อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 144 ลืมไปเสียสนิท
ตอนที่ 144 ลืมไปเสียสนิท
หนานหนานจ้องมองเย่หลานเวยด้วยใบหน้าเรียบนิ่ง เจ้าบ้านี่ คิดไม่ถึงเลยว่าจะปฏิบัติกับเสี่ยวเฉิงเฉิงของเขาแบบนี้ เสี่ยวเฉิงเฉิงเป็นสหายในวังคนแรกของเขา ทั้งยังมอบของอร่อย ๆ ให้เขากินทั้งหมด เหตุใดเขาถึงได้ถูกทำให้อับอายเช่นนี้?
โกรธเจียนจะตายแล้ว ๆๆ เขาโกรธจนลืมคำพูดของท่านน้าลวี่ฝูไปเสียสนิทเลย
ในเวลานี้ การย่างก้าวของลวี่ฝูถึงกับซวนเซเล็กน้อยเพราะความไม่สบายใจ นางวิ่งเข้ามาด้านในตำหนักเสียงเหอ รายงานสถานการณ์ทางฝั่งนี้ให้ไทเฮาฟังโดยไม่มีการใส่สีตีไข่
เสียง “ตึง” ดังขึ้น ไทเฮาขมวดคิ้ววางจอกในพระหัตถ์ลงบนถาดที่นางข้าหลวงยืนให้ จากนั้นซับพระโอษฐ์ ตรัสเคล้ารอยยิ้มเย็นชา “องค์ชายเหล่านี้ นับวันยิ่งกล้าหาญมากขึ้นเรื่อย ๆ ขนาดเราอยู่ในตำหนักเสียงเหอแห่งนี้ พวกเขายังกล้าให้ลูกของตนเองบุกมาสร้างปัญหาถึงที่นี่”
“ไทเฮา…” ลวี่ฝูก้มหน้าลง ไม่กล้าตอบกลับ
ต่อมาก็พบว่าไทเฮาลุกขึ้นยืน ใบหน้าพลันปรากฏความดีใจ ดูเหมือนว่าก้นบึ้งหัวใจของไทเฮาคงรักเฉิงซื่อจื่อมาก จึงแอบถอนหายใจด้วยความโล่งอกอย่างเงียบ ๆ ลุกขึ้นก้าวเท้าไปด้านหน้าเพื่อช่วยประคอง
ทว่าไทเฮาเพิ่งลุกขึ้นยืนก้าวพระบาทมาด้านหน้าสองก้าว ทว่าจู่ ๆ ก็หยุดชะงักไปอีกครั้ง
“เราไม่ไปแล้ว”
“ไทเฮา?” ลวี่ฝูประหลาดใจ หรือว่าไทเฮาไม่คิดจะสนใจความเป็นความตายของเฉิงซื่อจื่อ?
ไทเฮาเม้มพระโอษฐ์ ปล่อยมือของลวี่ฝูก่อนจะกลับมานั่งลงอีกหน สั่งให้นางข้าหลวงที่อยู่ข้าง ๆ ยกแก้วน้ำชามาให้ หลังจากจิบน้ำจนชุ่มคอ จึงตรัสอย่างเนิบช้าว่า “หลานเฉิงอายุเจ็ดปีแล้ว หากคิดจะได้รับความสนใจจากฮ่องเต้ ก็ต้องมีความสามารถในการพึ่งพาตนเองเพื่อแก้ปัญหาเรื่องในวันนี้ เราเองก็อยากเห็นเช่นกันว่าสองปีผ่านมาที่เขาอยู่ในเรือนเพียงลำพังแห่งนั้น ได้เติบโตไปถึงขั้นไหนแล้ว”
ลวี่ฝูแอบรู้สึกจิตใจหดหู่ ดูเหมือนว่าวันนี้เฉิงซื่อจื่อคงได้รับกับความทุกข์ทรมานแล้ว
“ลวี่ฝู เจ้าไปดูสักหน่อย ขอแค่ไม่สร้างปัญหาจนถึงชีวิต เจ้าก็ไม่จำเป็นต้องออกไปห้าม หากสร้างปัญหามากเกินสมควร ก็เรียกตัวพวกเขาทั้งหมดให้มาหาเรา” สีพระพักตร์ของไทเฮากลับมาเป็นปกติแล้ว บนพระพักตร์ดูเรียบเฉย ก่อนจะเปลี่ยนเป็นท่าทางไม่สะทกสะท้านราวกับเรื่องนี้มิได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระนาง
ลวี่ฝูก้มหน้าลงช้า ๆ กระซิบเสียงเบา “เพคะ ลวี่ฝูน้อมรับพระบัญชา”
นางไม่ได้กลัวว่าเฉิงซื่อจื่อและคนอื่น ๆ จะสร้างปัญหาจนถึงชีวิต ถึงอย่างไรเด็ก ๆ ก็ทะเลาะกันไม่ได้จริงจังอะไร บ่าวรับใช้เหล่านั้นก็คอยจับตาดูสถานการณ์ได้ตลอดเวลา
สิ่งที่ลวี่ฝูเป็นกังวลก็คือ เด็กคนนั้นที่เพิ่งรู้จักกันในวันนี้
หนานหนานในฐานะสหายข้างกายของเฉิงซื่อจื่อ หากเอาแต่หดหัวหลบซ่อนอยู่ในซอก มองดูเจ้านายของตนเองถูกคนอื่นรังแกโดยไม่คิดจะออกไปช่วยเหลือ ถ้าเรื่องนี้ไปถึงพระกรรณของฮ่องเต้ เขาย่อมต้องถูกลงโทษเป็นแน่ ไม่เพียงแต่ทองที่เขาเอาแต่พร่ำบ่นถึงจะไม่ได้ แม้แต่ศีรษะของเขาก็อาจจะถูกตัดด้วย
ทว่า หากหนานหนานโกรธจนถึงขั้นพุ่งตัวออกไป ซื่อจื่อเหล่านั้นทำอะไรเฉิงซื่อจื่อไม่ได้ แต่ก็คงระบายความโกรธที่หนานหนานแทน นางข้าหลวงและขันทีไม่มีทางเสี่ยงอันตรายด้วยการออกตัวสร้างความขุ่นเคืองให้องค์ชาย เพียงเพราะต้องการช่วยเหลือสหายข้างกายคนหนึ่ง
ลวี่ฝูยิ่งคิด ภายในใจก็ยิ่งเป็นกังวล การย่าวเท้าก็เร็วขึ้นเรื่อย ๆ
ทว่าสิ่งที่นางไม่รู้ก็คือ ตอนที่ร่างของนางเพิ่งจะก้าวเข้ามาในตำหนักเสียงเหอ หนานหนานได้โยนผลไม้แช่อิ่มในมือลงบนพื้น พร้อมกับตะโกนส่งเสียงคำรามพุ่งตัวออกไปแล้ว
“เจ้าพวกอัปลักษณ์จอมโอ้อวดเหล่านี้ กล้าดีอย่างไรถึงได้มารังแกเสี่ยวเฉิงเฉิงของข้า อยากตายงั้นหรือ?” พลังของหนานหนานช่างแรงกล้า ถึงขั้นใช้เท้าเตะเย่หลานเวยที่กำลังเหยียบหลังมือของเย่หลานเฉิงกระเด็นออกไป
เสียง “ตุ้บ” ดังขึ้น ทุกคนยังไม่ทันได้ตั้งหลัก ก็พบว่าเย่หลานเวยถูกหนานหนานเตะจนเซถอยหลังไปหลายก้าว ก่อนจะล้มก้นจ้ำเบ้าลงบนพื้นอย่างหนัก
เย่หลานเวยนั่งอยู่ตรงนั้นไม่ได้สติกลับมาชั่วขณะหนึ่ง จ้องมองเจ้าเด็กคนนั้นที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวออกมา
คนรับใช้ที่เดิมทีคอยดูแลพวกเขาได้สติกลับมาเป็นกลุ่มแรก แต่ละคนปรี่ตัวเข้ามาด้วยความรีบร้อน โดยไม่ได้สนใจที่จะขัดขวางขันทีและนางข้าหลวงภายในเรือนแห่งนี้ “ซื่อจื่อ ซื่อจื่อเป็นอะไรหรือไม่ขอรับ บาดเจ็บตรงไหนหรือไม่ขอรับ? เจ็บตรงไหนขอรับ?”
“โอ๊ย…” เย่หลานเวยเพิ่งจะได้สติกลับมา ความเจ็บปวดบริเวณก้นกระตุ้นให้เขาส่งเสียงร้องดังลั่น ความอายเปลี่ยนเป็นความโกรธขณะผลักคนรับใช้ที่ห้อมล้อมอยู่รอบตัวตนเองออกไป ยกมือกุมบ่าที่หนานหนานกระแทกเข้าใส่จนเจ็บปวดขณะลุกขึ้นยืน ก่อนจะยกนิ้วมือที่แอบสั่นระริกชี้หน้าอีกฝ่าย ตะโกนด่าดังลั่นว่า “เจ้าเป็นบ่าวสุนัขจากที่ใดกัน กล้าดีอย่างไรถึงได้มาชนข้า? เจ้ากล้ามากนะ”
หนานหนานดึงเย่หลานเฉิงให้ลุกขึ้นยืน ไม่แม้แต่จะมองเย่หลานเวยที่กำลังยืนด่าตนเอง สายตาเอาแต่ต้องมองหลังมือของเย่หลานเฉิงที่ถูกเหยียบจนผิวหนังถลอกและมีเลือดซึมออกมา ทั้งยังออกแรงเป่าให้เขา “เสี่ยวเฉิงเฉิง เจ็บมากเลยใช่หรือไม่”
“ไม่เป็นไร ๆ” เย่หลานเฉิงรีบดึงมือกลับมา มองหนานหนานที่จู่ ๆ ก็ปรากฏตัวขึ้นมาด้วยความกังวล ภายในใจแอบเกิดความกังวล
เมื่อครู่เขายังแอบรู้สึกโชคดีที่คนเหล่านี้มาถึงที่นี่ตอนที่หนานหนานออกไปเล่นพอดี คิดไม่ถึงเลยว่าเพิ่งผ่านไปครู่หนึ่ง หนานหนานจะพุ่งตัวออกมา ทั้งยัง…ทั้งยังชนเย่หลานเวยด้วย
เรื่องนี้คงไม่สามารถเก็บกวาดได้แล้ว
ซื่อจื่ออีกสองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ เย่หลานเวยได้สติกลับมาในทันที ดวงตาที่จ้องมองราวกับไม่อยากเชื่อในสิ่งที่เห็น
“นี่ เวยซื่อจื่อถามเจ้าอยู่ กล้าดีอย่างไรถึงได้แสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน”
เย่หลานเฉิงถึงกับตกตะลึง รีบดึงหนานหนานไปยืนอยู่ด้านหลังตัวเอง ดึงมุมปากพูดกับเย่หลานเวยที่กำลังโกรธเคือง “พวกเจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่? พวกเราต่างคนต่างอยู่ไปสิ เหตุใดต้องมาทะเลาะกับข้าด้วย”
“อ้าว เจ้ายอมอ้าปากพูดแล้วหรือ?” เย่หลานเวยอายุยังไม่มาก ท่าทางดูหมือนจะอายุแค่สิบกว่าปี กลับแสดงท่าทางหยิ่งผยองไม่ใช่น้อย “ข้าคิดว่าหลายปีมานี้เจ้าเอาแต่อยู่ที่นี่จึงไม่มีใครพูดคุยกับเจ้า ทำให้ลืมไปแล้วว่าต้องพูดอย่างไร จึงกลายเป็นใบ้ไปแล้วเสียอีก ”
“เย่หลานเวย เชิญเจ้าออกไปจากที่นี่ซะ”
“ออกไป?” เย่หลานเวยถูกผลักขนาดนั้น ทั้งยังถูกยั่วโมโหเช่นนี้ ไหนเลยจะยอมฟังคำพูดของเย่หลานเฉิง ยกมือเท้าสะเอวพลางยิ้มเยาะ “วันนี้ข้าจะไม่ไปไหนทั้งนั้น ข้าจะสั่งสอนเจ้าให้หนัก ทำให้เจ้ารู้ว่าตนเองเป็นใคร อย่าคิดว่าฮ่องเต้เสด็จมาหาเจ้าแค่ครั้งเดียว เจ้าจะเชิดหน้าคิดว่าตนเองอยู่สูงกว่าคนอื่นได้ สำหรับข้า เจ้ายังเทียบกับบั้นท้ายไม่ได้เลยด้วยซ้ำ”
“งั้นก็แปลว่าเจ้าเป็นบั้นท้ายน่ะสิ?” หนานหนานชะโงกหน้าโผล่ออกมาจากด้านหลังของเย่หลานเฉิง ยอกย้อนกลับไปอย่างไม่เกรงใจ
เย่หลานเฉิงรีบดันหนานหนานให้ซ่อนตัวกลับไป “หนานหนาน เจ้าอย่าพูด”
เย่หลานเวยหรี่ตาลง เห็นท่าทางของเย่หลานเฉิงที่กำลังปกป้องหนานหนาน ภายในใจก็เริ่มเกิดความคิด “ยอดเยี่ยม เป็นแค่บ่าวสุนัขกล้าดีอย่างไรถึงได้มาต่อล้อต่อเถียงกับข้า? เจ้าคิดว่าซ่อนอยู่หลังเย่หลานเฉิงแล้วจะปลอดภัยจริง ๆ งั้นรึ? วันนี้เจ้าชนข้าเช่นนี้ แค่นี้ก็เพียงพอที่จะถูกลากออกไปสับเป็นชิ้น ๆ แล้ว วันนี้ข้านี่แหละที่จะอัดเจ้าให้ตาย ดูสิว่าเย่หลานเฉิงจะมีปัญญาทำตัวเป็นภูเขาให้เจ้าพึ่งพิงหรือไม่ โผล่หัวออกมา อย่าเอาแต่หลบซ่อน”
“ไม่ซ่อนก็ไม่ซ่อนสิ” หนานหนานไม่มีความสุขที่ต้องหลบซ่อนเช่นกัน เขาแค่นเสียงอย่างเย็นชา ก่อนจะเดินออกมาจากด้านหลังของเย่หลานเฉิงอย่างเปิดเผย กำมือเล็ก ๆ ด้วยท่าทางหยิ่งผยองอย่างมาก “เจ้าไม่มีความสุขที่ข้าเถียงเจ้ามิใช่หรือ? เช่นนั้นข้าก็จะไม่พูดอะไรแล้ว ลงมือเลยก็แล้วกัน”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อ้าววว ไหงงั้นล่ะไทเฮา ให้น้องเฉิงสู้เองเหรอ
หนานหนานสู้ตายแล้ว หยามสหายรักขนาดนี้ ยอมไม่ได้
ไหหม่า(海馬)