารย์เสิ่นจะทำเช่นไร?”
อาจารย์เสิ่นมองซ้ายเหลียวขวา คนเหล่านี้ดูเหมือนจะพุ่งเป้ามาที่เขา ทั้งยังไม่เห็นชื่อหมอปีศาจอยู่ในสายตา
เขายิ้มเยาะ “เสนาบดีฝั่งขวาคิดว่าข้าควรทำเช่นไรเล่า?”
“เอาเช่นนี้ดีหรือไม่ หากอาจารย์เสิ่นแพ้ หลังจากนี้อย่าได้ก้าวเท้าเข้ามาเหยียบในอาณาจักรเฟิงชางอีกแม้แต่ก้าวเดียว และห้ามใช้ชื่อหมอปีศาจอีก แน่นอน หากอาจารย์เสิ่นชนะ ข้าจะขอโทษอาจารย์เสิ่นต่อหน้าทุกคน”
เสนาบดีฝั่งขวาพูดได้อย่างเฉียบขาด น้ำเสียงนั้น กลับดูคล้ายกับว่ามั่นใจว่าอาจารย์เสิ่นที่อยู่ตรงหน้าจะได้รับความพ่ายแพ้
บางคนก็ก้าวเท้ามาด้านหน้าด้วย “หากอาจารย์เสิ่นชนะ เราก็จะขอโทษอาจารย์เสิ่นต่อหน้าทุกคน รวมถึงมอบของขวัญให้อย่างใจกว้างด้วย”
อวี๋จั้วหลินเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาจะอยู่รั้งท้ายคนอื่นได้อย่างไร จึงรีบก้าวเท้ามาด้านหน้าหนึ่งก้าว “ข้าเองก็จะขอโทษเช่นกัน”
คนเหล่านี้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มเหงผู้อื่น ทั้งยังคิดว่าเขาจะไม่ได้รับชัยชนะจริง ๆ งั้นหรือ?
“เหอะ ตกลง ๆ ๆ พวกท่านอย่าเสียใจในภายหลังก็แล้วกัน” คนเหล่านี้อวดเก่งกันเกินไปแล้วจริง ๆ ยอดเยี่ยม ระยะเวลาสิบวันงั้นหรือ? หลังจากนี้อีกสิบวัน เขาจะทำให้ทุกคนที่อยู่ใต้หล้าได้รับรู้ว่าท่านอ๋องซิวของอาณาจักรเฟิงชางกว๋อและเสนาบดีฝั่งขวาต่างก็เลื่อมใสเขาอย่างสุดจิตสุดใจ
“ไป” อาจารย์เสิ่นสูดหายใจเข้าลึก ๆ ก่อนจะหันไปโบกมือเรียกคนของจวนเว่ยหยวนโหวด้วยสีหน้าอึมครึม หมุนกายและเดินออกจากโรงเตี๊ยมไป
“วู้ว…” ภายในโรงเตี๊ยมเกิดเสียงโห่ร้องในทันใด สายตาของทุกคนเป็นประกายขณะมองมาที่บุรุษรูปงามที่ทั้งสูงส่งและทรงอำนาจทั้งสามคนที่อยู่ในโรงเตี๊ยม
ทว่าน่าเสียดายที่อวี๋จั้วหลินถูกลดตำแหน่งแล้ว มิเช่นนั้นคงเป็นการแข่งขันที่แข็งแกร่งมากจริง ๆ ทั้งสามคนไม่มีใครเป็นรองใคร คงเป็นการโฆษณาให้กับโรงเตี๊ยมแห่งนี้ได้
“ท่านอ๋อง จวนของข้ายังมีเรื่องต้องสะสาง คงอยู่ด้วยไม่ได้แล้ว ข้าขอตัวลา” เสนาบดีเห็นเจ้าของเรื่องเดินออกไปแล้ว เขาจึงไม่คิดจะอยู่ที่นี่ให้นานกว่านี้ หลังจากทักทายเล็กน้อยจึงเดินออกจากประตูใหญ่ของโรงเตี๊ยม
อวี๋จั้วหลินลอบแค่นเสียงเย็นชา เขาแทบอยากจะไล่เสนาบดีฝั่งขวาออกไปให้เร็วกว่านี้ เช่นนี้เขาก็จะได้ตีสนิทกับท่านอ๋องซิวได้อย่างเต็มที่
ด้วยเหตุนี้ เมื่อรอจนกระทั่งอีกฝ่ายเดินออกไป อวี๋จั้วหลินจึงก้าวเท้ามาด้านหน้าด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋อง เกี่ยวกับพิษที่อยู่บนร่างกายของท่าน ไม่ทราบว่าช่วยเล่าให้ข้าน้อยฟังสักหน่อยได้หรือไม่ อีกเดี๋ยวหากข้าเจอตัวแม่นางผู้นั้นแล้ว…”
เย่ซิวตู๋ไม่แม้แต่จะมองหน้าอีกฝ่าย แต่กลับส่งสัญญาณให้เสิ่นอิงที่ยืนอยู่ด้านหลัง
เสิ่นอิงจึงรีบขึ้นไปชั้นบนโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง ไปยังห้องพิเศษห้องนั้นที่จินหลิวหลีชี้ให้ดูอย่างเงียบ ๆ
อวี๋จั้วหลินชะงัก เพียงไม่นาน เสิ่นอิงก็รีบลงมาพร้อมกับส่ายหน้าให้เย่ซิวตู๋
เย่ซิวตู๋มุมปากกระตุก ยิ้มด้วยรอยยิ้มเย็นชา “ไป”
ครั้นกล่าวจบ เขาก็เดินออกไปโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมา
อวี๋จั้วหลินยืนอึ้งอยู่กับที่ สีหน้าเจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะตอนที่เห็นแผ่นหลังของเย่ซิวตู๋ที่เดินห่างออกไปมากขึ้นเรื่อย ๆ ความคับแค้นใจจุกอยู่ที่กลางอกจนเกือบจะกระอักเลือดออกมา
ใบหน้าของเขาดูไม่สู้ดีเอาเสียเลย หลังจากยืนอยู่ด้านล่างครู่หนึ่ง ก็เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าแม่นางชิงยังอยู่ข้างบน จึงรีบขึ้นมา แต่กลับพบว่าภายในห้องพิเศษขนาดใหญ่ไม่มีแม้แต่เงาของมนุษย์
“หายไปไหนแล้ว?” ไม่เพียงแค่นาง แม้แต่จินหลิวหลีที่อยู่ชั้นล่างก็หายไปด้วยเช่นกัน
อวี๋จั้วหลินถึงกับขมวดคิ้วมุ่น น่าแปลก แม่นางชิงกลับไปโดยไม่บอกกล่าวได้อย่างไรกัน?
ใครบางคนที่เขากำลังบ่นถึง บัดนี้กำลังยืนอยู่ประตูหลังของโรงเตี๊ยม ตบหน้าอกตัวเองพลางลอบระบายลมหายใจ
ซวยชะมัดยาด เย่ซิวตู๋นั่นถ่อมาทำอะไรถึงโรงเตี๊ยมแห่งนี้?
รวมถึงคนที่แอบอ้างเป็นหมอปีศาจคนนั้น ช่างไม่เอาถ่านเอาเสียเลย
อวี้ชิงลั่วสะบัดหน้า นางรู้สึกได้ว่าหลังจากเดินทางมาถึงเมืองหลวงก็มีแต่ปัญหา ยังไม่ได้ลงมือตามหาแม่นมเก๋อ กลับมีปัญหาหลากหลายแบบเข้ามาเริ่มพัวพันนางแล้ว
ไม่ได้การละ นางต้องรีบจัดการกับอวี๋จั้วหลินให้เสร็จ แล้วตั้งอกตั้งใจตามหาแม่นมเก๋อให้เจอ หลังจากเจอตัวแล้ว นางจะออกจากเมืองหลวงไปพร้อมกับหนานหนาน
อวี๋จั้วหลินครุ่นคิดอย่างละเอียด ทั้งยังคิดว่าการอยู่กับเย่ซิวตู๋เป็นเรื่องอันตรายเกินไปแล้ว
เรื่องเมื่อคืนโจมตีสมองของนางเป็นระยะ ภาพที่ทั้งกอดและจูบของทั้งคู่แวบเข้ามาในหัวอยู่บ่อย ๆ นางกลัวเหลือเกินว่าวันหนึ่งนางจะชอบบุรุษที่ทำให้ผู้คนมิอาจต้านทานได้อย่างเย่ซิวตู๋
ทว่าสิ่งสำคัญคือราชวงศ์เป็นสิ่งที่โหดเหี้ยมที่สุด เย่ซิวตู๋จึงไม่ใช่ทางเลือกของนาง
“ชิง…ลั่ว?”
ตอนที่อวี้ชิงลั่วกำลังสะบัดหน้าเพื่อกำจัดความคิดยุ่งเหยิงในหัวออกไป จู่ ๆ ด้านหลังก็เกิดเสียงแหบพร่าที่แฝงด้วยความสงสัยดังขึ้น
อวี้ชิงลั่วชะงัก ใบหน้าถูกคลุมด้วยผ้าขณะยืนหันหลังให้อีกฝ่าย คนคนนี้ก็จำนางได้? เสียงนี้ ดูเหมือนว่านางจะไม่เคยได้ยินที่ไหนมาก่อนนี่นา
“ชิงลั่วใช่หรือไม่?” คนคนนั้นถามอีกครั้งด้วยความไม่แน่ใจ
อวี้ชิงลั่วรู้สึกราวกับถูกฟ้าผ่า เสียงนี้…เสียงนี้…นางเคยได้ยิน เมื่อสักครู่ภายในโรงเตี๊ยม คนนั้น…เสนาบดีฝั่งขวา
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ว้าย โดนเมิน หน้าแตกเลยไหมอวี๋กระจั๊วหลิน
เสนาบดีฝั่งขวารู้จักชิงลั่วตอนไหนนะ
ไหหม่า(海馬)