อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 136 อย่าผลีผลาม รอท่านอ๋อง
ตอนที่ 136 อย่าผลีผลาม รอท่านอ๋อง
สิ้นสุดเสียงของเหมิงกุ้ยเฟย คนที่ดูท่าทางเหมือนผู้อารักขาสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลังก็ก้าวเท้ามาด้านหน้า ยื่นมือออกมาหาเสิ่นอิง
อวี้ชิงลั่วหน้าเปลี่ยนสี ตอนที่เพิ่งจะเงยหน้าขึ้นมาก็พบว่าเสิ่นอิงหันหน้ากลับมา ทั้งยังส่ายหน้าให้นางเบา ๆ ริมฝีปากขยับเบา ๆ สองสามครั้ง แม้ว่าจะไม่ได้ออกเสียง แต่การขยับปากกำลังบอกนางให้เข้าใจว่า ‘อย่าผลีผลาม รอท่านอ๋อง’
อวี้ชิงลั่วขมวดคิ้ว นางช้าไปเพียงก้าวเดียว เสิ่นอิงถูกผู้อารักขาสองคนกดลง ยกขาเตะใส่หนึ่งครั้งแรง ๆ ก่อนจะคุกเข่าลงบนพื้นจนเกิดเสียงดัง ‘ตุ้บ’ หลังจากนั้นจึงถูกสองคนนั้นลากตัวออกไปอย่างหยาบคาย
เหมิงกุ้ยเฟยแค่นเสียงเบา ๆ ก่อนจะก้มหน้ามองอวี้ชิงลั่วอีกครั้ง เมื่อเห็นว่านางสวมใส่ด้วยชุดเด็กรับใช้ ทั้งยังเนื้อตัวสั่นเทาด้วยความตกใจ จึงแค่นเสียงเย็นอีกหนึ่งเสียง ทิ้งขันทีไว้ที่นี่สองคนเพื่อให้จับตัวเสิ่นอิงออกไป
อวี้ชิงลั่วได้ยินอย่างชัดเจน แรงของผู้อารักขาสองคนนั้นรุนแรงเพียงใด พวกเขาจงใจทำให้เสิ่นอิงคุกเข่าลงไปแบบนั้น เกรงว่าเข่าของเสิ่นอิงคงได้รับบาดเจ็บและเจ็บปวดมากด้วย
รอเย่ซิวตู๋อย่างนั้นเหรอ? เขายังบอกให้นางรอเย่ซิวตู๋? นี่เขาไม่รู้เลยเหรอว่ากว่าเย่ซิวตู๋จะมาถึง ชีวิตน้อย ๆ ของนางก็คงจบเห่ไปแล้ว
“เจ้าหนู ตกใจจนลุกไม่ขึ้นเลยหรือ? ฮ่า ๆ ทำตัวขี้ขลาดแบบเจ้า เหมาะสมที่จะอยู่ข้างกายท่านซิวอ๋องด้วยรึ? กุ้ยเฟยเหนียงเหนียงพูดถูก สวะไร้ประโยชน์ไม่จำเป็นต้องเหลือไว้ข้างกายท่านอ๋องแล้ว”
อวี้ชิงลั่วยังคงวิเคราะห์สถานการณ์ของเสิ่นอิง จู่ ๆ เหนือศีรษะของนางก็เกิดเสียงดังขึ้น นางชะงักและเงยหน้ามอง จึงค้นพบว่ายังมีขันทีอีกสองคนที่เหลืออยู่ที่นี่ก่อนที่เหมิงกุ้ยเฟยจะเดินจากไป
ขันทีทั้งสองคนนั้นดูท่าทางเย่อหยิ่งอย่างมาก หัวคิ้วเลิกขึ้นเล็กน้อยราวกับว่าตนเองเป็นผู้สูงส่ง
ครั้นเห็นอวี้ชิงลั่วกล้าเงยหน้าสบตาพวกเขา หนึ่งในขันทีจึงหน้าเปลี่ยนสี ยกเท้าขึ้นมาเตะเข้าที่ไหล่ของนางแรง ๆ
อวี้ชิงลั่วไม่ทันได้ป้องกันตัว จึงถูกอีกฝ่ายใช้ช่องว่างนี้เตะเข้าใส่จนกลิ้งไปด้านหลัง
ทันทีที่ร่างล้มลงบนพื้น ความโกรธเคืองของนางก็ปะทุขึ้น หมายความว่าเหมิงกุ้ยเฟยไม่คิดจะปล่อยนางไปเช่นกันสินะ?
“ฮ่า ดูท่าทางอ่อนปวกเปียกของเจ้าสิ ข้าจะบอกอะไรให้นะเจ้าหนู หากกลัวก็คุกเข่าลงใต้เป้าของปู่ แล้วเรียกว่า ‘บรรพบุรุษ’ สองครั้งสิ แล้วข้าจะจำใจลงมือกับเจ้าเบา ๆ”
อวี้ชิงลั่วที่นอนอยู่บนพื้นพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ ความสง่างามที่หน้าอกของนางถูกหลินมาพันด้วยผ้าจนแน่น ตอนนี้จึงรู้สึกอึดอัดจนหายใจไม่ออกแล้วจริง ๆ ไม่รู้ว่าอีกครู่หนึ่งถ้าจัดการกับคนพวกนี้ จะส่งผลกระทบอะไรหรือไม่
“ขันทีที่ไม่มีแม้แต่แท่งสืบพันธุ์ ยังเหมาะสมให้คนอื่นเรียกว่า ‘ปู่’ อีกหรือ?” อวี้ชิงลั่วยืดตัวตรงอย่างช้า ๆ นั่งอยู่บนพื้นด้วยท่าทางสง่างามอย่างมาก ยื่นมือออกมาตบฝุ่นบนแขนเสื้อ ใบหน้าเปื้อนด้วยรอยยิ้ม “เป็นขันทีแต่ยังเพ้อเจ้ออยากเป็นบรรพบุรุษ ตอนเช้าก่อนก้าวเท้าออกจากประตูไม่ได้กินยาล่ะสิ”
“เจ้า…เจ้า…” คาดว่าคงเคยโดนเยาะเย้ยเช่นนี้มานานแล้ว หรืออาจเป็นเพราะคาดไม่ถึงว่าอวี้ชิงลั่วที่เนื้อตัวสั่นเทาด้วยความตกใจเมื่อครู่จะกล้าเอ่ยยอกย้อนด่าพวกเขา ทั้งยังสะกิดจุดอ่อนของอีกฝ่ายด้วย ขันทีทั้งสองคนจึงมีใบหน้าเปลี่ยนจากเขียวกลายเป็นม่วง เปลี่ยนเป็นความรู้สึกที่ซับซ้อนอย่างมาก
“เจ้ากล้ามากนะ รู้หรือไม่ว่าพวกเราเป็นใคร?”
อวี้ชิงลั่วเลิกคิ้วขึ้น ก่อนจะลุกขึ้นจากพื้นอย่างช้า ๆ นางยังคงปัดฝุ่นที่อยู่บนชุดอย่างไม่รีบร้อน กล่าวเคล้ารอยยิ้ม “เป็นใคร? ก็เป็นขันทีมิใช่หรือ?”
“เจ้า ข้าจะบอกอะไรให้ พวกข้าเป็นคนโปรดข้างกายกุ้ยเฟยเหนียงเหนียง หากเจ้าสำเหนียกได้แล้วก็รีบคุกเข่าร้องขอชีวิต มิเช่นนั้นชีวิตเล็ก ๆ นี้คงยากที่จะรักษาไว้ได้”
คนโปรด? ขันทีสองคนนี้กล้าเรียกตัวเองว่าเป็นคนโปรด? หากเป็นคนโปรดข้างกายของกุ้ยเฟยเหนียงเหนียงจริง ๆ กุ้ยเฟยหนียง ๆ คงไม่ปล่อยพวกเขาทั้งสองคนไว้ที่นี่ คนโปรดตัวจริงเดินไปพร้อมกับกุ้ยเฟยด้วยท่าทางเย่อหยิ่งนานแล้ว
เสียง “ตุบ” ดังขึ้น อวี้ชิงลั่วยกเท้าขึ้นข้างหนึ่ง เตะเข้าที่ท้องของขันทีที่ยกเท้าเตะบ่าของนางเมื่อครู่ จึงทำให้ความรู้สึกกดขี่ข่มเหงเมื่อครู่ได้ถูกระบายออกมา
“เจ้า…” ขันทีอีกคนหนึ่งตกใจจนค้างไป ถลึงตามองไปที่บุรุษร่างเล็กผอมบางราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น ขาทั้งสองข้างเริ่มถอยหลังอย่างห้ามไม่อยู่
อวี้ชิงลั่วกระตุกมุมปาก ยื่นมือออกมาข้างหนึ่งก่อนจะดึงอีกฝ่ายกลับมา “เมื่อครู่เจ้าหมายถึงใคร?”
“ข้า…ข้า…เจ้า…เจ้ากล้ามากนะ ถึงได้กล้าทำร้ายผู้อื่นภายในวัง เจ้า…เจ้าระวังฮ่องเต้จะสั่งประหารเจ้าเก้าชั่วโคตร”
อวี้ชิงลั่วกลอกตาใส่ ใช้มือลากอีกฝ่ายไปบนก้อนหินที่อยู่ข้าง ๆ ศีรษะของคนคนนั้นกระแทกเข้ากับก้อนหินเต็ม ๆ เลือดสีแดงสดที่อยู่บนหน้าผากหลั่งไหลออกมาในทันที ทำให้เจ้าตัวตกใจจนถึงกับตาเหลือกและเป็นลมสลบไป
“ขี้ขลาดชะมัด แค่นี้ก็ตกใจจนเป็นลมแล้ว” อวี้ชิงลั่วหัวเราะพรืดเบา ๆ ก่อนจะหันกลับมา ก็พบว่าขันทีอีกคนกำลังกุมท้องและลุกขึ้นมายืนแล้ว
“เจ้ารอก่อนเถอะ ข้าจะไป…อ๊าก…ช่วยด้วย…ช่วย…”
อวี้ชิงลั่วใช้ฝ่ามือตบฉาดเข้าใส่ทำให้เสียงตะโกนร้องขอให้ช่วยเหลือถูกแทรก เดิมทีเหมิงกุ้ยเฟยเหลือขันทีผู้น่าเวทนาสองคนไว้เพื่อจัดการกับอวี้ชิงลั่ว เป็นเพราะไม่อยากให้ใครเห็น จึงสั่งให้ผู้อารักขาไปยืนเฝ้าอยู่ไกล ๆ เพื่อไม่ให้ใครผ่านมาทางนี้ จึงทำให้อวี้ชิงลั่วจัดการอีกฝ่ายได้ง่ายขึ้น ขันทีทั้งสองคนนั้นจึงไม่มีใครมาช่วยเหลือแม้จะเจอกับสถานการณ์ยากลำบาก
อวี้ชิงลั่วกระทืบและทุบตีสองคนนั้นอีกครั้งอย่างไม่เกรงใจ จนกระทั่งทั้งสองคนหมดสติไป จึงพ่นลมหายใจออกมาแรง ๆ ก่อนจะโยนลงไปในถังขนาดใหญ่สำหรับดับไฟในกรณีเกิดเหตุไฟไหม้ภายในวัง หลังจากเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงปัดมือเดินกลับไปที่เดิม
เมื่อลองคำนวณเวลา เย่ซิวตู๋เข้าไปด้านในน่าจะประมาณหนึ่งเค่อแล้ว ไม่รู้ว่าเสิ่นอิงจะเป็นอย่างไรบ้าง จะรับมือได้ถึงตอนที่เย่ซิวตู๋กลับมาหรือไม่
ภายในห้องตำราหลวง ใครบางคนที่รู้ว่าถึงเวลาแล้วจึงไม่มีกะจิตกะใจที่จะพูดคุยกับฮ่องเต้ต่อ จึงทำท่าจะกล่าวลาเพื่อออกไป
“ซิวเอ๋อร์ สองวันมานี้เหตุใดเจ้าถึงได้ขยันเข้าวังเล่า? ในวังนี้มีเรื่องที่น่าสนใจมากขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน ถึงทำให้เจ้าเข้ามาคารวะพ่อถึงในวังติดต่อกันทั้งสองวัน?” ฮ่องเต้ตรัสเรื่องสัพเพเหระไปเรื่อยอยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าในที่สุดอีกฝ่ายก็ทนไม่ไหวและตัดสินใจจะกลับ จึงตรัสถามด้วยความหมายที่ลึกซึ้งหนึ่งประโยค
เย่ซิวตู๋เม้มปาก เขารู้สึกได้ว่าฮ่องเต้ดูเหมือนจะรู้อะไรบางอย่าง เพียงแต่ยังไม่กล้ายืนยัน
“หากเสด็จพ่อไม่มีเรื่องอื่นแล้ว ลูกขอตัวไปคารวะทักทายหมู่เฟยก่อน” เขายังคงพูดด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ เห็นได้ชัดว่าไม่ได้มีความสนใจต่อคำพูดอ้อมค้อมของฮ่องเต้
ฮ่องเต้รู้สึกไม่มีความสุขอยู่ในพระทัย หลังจากพระองค์ได้ไปเจอกับหนานหนาน พระองค์ก็รอคอยให้เย่ซิวตู๋เข้าวังมาโดยตลอด เพื่อพูดคุยกับอีกฝ่ายเกี่ยวกับเรื่องของเด็กคนนั้น พระองค์ทรงโปรดปรานหนานหนานมาก เหมือนกับตอนที่ฝ่าบาททรงโปรดปรานเย่ซิวตู๋เพียงคนเดียวท่ามกลางเหล่าองค์ชายจำนวนมากในครานั้น
เพียงแต่เย่ซิวตู๋ไม่เปิดโอกาสให้พระองค์ ในเวลานี้เหมียวเชียนชิวก็เดินเข้ามาในห้องตำราหลวงด้วยใบหน้าวิตกกังวล กระซิบข้างพระกรรณพระองค์อยู่สองสามประโยค
ฮ่องเต้หน้าเปลี่ยนสีเล็กน้อย ก่อนจะมองไปที่เย่ซิวตู๋ด้วยอารมณ์ซับซ้อนบนพระพักตร์
เย่ซิวตู๋รู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดีภายในใจ ใบหน้ายิ่งเคร่งขรึม เขาไม่คิดจะปล่อยให้ล่าช้ามากไปกว่านี้ ลุกขึ้นและขอทูลลา “เสด็จพ่อ วันหน้าลูกจะเข้ามาคารวะเสด็จพ่ออีกครั้ง ลูกขอทูลลา”
ฮ่องเต้โบกพระหัตถ์ให้หลังจากที่เขากล่าวจบ เย่ซิวตู๋จึงรีบสาวเท้าออกจากห้องตำราหลวง
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
รอท่านอ๋องมาช่วยคงได้น่วมเป็นกระสอบทรายก่อน ชิงลั่วจัดการเองแล้วค่ะ
ไหหม่า(海馬)