อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 153 ข่มขู่
ตอนที่ 153 ข่มขู่
เหมิงกุ้ยเฟยถึงกับร่างสั่นสะท้าน พลันเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีปะทุขึ้น
นางโบกมือ พูดกับหมอหลวงและอาจารย์เสิ่นที่อยู่ด้านในห้อง “พวกเจ้าออกไปก่อน”
คนที่อยู่ภายในห้องเกิดอาการอกสั่นขวัญแขวนจนแทบอยากจะออกไปจากที่นี่ในทันทีตั้งแต่แรกแล้ว เมื่อกุ้ยเฟยพูดเช่นนี้ จึงไม่มีเหตุผลที่จะอยู่ที่นี่ต่อไป หลังจากกล่าวลาจึงถอยออกไป จนกระทั่งเดินไปถึงประตูก็ลอบถอนหายใจออกมา
คนที่อยู่ภายในห้องถูกกุ้ยเฟยไล่ออกไปทั้งหมด แม่แต่ขันทีและนางข้าหลวงก็ไม่มีเหลือแม้แต่คนเดียว
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงหันกลับมาด้วยใบหน้าเย็นชา ไม่ได้มีสีหน้าผ่อนคลายเหมือนกับตอนที่ฮ่องเต้ยังอยู่
“เจ้ามีอะไรจะคุยกับเรา?”
เย่ซิวตู๋วางแก้วน้ำชาลง ลุกขึ้นยืนและเดินไปยังหัวเตียงที่องค์ชายเจ็ดนอนอยู่ นิ้วมือแหวกม่านเตียงเล็กน้อย สายตาสำรวจไปที่ใบหน้าของเย่ห้าวถิงที่มีสีดำ ก่อนกล่าวขึ้นอย่างเนิบช้าว่า “จะว่าไป ข้าเองก็ไม่ได้เจอน้องเจ็ดมาสี่ปีแล้ว สี่ปีที่ไม่เจอกัน น้องเจ็ดก็ยิ่งวางมาดมากขึ้นเรื่อย ๆ หมู่เฟย น้องเจ็ดช่างคล้ายกับท่านจริง ๆ”
เหมิงกุ้ยเฟยขมวดคิ้ว “เจ้าคิดจะพูดอะไรกันแน่?”
“หมู่เฟย ท่านคิดไม่คิดจริง ๆ หรอกกระมังว่าคนแซ่เสิ่นผู้นั้นจะถอนพิษของน้องเจ็ดได้” หลังจากปล่อยม่านเตียง เย่ซิวตู๋จึงหันกลับมา มองเหมิงกุ้ยเฟยที่กำลังขมวดคิ้วทว่ายังคงมีความสง่างามด้วยสีหน้ามีความสุข
เหมิงกุ้ยเฟยเป็นสตรีผู้มีความงดงามมากจริง ๆ แม้อายุอานามย่างสี่สิบแล้ว แต่นางก็ยังดูแลตัวเองให้มีความสง่างามได้ดังเดิม ทั่วทั้งร่างกายมีเสน่ห์ที่ยากเกินกว่าจะพรรณนาประกายออกมา ในบรรดานางในของอาณาจักรเฟิงชาง นางคือคนที่มีรูปร่างหน้าตาเกินกว่าจะหาใครเทียบเทียม แม้แต่นางสนมสาวผู้มีความงดงามที่เพิ่งเข้ามาในวังเหล่านั้น ก็ไม่มีเสน่ห์และความสง่างามเหมือนกับเหมิงกุ้ยเฟย
ด้วยเหตุนี้ ความโปรดปรานของนางจึงยืนยาว ความรักที่ฮ่องเต้มีต่อนางจึงมากกว่าคนอื่น ๆ ดังนั้นไทเฮาจึงไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง ไทเฮาไม่โปรดปรานนาง ทว่าก็ทำอะไรนางไม่ได้ มีฮ่องเต้คอยปกป้อง นับเป็นอาวุธที่มีประโยชน์ที่สุดภายในวังแห่งนี้แล้ว
เหมิงกุ้ยเฟยหรี่ตามองเย่ซิวตู๋ที่ก้าวเท้าเข้ามาหาที่ละก้าว มุมปากเม้มเป็นเส้นตรง ใบหน้าดูเคร่งขรึม “อาจารย์เสิ่นคือหมอปีศาจ”
“หมู่เฟยก็ยังเชื่อเขาไปได้ หากเขามีความสามารถนั้นจริง ๆ ก็คงถอนพิษให้น้องเจ็ดได้ตั้งแต่เกิดเรื่องแล้ว เหตุใดถึงต้องเสียเวลากลับไปศึกษา บอกไม่ได้แม้กระทั่งระยะเวลา”
“เย่ซิวตู๋ เจ้าหมายความว่าอย่างไรกันแน่?” เหมิงกุ้ยเฟยไม่มีความอดทนสำหรับเขามาโดยตลอด ไม่มีคนอื่น ๆ อยู่ที่นี่ นางยิ่งไม่แสดงท่าทางเป็นมิตรออกมาให้เห็น
เย่ซิวตู๋คุ้นชินกับท่าทางเช่นนี้ของนางมานานแล้ว และไม่คิดจะใส่ใจ เคาะนิ้วมือลงบนโต๊ะเบา ๆ ยังคงพูดอย่างไม่รีบร้อน “พิษของน้องเจ็ด หมอหลวงถอนให้ไม่ได้ คนแซ่เสิ่นก็ถอนพิษให้ไม่ได้เช่นกัน”
เหมิงกุ้ยเฟยชะงัก หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ดวงตาพลันเบิกกว้างขึ้น พุ่งตัวมาด้านหน้าด้วยใบหน้าเหี้ยมโหด ก่อนจะตบฉาดเข้าที่หน้าของเย่ซิวตู๋แรง ๆ
“พรึ่บ” เย่ซิวตู๋ยิ้มเยาะ จับข้อมือของนางไว้ สายตาประสานเข้ากับดวงตาที่เกลียดชังจนอยากจะฆ่าเขาของผู้เป็นมารดา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย
“เจ้าสินะ เจ้าสินะที่วางยาพิษ? เป็นเจ้านี่เอง…”
“หมู่เฟยพูดอะไรกัน คนที่วางยาพิษใส่น้องหกคือนักฆ่าผู้นั้นต่างหาก” เย่ซิวตู๋สะบัดมือแรง ๆ ด้วยกำลังที่ค่อนข้างมาก ร่างกายของเหมิงกุ้ยเฟยจึงเสียสมดุลจนซวนเซ ก่อนจะกระแทกเข้ากับโต๊ะที่อยู่ข้าง ๆ ทำให้ถ้วยน้ำชาและกาน้ำชาบนโต๊ะล้มระเนระนาดลงบนพื้น
“เคล้ง ๆๆๆ” เสียงที่ดังสนั่นทำให้เหล่าขันทีและนางข้าหลวงที่อยู่เฝ้าด้านนอกถึงกับตกใจจนสะดุ้งโหยง
แม้แต่อวี้ชิงลั่วที่ยืนอยู่ไกล ๆ ก็ถึงกับเลิกคิ้วขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ ลงไม้ลงมือใส่กันแล้วหรือ? หรือคิดจะพังเรือนกันแล้ว
ความสัมพันธ์ของสองแม่ลูกคู่นี้ต่อให้แย่กว่านี้ อย่างน้อย ๆ ก็ต้องรักและดูแลดอกไม้และยอดหญ้าที่อยู่โดยรอบ อย่าได้ทำให้ของคุณภาพสูงเหล่านั้นต้องพังไปด้วยเลย มันมีราคาสูงมากเชียวนะ
ระหว่างที่นางกำลังครุ่นคิด ภายในใจก็แอบนึกเสียดายขึ้นมา หากหนานหนานอยู่ที่นี่ เขาคงได้เข้าไปคุยด้วยแล้ว
“ด้านในเกิดเสียงดังขนาดนั้น คงไม่ใช่ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรอกกระมัง” ในกลุ่มนางข้าหลวงเกิดความกังวลขึ้นแล้ว พวกนางเริ่มกระซิบพูดคุยกัน
“ชู่ อย่าพูดจาเหลวไหล ท่านอ๋องซิวอยู่ในนั้น ไม่มีปัญหาอะไรหรอก”
“ก็นั่นน่ะสิ ท่านอ๋องซิวและองค์ชายเจ็ดต่างก็เป็นบุตรชายของกุ้ยเฟยทั้งคู่ แม่ลูกพูดคุยกัน จะมีปัญหาอะไรได้? ข้าว่านะ เหนียงเหนียงคงเป็นกังวลเกี่ยวกับพิษที่องค์ชายเจ็ดได้รับมากเกินไป จึงเผลอทำให้แก้วชาแตกเพราะไม่ทันได้ระวัง”
เจี่ยนเซียงนางข้าหลวงข้างกายของเหมิงกุ้ยเฟยขมวดคิ้วอย่างห้ามไม่อยู่ เป็นเพราะท่านอ๋องซิวอยู่ที่นี่ ในนั้นจึงอาจจะเกิดเรื่องต่างหากเล่า คนอื่นไม่รู้ แต่นางจะไม่รู้เชียวหรือว่าความสัมพันธ์ระหว่างเหนียงเหนียงและท่านอ๋องซิวนั้นราวน้ำกับไฟ?
เจี่ยนเซียงก้าวเท้าไปด้านหน้าหนึ่งก้าวอย่างห้ามไม่อยู่ ทว่ากลับถูกขันทีที่อยู่ข้าง ๆ ดึงกลับมาพร้อมกับส่ายหน้าให้นาง “เหนียงเหนียงไม่อนุญาตให้พวกเราเข้าไป พวกเราก็อยู่รอข้างนอกเถอะ”
เจี่ยนเซียงเม้มปาก พยักหน้าและถอยกลับไป
โชคดีที่ด้านในนั้นไม่มีเสียงดังขึ้นอีก กุ้ยเฟยถูกสะบัดเช่นนั้น จึงรู้สึกปวดเอวเพราะถูกกระแทก ความเกลียดชังที่มีต่อเย่ซิวตู๋ก็ยิ่งทวีมากขึ้นด้วย
ตอนนี้นางเกลียดจนอยากจะฆ่าเขาจริง ๆ คนอกตัญญูผู้นี้ถึงขั้นลงมือกับน้องชายแท้ ๆ ของตนเองอย่างเหี้ยมโหด
ดวงตาทั้งคู่ของเหมิงกุ้ยเฟยเต็มไปด้วยเส้นเลือดฝอย หันกลับมาถลึงตาใส่เย่ซิวตู๋อย่างดุดัน เปล่งเสียงพูดทีละคำ “ฮ่าวถิง เป็นน้องชายแท้ ๆ ของเจ้านะ”
“ข้ารู้ดี ดังนั้นข้าจึงไม่นึกเสียดายหากจะช่วยให้น้องชายกลับมา” เย่ซิวตู๋ไม่แม้แต่จะมองเขา สีหน้าเต็มไปด้วยความเย็นชา “หมู่เฟยก็คงได้ยินที่หมอเสิ่นพูดแล้ว หลังจากนี้อีกสิบวัน เขาจะไปประลองทักษะทางการแพทย์กับแม่นางคนหนึ่ง ถึงเวลานั้น ข้าจะพาแม่นางคนนั้นเข้าวังเพื่อถอนพิษให้น้องเจ็ด หมู่เฟยอย่าได้เป็นกังวล หลังจากนี้อีกสิบวัน น้องเจ็ดจะปลอดภัยหายห่วงเป็นแน่”
“เจ้ากำลังข่มขู่เรา” เหมิงกุ้ยเฟยหรี่ตาลง เห็นได้ชัดว่าพิษนี้เย่ซิวตู๋เป็นคนวางใส่ ยาถอนพิษจึงมีแค่เขาที่มี เหอะ เขาคิดไว้รอบด้านจริง ๆ เพื่อขจัดความสงสัย เขาจึงอ้างถึงแม่นางที่เข้าใจทักษะทางการแพทย์เพียงเล็กน้อยออกมา
“หมู่เฟยจริงจังเกินไปแล้ว”
เป็นจุดอ่อนเพียงสิ่งเดียวจริง ๆ เพียงเพราะเย่ฮ่าวถิง แม้แต่ท่าทางที่สงบเสงี่ยมก็หายไปแล้ว
“แต่การที่ข้ารู้จักกับแม่นางคนนั้นและพานางมาเพื่อถอนพิษให้น้องเจ็ดก็เป็นเพราะข้อตกลงที่ทำไว้ภายในโรงเตี๊ยมเมื่อวานนี้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้อารักขาของข้าก็ไม่มีความผิดใด ๆ แล้ว หมู่เฟยคิดว่าจริงหรือไม่?”
เหมิงกุ้ยเฟยรู้สึกตึงเครียดไปทั้งร่างกาย ราวกับว่าหากชนเพียงเล็กน้อย ร่างกายอาจหักได้
เป็นอย่างที่คาดไว้ ทั้งหมดที่เขาทำไปมากมายขนาดนั้น ก็เพื่อเพราะบ่าวคนนั้น
นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ ข่มกลิ่นคาวเลือดที่ปะทุขึ้นมาถึงคอ กล่าวด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ตกลง เจ้าถอนพิษให้ฮ่าวถิงได้เมื่อไร เราจะปล่อยตัวผู้อารักขาคนนั้นของเจ้าเมื่อนั้น”
แต่แค้นนี้ หลังจากนี้เขาต้องชดใช้สิบเท่า
นี่เป็นบุตรชายคนดีของนางจริง ๆ บุตรชายที่นางคลอดออกมา ตอนที่นางคลอดเขาออกมา เหตุใดนางถึงไม่ใจดำตัดสินใจบีบคอเขาให้ตาย ๆ ไปเสีย ตอนนี้เขาปีกกล้าขาแข็งแล้ว แม้แต่คำพูดของนางก็ไม่คิดจะฟังอีกต่อไป ไม่เพียงแค่ไม่ช่วยปูทางให้น้องชายของตนเองขึ้นไปนั่งบนตำแหน่งฮ่องเต้ แต่ยังกล้าวางยาพิษให้น้องตัวเองอีก
“ตอนนี้รีบไสหัวออกไปจากตำหนักของเราซะ ไสหัวออกไป เราไม่อยากเห็นหน้าเจ้า”
เย่ซิวตู๋มีสีหน้าเรียบเฉย ยังคงอยู่ในท่าทางนิ่งสงบเหมือนกับตอนที่มาถึง เขาก้าวเท้ามาด้านหน้าสองสามก้าว จู่ ๆ ก็หยุดลงอีกครั้ง เอ่ยปากพูดโดยไม่แม้แต่จะหันหน้ากลับมา
“จริงสิ มีบางอย่างที่ข้าลืมบอกหมู่เฟย”
…………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คิดแล้วก็ไม่แปลกเลยที่ท่านอ๋องซิวได้ความโหดมาจากไหน นังกุ้ยเฟยนี่ร้ายจริงๆ
ยังมีอะไรที่ท่านอ๋องไม่ได้บอกอีก?
ไหหม่า(海馬)