อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 155 อันตรายมาก
ตอนที่ 155 อันตรายมาก
เสนาบดีฝั่งขวา เสนาบดีฝั่งขวาเข้ามาทำอะไรในวังช่วงเวลานี้?
เอ๋ จริงสิ ฮ่องเต้เสด็จออกจากตำหนักอี๋ซิ่งด้วยความรีบร้อน คงไม่ใช่เพราะต้องการเจอเสนาบดีฝั่งขวาหรอกกระมัง
หลี่จื่อฟานเห็นเย่ซิวตู๋เช่นเดียวกัน ในเมื่อเจอกันแล้ว ย่อมต้องทักทาย ยิ่งไปกว่านั้น ขันทีที่เดินนำอยู่ด้านหน้าเขาก็คุกเข่าลงไปก่อนแล้ว “บ่าวคารวะท่านอ๋องซิว”
“ลุกขึ้นเถิด” เย่ซิวตู๋มองขันทีผู้นั้นปราดหนึ่ง ก่อนจะดึงสายตากลับไปที่เสนาบดีฝั่งขวาอีกครั้ง
เมื่อนึกถึงคำพูดของฉินซงที่บอกเขาเมื่อวาน ดวงตาของเขาพลันหรี่ลงเล็กน้อยอย่างห้ามไม่อยู่
หลี่จื่อฟางและอวี้ชิงลั่ว…เคยรู้จักกันมาก่อน
“คารวะท่านอ๋องซิว” เสนาบดีฝั่งขวาพยักหน้าให้เล็กน้อย ท่าทางสง่างามและสูงส่งเหมือนเช่นเคย
หลังจากกล่าวทักทายจบ จู่ ๆ สายตาของเขาก็หรี่ลง หันไปมองอวี้ชิงลั่วที่ยืนอยู่ด้านหลังเย่ซิวตู๋ คิ้วขมวดเข้าหากันเล็กน้อย จึงเกิดความคิดอยากจะก้าวเท้ามาด้านหน้าอย่างห้ามไม่อยู่
ไม่มีใครคาดคิดตอนที่เสนาบดีฝั่งขวาเพิ่งจะยกเท้าขึ้น เย่ซิวตู๋กลับเข้ามาขวางตรงหน้าเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ กล่าวเสียงทุ้มต่ำว่า “เสนาบดีฝั่งขวา เรายังมีธุระต้องทำ ขอตัวก่อน”
ครั้นกล่าวจบ ก็เบี่ยงตัวไปด้านข้าง ขวางอวี้ชิงลั่วให้เดินออกไปด้านนอกโดยไม่เหลือร่องรอยให้สังเกตเห็น
สายตาหลี่จื่อฟานดูลึกซึ้ง จ้องมองเด็กรับใช้ที่เดินตามหลังเย่ซิวตู๋ เขารู้สึกได้ว่าเงาแผ่นหลังของคนคนนี้ช่างคุ้นตา รวมถึงท่าทางการเดินนั้น ไม่ได้มีความรู้สึกของเด็กรับใช้เลยสักนิด
“ท่านเสนาบดี ท่านเสนาบดีขอรับ?” ขันทีที่อยู่ข้าง ๆ เห็นว่าเย่ซิวตู๋เดินออกไปไกลแล้ว จึงลุกขึ้นมาอย่างเนิบช้า ไม่มีใครคิดว่าจู่ ๆ เสนาบดีฝั่งขวาจะหยุดชะงักอีกครั้ง สายตาเอาแต่จ้องแผ่นหลังของท่านอ๋องที่ไม่รู้ว่ามองเห็นอะไร “ท่านเสนาบดี ฝ่าบาทกำลังรออยู่ที่ห้องตำราหลวง พวกเรารีบไปเถอะขอรับ”
หลี่จื่อฟานได้สติกลับมาในทันที ขจัดความคิดที่ยุ่งเหยิงในหัวเหล่านั้นออกไป แอบถอนหายใจอย่างเงียบ ๆ เขารู้สึกได้ว่าตนเองแอบมีมารอยู่ในใจ หลังจากที่ได้เจอชิงลั่วเมื่อวานนี้ เขาก็มีอาการจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวมาโดยตลอด ทุกครั้งที่เห็นแผ่นหลังที่คล้ายกับนางก็มักจะนึกว่าเป็นนาง
ตอนนี้ยิ่งไร้สาระเข้าไปใหญ่ ถึงได้เห็นบุรุษคนหนึ่งเป็นนางไปเสียได้
“ไปเถอะ” เขาคลึงหว่างคิ้วและหมุนกายกลับมา เปลี่ยนมาอยู่ในท่าทางสง่างามอีกครั้ง
จนกระทั่งอีกฝ่ายเดินออกไป อวี้ชิงลั่วที่เดินโค้งตัวอยู่ด้านหน้าจึงถอนหายใจออกมาอย่างเนิบช้า
“ทำความผิดอะไรไว้หรือ?” จู่ ๆ เสียงของเย่ซิวตู๋ที่เดินนำอยู่ด้านหน้าก็ดังขึ้น ทั้งยังแฝงความเย้ยหยันเล็ก ๆ “ตอนนี้เจ้าเป็นบุรุษ แม้แต่หนานหนานก็ยังจำเจ้าไม่ได้ เจ้าคิดว่าเขาจะจำเจ้าได้หรือ?”
การย่างก้าวของอวี้ชิงลั่วชะงักไปเล็กน้อย ดวงตาพลันหรี่ลงจ้องมองไปยังเงาที่อยู่ตรงหน้า “เมื่อวานท่านส่งคนไปสะกดรอยตามข้าจริง ๆ สินะ”
ดังนั้นเรื่องที่นางและหลี่จื่อฟานเจอกัน เย่ซิวตู๋ย่อมต้องทราบ
“ไม่ได้เรียกว่าสะกดรอยตาม เรียกว่าคุ้มกัน”
“คุ้มกัน?” อวี้ชิงลั่วหัวเราะเยาะเย้ย “เช่นนั้นข้าก็คงต้องขอบคุณในความหวังดีของท่านจริง ๆ”
“ไม่ต้องเกรงใจ” เย่ซิวตู๋คล้อยตาม ยอมรับอย่างใจกว้าง
อวี้ชิงลั่วถึงกับขบฟันเพราะทนไม่ไหว นางเกลียดคนไร้ยางอายอย่างผู้ชายคนนี้ที่ทำให้นางโกรธเจียนตายจริง ๆ
ระหว่างที่พูดคุยกัน ทั้งคู่ก็เดินมาถึงข้าง ๆ ประตูวัง ทหารยามที่ยืนเฝ้าอยู่ข้าง ๆ ก้าวเท้าออกมาอย่างนอบน้อม “ท่านอ๋อง”
เย่ซิวตู๋พยักหน้า ยื่นมือแหวกม่านรถม้า ใครจะไปคิดว่าเพิ่งจะแหวกไปได้ครึ่งหนึ่ง จู่ ๆ ด้านในนั้นก็มีหน้าแป้นแล้นโผล่ออกมา ทั้งยังเข้าใกล้หน้าของเย่ซิวตู๋ด้วย
เย่ซิวตู๋ไม่ได้รู้สึกเหนือความคาดหมายแม้แต่น้อย ยื่นมือผลักออกไป “ไปนั่งข้าง ๆ”
“พี่ห้า ท่านนี่ไม่เข้าใจอะไรเลย อย่างน้อย ๆ ก็น่าจะแกล้งทำเป็นตกใจสิถึงจะดูสมเหตุสมผล” เย่ฮ่าวหรานถอยหลังออกไปนั่งด้วยความไม่พอใจ ทั้งยังถอนหายใจขณะพิงเข้ากับหมอน สีหน้าแสดงถึงความโกรธเคืองและน้อยเนื้อต่ำใจ
เย่ซิวตู๋เหลือบมองเขาอย่างดูหมิ่นปราดหนึ่ง ก่อนจะดึงหมอพิงที่อีกฝ่ายพิงไว้ด้านหลังออกมา “หมอนใบนี้ไม่ได้มีไว้ให้เจ้าพิง”
“นี่ พี่ห้า…” เย่ฮ่าวหรานเกือบจะล้มหน้าคะมำ ภายในใจยิ่งไม่พอใจ จึงทุ่มตัวเข้าใส่เย่ซิวตู๋อย่างดุเดือดในทันที
ในเวลานี้ม่านของรถม้าก็ถูกแหวกออกอีกครั้ง อวี้ชิงลั่วมองคนสองคนที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงด้วยความประหลาดใจ มุมปากกระตุกวูบ ถอยหลังออกไปเงียบ ๆ “ขอโทษด้วยที่รบกวนพวกท่าน พวกท่านเชิญต่อเถอะ…อันที่จริงข้าไม่เลือกปฏิบัติกับความรู้สึกต้องห้ามหรอก อืม ต่อเลย”
ครั้นกล่าวจบ ม่านก็ถูกปิดลง
เย่ซิวตู๋ใบหน้าแข็งทื่อ ใช้มือดึงสลักประตูด้านหลังของรถม้า ก่อนจะยื่นเท้าเตะเย่ฮ่าวหรานให้ออกไป
“โอ๊ย…” เย่ฮ่าวหรานส่งเสียงร้องด้วยความตกใจพร้อมกับร่างที่กระเด็นออกไปด้านนอก ศีรษะของเขาเกือบจะกระแทกเข้ากับกำแพงวังที่อยู่ด้านหลัง เขารีบพลิกตัวพร้อมกับย่อขาทั้งสองข้างลงเล็กน้อย เป็นท่าลงจอดที่อลังการมาก
“ฟู่ อันตรายชะมัด เกือบหงายหลังขาชี้ฟ้าแล้ว” เย่ฮ่าวหรานไม่พอใจถึงขีดสุด หันกลับมาถลึงตามองผู้อารักขาที่กำลังมองเขาด้วยความขบขันแต่ก็พยายามกลั้นขำไว้ แค่นเสียงด้วยความโกรธ “ยืนให้ดี เป็นถึงทหารรักษาพระองค์ก็ต้องแสดงสีหน้าเรียบเฉยและจริงจัง เข้าใจหรือไม่?”
ครั้นตำหนิจบ เขาก็หันกลับมาอีกครั้ง ทว่าเย่ซิวตู๋กลับไม่สนใจเขาและสั่งให้คนขี่ม้าออกจากวังไปแล้ว
“พี่ห้า นี่ พี่ห้า ท่านยังมีมนุษยธรรมอยู่หรือไม่” เย่ฮ่าวหรานโกรธจนกระทืบเท้าตึงตัง วิ่งตามหลังรถม้าคันนั้นไปสามสี่ก้าว ก่อนจะกระโดดพุ่งเข้าใส่รถม้า แหวกผ่านม่านของรถม้าแรง ๆ ถลึงตามองพร้อมกับพูด “พี่ห้า พวกเราเป็นพี่น้องกันมาตั้งหลายปี เรื่องแบบนี้เหตุใดท่านถึงยังทำกันได้ลงคอ? ข้า…เอ๋ เจ้าเด็กรับใช้คนนี้ เหตุใดถึงได้เข้ามานั่งด้านใน? เห้ย ๆๆ นั่นมันหมอนอิงที่ข้าเพิ่งพิงเมื่อครู่นี่ พี่ห้า ท่านไม่ให้ข้าพิง แต่กลับให้เด็กรับใช้พิงเนี่ยนะ?”
เย่ซิวตู๋ไม่สนใจเขา ตั้งแต่อวี้ชิงลั่วเห็นเขาถูกเย่ซิวตู๋เตะออกไป นางก็รู้สึกดีอย่างน่าประหลาด ตอนนี้เมื่อเห็นอีกฝ่ายโกรธจนแทบแย่ขนาดนี้ นางก็ยิ่งอารมณ์ดีเข้าไปใหญ่
“เย่ฮ่าวหราน เจ้าพูดแบบนี้ก็ไม่ถูก หมอนอิงใบนี้เป็นของข้า นอกจากข้า ใครก็เอาไปพิงไม่ได้ทั้งนั้น”
“ของเจ้า เจ้าเป็นแค่เด็กรับใช้เหตุใดถึงมีหมอนอิงอยู่ในรถม้าของท่านอ๋อง? เดี๋ยวนะ เดี๋ยวก่อนนะ เมื่อครู่เจ้าเรียกข้าว่าอะไรนะ? เย่ฮ่าวหราน? ข้าเป็นถึงท่านอ๋อง เจ้ากลับไม่คารวะทักทายข้าอย่างนอบน้อม แต่ยังกล้าเรียกชื่อของข้าแบบห้วน ๆ อีก?” เป็นแค่เด็กรับใช้คนหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นเด็กรับใช้ของพี่ห้า แต่มาเรียกเขาแบบนี้ เป็นการกระทำที่ไม่ไว้หน้าเขาเกินไปแล้ว
นี่ต้องเป็นเพราะพี่ห้าสอนแน่ ๆ หากไม่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษของพี่ห้า เขาจะกล้าหาญชาญชัยถึงขั้นนี้ได้อย่างไร?
อวี้ชิงลั่วลูบใบหน้า หันมองเย่ซิวตู๋ด้วยความประหลาดใจ “หน้าของข้าแตกต่างจากหน้าเดิมของข้ามากขนาดนั้นจริง ๆ หรือ? มองไม่ออกจริง ๆ หรือ?”
“ก็ไม่ขนาดนั้นหรอก” เย่ซิวตู๋รินน้ำให้นางหนึ่งแก้ว ร่างกายเอนเอียงไปตามการเคลื่อนไหวของรถม้าเล็กน้อย “มีแค่คนที่มีสติปัญญาต่ำเท่านั้นแหละที่จะจำไม่ได้”
อวี้ชิงลั่วถึงกับหัวเราะ ‘พรืด’ เย่ซิวตู๋ใช้คำพูดของนางในวันนั้นพูดตอกหน้าเย่ฮ่าวหราน
เย่ฮ่าวหรานฟังบทสนทนาของพวกเขา ก็ถึงกับหันมองซ้ายขวาด้วยความสับสน ท้ายที่สุดจึงใช้สายตาดุดันพุ่งเป้าไปยังอวี้ชิงลั่ว หรี่ตามองอยู่ครู่หนึ่งจึงพึมพำกับตนเอง “แปลกชะมัด ดูเหมือนข้าจะไม่เคยเห็นเด็กรับใช้แบบเจ้าอยู่ข้างกายพี่ห้ามาก่อนเลย แต่ว่า พอได้เห็นเจ้ากลับรู้สึกคุ้นตามาก”
………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ชิงลั่วใจเย็น อย่าต่อเรือบาปสิ ไม่เอาๆ
ส่วนเสนาบดีฝั่งขวาก็กินแห้วต่อไปยาวๆ แสนดีแค่ไหนเธอก็ไม่เลือก
ไหหม่า(海馬)