อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 139 พูดคุยกัน
ตอนที่ 139 พูดคุยกัน
หนานหนานปีนขึ้นมาบนภูเขาเทียมอย่างระมัดระวัง ปัดฝุ่นที่อยู่บนตัว มองไปยังทหารองครักษ์ที่กำลังวิ่งทั่ววังอีกครั้ง ดวงตากะพริบปริบ ๆ ก่อนจะขดตัวกลับไปอย่างเงียบ ๆ
พวกเขาคงไม่เห็นเขาเป็นนักฆ่าหรอกกระมัง เพราะเขาเพิ่งไปหยิบขนมมาสองก้อนจากห้องพระเครื่องต้น และโจ๊กรังนกอีกหนึ่งถ้วย ได้ยินมาว่า…ได้ยินมาว่าโจ๊กรังนกถ้วยนั้นดูเหมือนจะเอาไปให้เหนียงเหนียงอะไรสักอย่างกิน คงไม่ใช่เพราะเขากินไปแล้วจึงเห็นเขาเป็นนักฆ่าหรอกกระมัง?
หนานหนานตบหัวใจตัวเองที่กำลังเต้นตึกตักไม่เป็นจังหวะ จนกระทั่งทหารองครักษ์ที่อยู่ด้านล่างวิ่งออกไปแล้ว จึงลงมาด้านล่างอย่างระมัดระวัง และแอบเดินไปที่ตำหนักเพื่อไปหาเย่หลานเฉิง
ไม่ได้ เขาต้องซ่อนตัวเองก่อน แถมยังต้องไปล้างหน้าบ้วนปากด้วย เพื่อป้องกันไม่ให้อีกฝ่ายจับได้ว่าเขาแอบไปกินขนมและโจ๊กรังนกมา
จริง ๆ เลย เหนียงเหนียงอะไรนั่นก็ขี้งกเกินไปแล้ว ก็แค่โจ๊กรังนกเพียงถ้วยเดียวไม่ใช่หรือ? ถึงมันจะอร่อยมาก แต่ก็ไม่ควรเห็นเขาเป็นนักฆ่าสิ
ไม่เห็นจะยากเลย ไม่มีก็ทำเพิ่มอีกถ้วยสิ ขี้งกจัง
หนานหนานแค่นเสียงเย็น ก่อนจะเดินไปที่จวนของเย่หลานเฉิงอย่างระมัดระวังตลอดทาง
แต่เป็นเพราะเกิดความวุ่นวายเพราะนักฆ่า ทหารองครักษ์ที่อยู่ระหว่างทางจึงมีเยอะมาก การคุ้มกันก็ยิ่งแน่นหนาขึ้นด้วย หนานหนานเดินได้แค่สองก้าว ก็พบว่าทางที่จะไปยังที่พักของเย่หลานเฉิงถูกปิดกั้นไว้ เขากลับไปไม่ได้แล้ว
“เกินไปแล้ว ก็แค่โจ๊กรังนกถ้วยเดียว ถึงกับต้องปิดตายทางเดินของเด็กตัวเล็กๆ ตัวน้อย ๆ แบบนี้เลยหรือ ไม่มีความเป็นมนุษย์เอาเสียเลย” หนานหนานเหวี่ยงแขนพลางก่นด่าหนึ่งเสียง ครั้นสายตาพบว่ามีทหารองครักษ์กำลังเดินมาทางนี้ เขาจึงรีบหดคอซ่อนตัวอยู่ด้านหลังประตู
ทหารองครักษ์กลุ่มนั้นเดินไปด้านหน้าแล้ว สีหน้าเคร่งขรึมเย็นชาดูเหมือนจะไม่เห็นเขา ทั้งยังเดินเข้าไปที่ตำหนักเสียงเหอซึ่งตั้งอยู่ด้านหน้า
ใครจะไปคิดว่าตอนที่เพิ่งจะก้าวเท้าเข้าไปด้านในหนึ่งก้าว ก็ถูกคนที่ดูเหมือนขันทีไล่ตะเพิดออกมา
“ไสหัวออกไป ไม่รู้หรืออย่างไรกันว่าที่นี่คือที่ใด? จับนักฆ่ากลับมาจับถึงที่นี่ ไทเฮาเหนียงเหนียงกำลังนั่งสมาธิอยู่ด้านใน ใครกล้ารบกวน ระวังชีวิตเล็ก ๆ ของพวกเจ้าให้ดี”
ทหารองครักษ์ที่เป็นหัวหน้าและคนที่อยู่ด้านหลังหันสบตากัน ใบหน้าดูอ่อนโยนลงแต่กลับไม่มีท่าทีว่าจะถอย “กงกง พวกเราก็ทำตามคำสั่ง ภายในวังมีนักฆ่าปรากฏตัวขึ้น หากไม่รีบจับตัวโดยเร็ว หากนักฆ่าผู้นั้นรบกวนหรือทำร้ายไทเฮาขึ้นมา ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นไม่เท่ากับยิ่งเลวร้ายหรอกหรือ”
“สามหาว ด้านในและด้านนอกตำหนักเสียงเหอมีคนเฝ้าทุกจุด จะปล่อยให้นักฆ่าเข้ามาได้อย่างไรกัน หากพวกเจ้ายังกล้าก้าวเท้าเข้ามาด้านหน้าอีกก้าวเดียว จนรบกวนไทเฮา ก็อย่าหาว่าพวกเราไม่เกรงใจก็แล้วกัน”
ระหว่างที่พูด ขันทีผู้นั้นก็โบกมือวูบหนึ่ง ด้านหลังพลันปรากฏผู้คุ้มกันสี่คน แต่ละคนมีสีหน้าเย็นชาและแฝงด้วยกลิ่นอายแห่งการสังหาร ราวกับว่าหากทหารองครักษ์ที่ทำหน้าที่ตรวจค้นกล้าก้าวเท้ามาด้านหน้าอีก พวกเขาก็จะไม่สนใจหากต้องฆ่าพวกเขาเหล่านี้
องครักษ์เหล่านั้นหันสบตากัน ท้ายที่สุดเมื่อลองชั่งน้ำหนักอย่างละเอียดแล้ว จึงล้มเลิกแผนที่จะเข้าไปตรวจสอบ ครั้นหัวหน้าโบกมือวูบหนึ่ง องครักษ์คนอื่น ๆ จึงเดินตามเขาออกจากตำหนักเสียงเหอ
เพียงแต่พวกเขายังคงท่าทางปฏิบัติหน้าที่ของตนเองอย่างเคร่งครัด อยู่คุ้มกันในจุดที่ห่างออกไปเล็กน้อย แต่ไม่ได้เดินออกไปอย่างสมบูรณ์
หนานหนานขมวดคิ้ว ทหารองครักษ์เหล่านั้นชั่วร้ายเกินไปแล้ว ตอนนี้ไม่เพียงแต่ไม่สามารถไปที่ตำหนักของเสี่ยวเฉิงเฉิงได้เท่านั้น แม้แต่จะเดินไปดูมดสู้กันที่อุทยานอวี้ฮวาต่อก็ทำไม่ได้แล้ว
เขาถึงกับทำแก้มป่องด้วยความหดหู่ถึงขีดสุด ทำได้เพียงแค่หันหน้ากลับไป มองไปยังตำหนักเสียงเหอซึ่งเป็นทางเข้าเดียวที่ไม่มีทหารองครักษ์ยืนเฝ้าอยู่
ไทเฮา? เอ๋ ถูกต้อง เสี่ยวเฉิงเฉิงบอกว่า ด้านข้างเรือนของเขาคือตำหนักของไทเฮา นอกจากทางเข้าด้านนอกแล้ว ยังมีทางเข้าอีกหนึ่งจุดซึ่งก็คือตำหนักเสียงเหอของไทเฮานี่แหละ
อืม พูดแบบนี้ แสดงว่าเขาวิ่งจากที่นี่ไปยังที่พักของเสี่ยวเฉิงเฉิงได้สินะ?
หนานหนานยิ้มแย้ม ก้าวเท้าเล็ก ๆ ตรงไปยังทิศทางของตำหนักเสียงเหอทีละนิด
เพียงแต่ตำหนักเสียงเหอตอนนี้ไม่ได้ต่างอะไรกับอุทยานอวี๋ฮวาและทางเดินทอดยาวเลย ที่แห่งนี้มักจะได้รับการป้องกันอย่างแน่นหนาราวกับกำแพงเหล็ก ยิ่งไปกว่านั้นข่าวลือเรื่องนักฆ่าข้างนอกย่อมทำให้การคุ้มกันแน่นหนามากยิ่งขึ้น
ด้วยเหตุนี้ ตอนที่หนานหนานเพิ่งจะชะโงกหัวเล็ก ๆ ออกมา ก็มีมีดพาดอยู่ที่บนลำคอของเขาแล้ว
จากนั้น เหนือศีรษะของเขาก็มีเสียงเย็นชาดังขึ้นหนึ่งเสียง “หยุด”
ขาเล็ก ๆ หยุดทันใด หนานหนานขมวดคิ้วเหลือบมองมีดเป็นประกายล้อแสงอาทิตย์ที่พาดอยู่บนลำคอของตนเอง มุมปากเม้มจนกลายเป็นเส้นตรง หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง จึงสูดหายใจเข้าลึก ๆ หมุนตัวกลับมาอย่างระมัดระวังและเชื่องช้า เงยหน้ามองเงาสูงใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า
“ท่านลุง ข้าคิดว่าพวกเราควรคุยกันหน่อยนะ”
องครักษ์คนนั้นชะงัก ด้ามมีดที่อยู่ในมือถูกกำแน่นขึ้นเล็กน้อย น้ำเสียงยังคงเย็นชา “เจ้าอยู่ในตำหนักใด? มาทำอะไรที่นี่?” เมื่อดูการแต่งตัวของเด็กคนนี้ ดูเหมือนว่าจะไม่ใช่บ่าวหรือคนรับใช้ถึงจะถูก
หนานหนานไม่สนใจคำตอบของเขา ยังคงยืนกรานที่จะพูดคุย “ท่านลุง ท่านทำแบบนี้ไม่ถูกนะ ท่านเองก็เห็นแล้ว ข้าเป็นแค่เด็กตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง เด็กน้อยที่สูงยังไม่ถึงก้นของท่านด้วยซ้ำ เหตุใดท่านถึงได้ใช้ของที่เย็นเยือกเช่นนี้ออกมาข่มขู่ข้าล่ะ? หากข้าตกใจจนป่วยขึ้นมาจะทำอย่างไร? หากข้าตาเหลือกจนตายจะทำเช่นไร? หากมือของท่านสั่นแล้วมีดปาดคอของข้าขึ้นมาจะทำอย่างไร? หากเลือดทะลักออกมาแล้วเปื้อนทางเดินลาดยาวที่สวยงามเช่นนี้จะทำเช่นไร? หาก…”
มุมปากของทหารองครักษ์กระตุกวูบ เหตุใดถึงได้มีหากว่ามากมายขนาดนี้ เขาตั้งสติ สีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทว่าการพูดการจายังคงเย็นชาอย่างมาก “ที่นี่คือตำหนักเสียงเหอ ไม่ใช่สถานที่ที่เข้าจะมาเที่ยวเล่นได้ตามอำเภอใจ หากรบกวนไทเฮาขึ้นมาคงไม่มีใครชดใช้ได้”
“โถ่เอ๊ย ทำไมท่านถึงไม่ตั้งใจฟังในสิ่งที่ข้าพูดให้ดี” หนานหนานไม่พอใจ “ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าตอนนี้ควรนำมีดออกไปก่อน ทำแบบนี้ข้าก็ไม่กลัวแล้ว การพูดการจาก็คล่องแคล่วขึ้นด้วยถูกต้องหรือไม่? พวกเราพูดคุยกันก็ราบรื่นขึ้นด้วยจริงหรือไม่?”
เขาเป็นแบบนี้ยังเรียกว่าพูดจาไม่คล่องแคล่วอีกหรือ? หากเขาเคลื่อนมีดออกไป คงได้ใช้น้ำลายพ่นใส่เขาจนตายเลยกระมัง?
“เช่นนั้นเจ้าได้ฟังที่ข้าพูดอย่างชัดเจนแล้วหรือยัง? ที่นี่ไม่ใช่สถานที่ที่เจ้าสมควรจะเข้ามา”
“ดูท่านสิ เปลี่ยนประเด็นอีกแล้วสินะ?” เหตุใดคนคนนี้ถึงไม่ถูกคำพูดไร้สาระของตนเองทำให้มึนงงล่ะ? ดูเหมือนว่าการพูดคุยกันคงไม่มีประโยชน์แล้ว เช่นนั้น…ตดอัดหน้าเอาให้ตายเลยดีหรือไม่? หรือว่าจะวางยาใส่เขาให้เป็นลมไปเลย แบบนี้เขาก็สามารถเดินเข้าไปด้านในได้แล้ว
ทหารองครักษ์คนนั้นเริ่มปวดหัวแล้ว เด็กคนนี้ไม่รู้ว่ามาจากที่ใด เมื่อไม่ใช่บ่าวไพร่เขาก็ทำอะไรอีกฝ่ายไม่ได้ หากได้รับบาดเจ็บคงทำให้เกิดปัญหามากยิ่งขึ้น ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใดเขาถึงปรากฏตัวขึ้นที่นี่เพียงลำพัง ข้างกายของเขาไม่มีใครติดตามมาแม้แต่คนเดียวเลย
แน่นอนว่าข้างกายของหนานหนานมีคนติดตามมาด้วย ผู้พิทักษ์ทมิฬของฮ่องเต้แอบซ่อนตัวมองเขาอยู่ตลอดเวลา ตอนที่ทหารองครักษ์คนนั้นชักดาบออกมาเขาก็เกือบจะลงมืออยู่แล้ว โชคดีที่คนคนนั้นดูเหมือนว่าจะเข้าใจเช่นกัน และทราบว่าไม่ควรทำร้ายร่างกายนายท่านตัวน้อยภายในวังแห่งนี้
เพียงแต่…คำพูดของหนานหนานทำให้พวกเขาเกือบหลุดขำออกมา
ทว่าฮ่องเต้เคยตรัสไว้ว่า หากไม่ได้เป็นกังวลถึงชีวิตก็ไม่อนุญาตให้พวกเขาปรากฏตัวออกมา แม้พวกเขาเกิดความคิดอยากห้ามไว้ตอนที่เห็นว่าเจ้าเด็กคนนี้ตัดสินใจเข้ามาในตำหนักเสียงเหอของไทเฮา ทว่าก็เลือกที่จะละทิ้งความคิดนั้นไป
“ใครกำลังเอะอะโวยวายอยู่ด้านนอก?”
อย่างไรก็ตาม ขณะที่ทหารองครักษ์และหนานหนานกำลังจ้องมองกันและกัน จู่ ๆ ด้านหลังก็เกิดเสียงทุ้มต่ำที่ไม่ได้โกรธแต่กลับทรงพลังดังขึ้น
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นับถือความใจกล้าของน้องมากค่ะ ขนาดโดนมีดจ่อคอแบบนั้นยังพูดเป็นต่อยหอยจนองครักษ์ปวดหัวได้
คนที่มาใหม่นี่เป็นไทเฮาหรือเปล่านะ
ไหหม่า(海馬)