อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 158 ยิ้มอย่างมีเลศนัย
ตอนที่ 158 ยิ้มอย่างมีเลศนัย
ร่างกายผอมแห้งของอวี้เป่าเอ๋อร์ซวนเซไปมาเล็กน้อย ใบหน้าของเขามีรอยฝ่ามือสีแดงผุดขึ้นมาอย่างรวดเร็ว แก้มที่ถูกตบค่อย ๆ ปูดบวมขึ้น
เฉินจีซินแค่นเสียงเย็น ใช้ผ้าเช็ดหน้าเช็ดมือ ก่อนจะโยนใส่หน้าอวี้เป่าเอ๋อร์ “หากยังไม่ยอมเชื่อฟัง เจ้าได้เห็นดีแน่”
“เจ้ามันแม่มดเฒ่า ข้าจะไปฟ้องท่านพ่อ เจ้าเผาของของพี่สาวข้า แม่มดเฒ่าไร้ยางอาย” อวี้เป่าเอ๋อร์รู้สึกเจ็บแก้ม เริ่มแสบบริเวณขอบตาในเวลาอันรวดเร็ว แต่ท้ายที่สุดก็อดกลั้นไว้ น้ำตาจึงไม่ได้ไหลออกมา
เฉินจีซินใช้หลังมือตบฉาดเข้าที่แก้มของเขาอีกครั้ง “ไปบอกพ่อของเจ้า? พ่อของเจ้าไม่แม้แต่จะไปเจอหน้าเจ้าด้วยซ้ำ เจ้าจะไปฟ้องเขาอย่างไร? เก่งจริงก็ไปบอกดูสิ ดูสิว่าพ่อของเจ้าจะเชื่อข้า หรือเชื่อเด็กที่ถูกหมอวินิจฉัยว่าเป็นบ้ากันแน่”
“นังหญิงเฒ่านี่…” จินหลิวหลีใช้นิ้วมือกำขอบหน้าตาจนแน่น ความโกรธปะทุขึ้นกลางอกอีกครั้ง นางรักและทะนุถนอมหนานหนานมาโดยตลอด แม้ว่าเด็กคนนั้นจะอายุห้าขวบแล้ว แต่เป็นเพราะความสัมพันธ์ของเขา จึงทำให้นางรู้สึกโปรดปรานเด็กมากเป็นพิเศษ
แต่เฉินจีซินผู้นี้ กลับลงไม้ลงมือกับเด็กอายุแค่สิบกว่าขวบอย่างเหี้ยมโหด เช่นนี้นางทนไม่ได้
จินหลิวหลีหลุดพรวด ทว่ายืนไปได้ครึ่งทาง จู่ ๆ ก็ถูกเย่ฮ่าวหรานกดลงไปอีกครั้ง
“เย่ฮ่าวหราน เจ้าทำอะไรของเจ้า? ไม่เห็นนางทำร้ายเด็กคนนั้นรึ?”
เย่ฮ่าวหรานถึงกับหมดคำพูด ยกมือขึ้นมาปิดปากนางและกระซิบข้างหู “เราออกไปตอนนี้ คงช่วยเด็กคนนั้นได้เพียงแค่ชั่วคราว หลังจากนี้สตรีผู้นั้นคงเปลี่ยนวิธีเพื่อรังแกเขา”
“แล้วจะให้ทำอย่างไร? เว้นเสียแต่จะฆ่าสตรีผู้นั้น” จินหลิวหลีไม่คุ้นชินกับการที่ถูกเขาเข้าใกล้เช่นนี้ นางจึงบิดตัวอยู่สองสามหน
เย่ฮ่าวหรานส่งเสียงอู้อี้ กดร่างของนางที่กำลังขยับตัว น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นแหบพร่า “อย่าขยับ หากยังขยับตัวอีกเจ้าได้เห็นดีแน่”
ระหว่างที่พูด เขาก็เริ่มพยายามควบคุมลมหายใจที่ยุ่งเหยิง สูดหายใจเข้าลึก ๆ เบี่ยงเบนความสนใจและมองออกไปด้านนอก
“ชู่ ดูข้านะ”
เย่ฮ่าวหรานกะพริบตามองจินหลิวหลีด้วยสายตาคลุมเครือ ดวงตาดอกท้อคู่นั้นจ้องมองมาจนทำให้จินหลิวหลีถึงกับใจเต้นตึกตัก นางรีบเบือนสายตา “เจ้า…เจ้าคิดจะทำอะไร?”
เย่ฮ่าวหรานไม่พูด เพียงแต่ก้มหน้าลง หยิบก้อนหินเล็ก ๆ สองสามก้อนที่อยู่บนพื้นโยนอยู่บนฝ่ามือ ก่อนจะเล็งและขว้างไปที่หัวเข่าของเฉินจีซิน
เฉินจีซินที่กำลังสั่งชิวหลานให้ขังอวี้เป่าเอ๋อร์ไว้ให้ดีก็พลันรู้สึกเจ็บแปลบที่บริเวณข้อพับเข่า คุกเข่าไปด้านหน้าโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เสียง ‘ตึก’ ดังขึ้น ร่างของนางคุกเข่าลงตรงหน้าอวี้เป่าเอ๋อร์ในทันที
อวี้ชิงโหรวที่กำลังนั่งมองเป็นผู้ชมอย่างสบาย ๆ อยู่ข้าง ๆ ถึงกับชะงัก รีบเดินมาข้าง ๆ นางและประคองขึ้นอย่างระมัดระวัง “ท่านแม่ ท่านเป็นอะไร? ท่านแม่…”
“ไม่…ไม่รู้สิ จู่ ๆ แม่ก็รู้สึกเหมือนมีอะไรกัดขา…โอ๊ย…” นางยังพูดไม่ทันจบประโยค บนใบหูก็รู้สึกเจ็บแปลบขึ้นอีกครั้ง นางถึงกับตกใจจนดวงตาเบิกกว้าง
อวี้เป่าเอ๋อร์กะพริบตาปริบ ๆ มองดูเฉินจีซินที่จู่ ๆ ก็สติหลุดลอยด้วยความมึนงง เจ็บปวดจนไม่แม้แต่จะรักษาหน้าตาตัวเองแล้ว
เย่ฮ่าวหรานแย้มยิ้ม ก่อนจะโยนหินก้อนเล็ก ๆ ใส่หลังของเฉินจีซินอีกครั้ง จากนั้นจึงชะโงกหน้ากระซิบข้างหูจินหลิวหลี เอ่ยปากพูดด้วยใบหน้าแป้นแล้น “มา ลองเล่นเป็นผีกันเถอะ”
ดวงตาของจินหลิวหลีเป็นประกายทันใด นางเข้าใจได้ในทันที จึงใช้ปลายนิ้วบีบคอ พยายามกดน้ำเสียงให้ทุ้มต่ำ เพื่อให้น้ำเสียงเปลี่ยนเป็นเย็นชาเรียบเฉยเหมือนกับอวี้ชิงลั่ว พูดว่า “เจ้ากล้าเผาของของข้า…เจ้ากล้าตบหน้าน้องชายของข้า…ข้าตายไปแล้ว เจ้ายังไม่คิดจะปล่อยข้า…นังหญิงอสรพิษผู้นี้…ข้าตายอย่างไม่เป็นธรรม ตายอย่างไม่เต็มใจ…”
“กรี๊ดดดด…” เฉินจีซินเบิกตากว้างด้วยความหวาดกลัว ร่างกายของนางถึงกับผงะถอยไปด้านหลัง เป็นเพราะความตกใจจึงทำให้ร่างกายสั่นระริกไปทั้งตัว “อวี้…อวี้ชิงลั่ว? อวี้ชิงลั่วรึ?”
“เจ้าทำร้ายลูกของข้า…หากไม่ใช่เพราะเจ้า…ข้าและลูกของข้าก็คงมีชีวิตต่อไปได้…ข้าไม่ปล่อยเจ้าไว้แน่…เจ้าจงเอาชีวิตข้าคืนมา เอาชีวิตของข้าคืนมา” จินหลิวหลีเริ่มติดใจ โดยเฉพาะตอนที่ได้เห็นสองแม่ลูกคู่นั้นมีใบหน้าขาวซีด ดูไม่จืดเอาเสียเลย
เย่ฮ่าวหรานที่มองอยู่ข้าง ๆ ถึงกับกลืนน้ำลาย คิดไม่ถึงเลยว่าห้าปีที่ไม่ได้เจอกัน นางจะงดงามขึ้น มีเสน่ห์มากขึ้น จนสะกดใจเขาไว้ได้เพียงสบตาครั้งหนึ่ง ยิ่งทำให้เขารู้สึก…อยากจะหลอมร่างเป็นหนึ่งเดียวกับนางแทบทนไม่ไหว
อวี้ชิงโหรวผู้ค่อนข้างสงบนิ่งในตอนนี้ก็ถึงกับตัวสั่นอย่างห้ามไม่อยู่เช่นกัน “ท่านแม่…ท่านแม่…เป็น…เป็นอวี้ชิงลั่ว…”
“กรี๊ด…อย่า…อย่าเข้ามานะ…อย่ามายุ่งกับข้า กรี๊ด…” เฉินจีซินรู้สึกผิดอยู่ในใจ เมื่อครู่บนร่างกายพลันเกิดความรู้สึกเจ็บปวดที่มิอาจบรรยายได้ พร้อมกับเสียงของอวี้ชิงลั่วที่ติดตรึงอยู่ในหูขณะเผาสิ่งของของนางจนไหม้เกรียมไปครึ่งหนึ่ง กอปรกับคำพูดเหล่านั้นเมื่อครู่ จึงไม่มีเหตุผลอะไรที่นางจะไม่หวาดกลัว
นางถึงกับลุกขึ้นยืนด้วยความตื่นตระหนก ลากอวี้ชิงโหรวให้ออกห่างจากเรือนหลังเล็กแห่งนี้ และวิ่งกลับเข้าห้องของตนเองด้วยท่าทางแตกตื่น
ชิวหลานอุ้มอวี้เป่าเอ๋อร์ด้วยเนื้อตัวสั่นเทา เมื่อเห็นฮูหยินและคุณหนูวิ่งหนีไป นางก็ออกจากเรือนหลังเล็กแห่งนี้ทันที และไม่กล้าแม้แต่จะเหยียบเข้ามา
อวี้เป่าเอ๋อร์ราวกับได้สติกลับมา รีบดิ้นให้หลุดออกจากอ้อมกอด “นี่ นี่มันพี่สาวของข้า พี่สาวของข้า เจ้าปล่อยข้าลง ข้าจะคุยกับพี่สาวของข้า”
ชิวหลานไม่ยอมฟังคำพูดของเขา แต่กลับอุ้มร่างผอม ๆ ของอีกฝ่ายจนแน่นและวิ่งหนีออกไปอย่างรวดเร็ว
จนกระทั่งทุกคนออกไปจากที่นี่ จินหลิวหลีจึงเดินยิ้มตาหยีออกมาจากด้านในห้องเก็บฟืน มองดูสิ่งของที่อยู่กลางลานขนาดเล็กเหล่านั้น ดวงตาพลันหรี่ลงเล็กน้อย
หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง นางจึงเดินไปหยิบของแต่ละชิ้นขึ้นมา
เย่ฮ่าวหรานยืนอยู่ด้านหลังนาง พูดด้วยสายตาอ่อนโยน “ผีเมื่อครู่นั้น เจ้าแกล้งทำได้แนบเนียนมาก”
มือของจินหลิวหลีที่กำลังหยิบของพลันชะงัก ร่างกายของนางถึงกับแข็งทื่อไปทั้งตัว ภายในเรือนแห่งนี้ไม่มีใครแล้ว พวกเขาไม่ได้เจอกันมาห้าปีแล้ว แต่บุรุษผู้นี้…
บัดซบ นางยังไม่ได้เตรียมพร้อมเพื่อเผชิญหน้ากับอีกฝ่ายเลย
จินหลิวหลีสูดหายใจเข้าลึก ๆ หมุนกายกลับมาอย่างฉับพลัน ยัดของที่อยู่ในมือใส่อ้อมอกของอีกฝ่าย “นำของพวกนี้ไปให้อวี้ชิงลั่ว”
หลังจากกล่าวจบ เพียงแค่หนึ่งอึดใจ ร่างกายของนางก็ลอยสูงขึ้น พลิ้วกายข้ามผ่านหลังคาและออกจากลานด้านหลังของจวนอวี้อย่างรวดเร็ว
เย่ฮ่าวหรานชะงักไปครู่หนึ่ง หลังจากนั้นใบหน้าก็กลายเป็นอึมครึม สตรีผู้นี้ สตรีผู้นี้…
นางจะหนีไปอีกนานแค่ไหน ห้าปีแล้ว นางยังจะหนีไปไหนอีก?
เย่ฮ่าวหรานขบฟันแน่น แทบอยากจะจับตัวนางไว้แล้วตีให้หนัก ครั้นก้มมองของที่อยู่ในมือ จึงถอนหายใจอย่างจนปัญญา
ช่างเถอะ ถึงอย่างไรอวี้ชิงลั่วและนางก็รู้จักกัน ตอนนี้มีทิศทางแล้ว เขาไม่เชื่อหรอกว่าจะตามหาตัวนางไม่เจอ
ถึงอย่างไรสิ่งที่สำคัญตอนนี้ก็คือ ต้องกลับไปหาพี่ห้าก่อน
เรื่องของตระกูลอวี้ จำเป็นต้องนำกลับไปบอกพี่ห้าสักคำ
หลังจากเย่ฮ่าวหรานเก็บของเรียบร้อยแล้ว เขาก็กระโดดพลิกตัวขึ้นไปบนกำแพงและวิ่งกลับไปยังตำหนักอ๋องซิว
สิ่งที่ทำให้เย่ฮ่าวหรานคิดไม่ถึงก็คือ เขาเพิ่งจะเดินมาถึงประตูใหญ่ของตำหนักอ๋องซิว ก็พบกับโม่เสียน เผิงอิงและคนอื่น ๆ กำลังยืนรอเขาอยู่หน้าประตู ทั้งยังยิ้มอย่างมีเลศนัยเสียด้วย
…………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
หลอกให้นังสองแม่ลูกนั่นจับไข้หัวโกร๋นไปเลยค่ะ ร้ายนักนะ
ทำไม ทำไมเหล่าสมุนของอ๋องห้าต้องยิ้มแบบนั้นให้อ๋องแปดด้วยล่ะ
ไหหม่า(海馬)