อลวนรักหมอหญิงชิงลั่ว - ตอนที่ 170 หาเรื่อง
ตอนที่ 170 หาเรื่อง
“ข้ารู้แล้ว” อวี้ชิงลั่วเม้มปาก โม่เสียนผู้นี้เอ่ยปากออกมาได้…เหมาะเจาะกับเวลามากจริง ๆ
นางลุกขึ้นยืน ประคองเยว่ซินที่ยังเหม่อลอยไม่ได้สติให้ลุกขึ้น ก่อนจะเดินไปเปิดประตูห้อง จากนั้นจึงหันไปยิ้มที่ดูเหมือนไม่ยิ้มให้โม่เสียน อีกฝ่ายเบือนหน้าเพราะแอบรู้สึกผิด
เขาได้ยินไปแค่นิดหน่อยเอง นิดหน่อยจริง ๆ นะ เดิมทีไม่ได้คิดจะพูดแทรกหรอก เขาคิดว่าแม่นางอวี้ยังทำธุระอยู่ เช่นนั้นผ่านไปอีกครู่หนึ่งค่อยกลับมาใหม่อีกครั้ง ใครจะไปคิดว่านังเด็กคนนี้ยิ่งพูดก็ยิ่งเกินไป อะไรที่เรียกว่าเสนาบดีฝั่งขวาเป็นที่พึ่งพิง? ที่พึ่งพิงที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในตำหนักแห่งนี้ต่างหากล่ะ
พูดเป็นเล่น หรือว่าท่านอ๋องของพวกเขาสู้เสนาบดีฝั่งขวาคนหนึ่งไม่ได้?
“เยว่ซิน ไปเถอะ ไปหานายท่านของตำหนักนี้ที่โถงบุปผาก่อน” ในเมื่อหลังจากนี้นางตัดสินใจให้เด็กคนนี้อยู่ที่นี่เป็นการชั่วคราว อย่างน้อย ๆ ก็ต้องให้นายท่านของตำหนักนี้ทราบก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้หลังจากนี้นางไปชนกับใครโดยไม่ทันได้ระมัดระวัง
เยว่ซินเนื้อตัวสั่นเทา ถึงตอนนี้ในหัวของนางก็ยังครุ่นคิดเกี่ยวกับ ‘ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง ท่านอ๋อง’ วนเวียนไม่หยุดพัก เมื่อเห็นคุณหนูเดินไปด้านนอกแล้ว นางจึงรีบยกชายกระโปรงเดินตามไป ตอนที่เดินมาถึงข้างกายของโม่เสียน นางก็ได้ยินโม่เสียนแค่นเสียงเย็นดังขึ้นข้างหูอย่างชัดเจน
เยว่ซินตกใจจนตัวสั่น ขาทั้งสองข้างเกือบทรุดลงไปคุกเข่าลงบนพื้น
อวี้ชิงลั่วยกมือคลึงหว่างคิ้ว หันกลับมาถลึงตาใส่โม่เสียน “นางเป็นคนขี้ขลาด เจ้าอย่าได้ขู่ให้นางกลัว”
“ขอรับ” โม่เสียนถูจมูก ไม่ได้มองเยว่ซินอีก ทว่าภายในใจกลับยังสนใจเกี่ยวกับคำพูดที่นางพูดเมื่อครู่ เสนาบดีฝั่งขวา เหอะ ยังบอกว่ารักแม่นางอวี้มากเสียด้วย เหอะ ต่อให้รักมากกว่านี้ก็เปล่าประโยชน์ ท่านอ๋องของพวกเขาและแม่นางอวี้มีลูกด้วยกันแล้ว เสนาบดีฝั่งขวาจะสู้ได้หรือ?
ทั้งสามคนเดินเข้ามาด้านในโถงบุปผา โม่เสียนรีบเก็บสีหน้าโดยเร็ว เรียก ‘ท่านอ๋อง’ ด้วยความเคารพนอบน้อม ก่อนจะย้ายไปยืนด้านหลังเย่ซิวตู๋
อวี้ชิงลั่วนั่งลงบนเก้าอี้ที่อยู่ตรงกันข้ามเขาเย่ซิวตู๋ เมื่อเห็นอาหารที่นางชอบวางอยู่บนโต๊ะ มุมปากพลันยกขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่
ทันทีที่เยว่ซินเดินเข้ามาด้านใน นางก็รู้สึกได้ถึงพลังที่แข็งแกร่งกำลังกดดันจนทำให้นางไม่กล้าเงยหน้า นางทำแค่เพียงก้าวเท้าสั้น ๆ มายืนด้านหลังอวี้ชิงลั่ว ศีรษะก้มต่ำจนแทบจะจรดหน้าอกอยู่แล้ว
“นี่คือสาวใช้ที่เจ้าพากลับมาจากจวนอวี๋รึ?” เย่ซิวตู๋เหลือบมองนางปราดหนึ่ง ก่อนจะหันมองไปยังอวี้ชิงลั่ว
“ท่านเองก็รู้แจ้งแจ่มชัดแล้วมิใช่รึ? ส่งคนให้ตามเฝ้าสังเกตอยู่ด้านหลังข้าแบบนั้น ยังมีอะไรที่ท่านไม่รู้อีก?” อวี้ชิงลั่วแค่นเสียงเบา ๆ เคลื่อนมือไปหยิบตะเกียบขึ้นมา
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้วเล็กน้อย ลอบไม่พอใจกับคำคุณศัพท์ที่อยู่ในคำพูดของนาง “ข้าบอกไปแล้ว นั่นเรียกว่าคุ้มกัน”
ภายในใจของเยว่ซินเริ่มเต้นตุ้ม ๆ ต่อม ๆ คนนี้คือท่านอ๋องจริง ๆ หรือ? แต่…แต่คุณหนูกล้าพูดกับท่านอ๋องเช่นนี้ได้อย่างไรกัน? ไม่เพียงแค่ไม่มีท่าทีเคารพนอบน้อม แต่ยังกล้าขยับตะเกียบกินอาหารที่อยู่บนโต๊ะก่อนด้วย เรื่องนี้ช่างน่าระทึกขวัญเกินไปแล้ว
เยว่ซินรู้สึกเป็นกังวลแทนคุณหนูอย่างมาก กลัวว่านางสร้างความขุ่นเคืองให้ท่านอ๋อง ถึงเวลานั้นหากถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดจะทำเช่นไร?
“เยว่ซิน เจ้าตามโม่เสียนออกไปกินข้าวเถอะ ที่นี่ไม่ต้องให้เจ้าคอยดูแล” อวี้ชิงลั่วรู้สึกได้ว่านางกำลังตึงเครียดไปทั้งตัว จึงเป็นกังวลว่าหากนางยังอยู่ที่นี่ต่อไปอาจจะกระอักเลือดออกมาได้
เยว่ซินถึงกับชะงัก นางส่ายหน้าอย่างหนักแน่น “คุณ…คุณหนู เยว่ซินไม่หิวเจ้าค่ะ เยว่ซินจะอยู่ดูแลคุณหนูที่นี่”
ไม่ได้ ไปไม่ได้ หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมานางคงมาช่วยคุณหนูไม่ทัน ครั้งนี้ หากนางรู้สึกได้ถึงอันตรายเพียงเล็กน้อยที่คุณหนูอาจจะได้รับ นางก็จะไม่ออกห่างจากข้างกายของคุณหนู
โม่เสียนกลอกตามองบน แม่นางอวี้ฉลาดขนาดนี้ เหตุใดถึงได้เลือกสาวใช้ซื่อบื่อเช่นนี้?
เขาก้าวเท้าเดินมาด้านหน้า ผลักนางพลางกล่าวว่า “ไปเถอะ ในเมื่อแม่นางอวี้เป็นนายท่านของเจ้า นายท่านพูดอะไร เจ้าในฐานะคนรับใช้ก็แค่ทำตามก็พอ เหตุใดถึงได้พูดจาไร้สาระมากมายขนาดนั้น?”
“แต่…แต่ว่า…เช่นนี้ข้า…” เยว่ซินยังอยากพูดอะไรบางอย่าง แต่ตอนที่เงยหน้าสบตากับสายตาเย็นชาของเย่ซิวตู๋ ร่างกายถึงกับสั่นระริก และถูกโม่เสียนผลักจนเดินออกไป
จนกระทั่งเดินออกมาจากโถงบุปผา จึงได้สติกลับมาในทันที หมุนตัวเพื่อจะเข้าไปด้านในห้องอีกครั้ง
โม่เสียนเริ่มโกรธแล้ว จึงใช้มือดึงนางและลากออกไปทันที
อวี้ชิงลั่วเห็นก็อดหัวเราะออกมาไม่ได้ “นางเด็กคนนี้น่าสนใจมากใช่หรือไม่?”
“ไม่ค่อยฉลาดเท่าไรนัก” เย่ซิวตู๋พูดประเมิน “เจ้าให้นางมาอยู่ข้าง ๆ มีแต่จะสร้างปัญหาให้”
อวี้ชิงลั่วหันมามองเขา เลิกคิ้วกล่าวว่า “มีคำพูดกล่าวไว้ว่านกโง่บินก่อน เยว่ซินอาจจะเงอะงะไปหน่อย แต่นางมีความภักดีมาก”
“หากเจ้าต้องการคนดูแลที่มีความภักดีคอยอยู่ข้างกาย ข้าช่วยเลือกคนที่ฉลาดกว่านี้ให้เจ้าได้”
“ช่างเถอะ คนที่ท่านเลือก ต่อให้ภักดีก็ภักดีต่อท่าน เกี่ยวกับข้าตรงไหนกัน?”
เย่ซิวตู๋ขมวดคิ้ว รู้สึกไม่มีความสุขเท่าไรนัก เกิดความคิดอยากพูดว่าในเมื่อมอบให้นาง หลังจากนี้ก็ต้องภักดีต่อนาง จะจัดการอย่างไรก็เป็นสิทธิ์ของนาง แต่เมื่อครุ่นคิดดูแล้วท้ายที่สุดก็ละทิ้งความคิดนั้นไป
สตรีผู้นี้มีความระมัดระวังตัวต่อเขา เกรงว่าหากเขาพูดเช่นนี้ นางก็คงไม่ต้องการอยู่ดี
ทว่าเยว่ซินผู้นั้นขาดสติปัญญาจริง ๆ สมองของนางก็ช้าด้วย หากให้ติดตามอยู่ข้างกายอวี้ชิงลั่ว เกรงว่าจะกลายเป็นตัวถ่วงของนาง
ดูเหมือนว่า เขาคงต้องให้แม่นมเริ่นอบรมสั่งสอนนางให้ดี ๆ แล้ว
อวี้ชิงลั่วไม่รู้ว่าเขากำลังคิดสิ่งใดในหัว จนถึงตอนนี้นางก็ยังเกิดความสงสัยอยู่ภายในใจ บุรุษผู้นี้ไม่อนุญาตให้นางไปเจอกับอวี๋จั้วหลินสองต่อสองมิใช่หรือ? วันนี้นางเข้าไปในจวนอวี๋ ทั้งยังอยู่ที่นั่นจนเกือบครึ่งบ่าย ในเมื่อเขารู้เรื่องนี้แล้ว จนถึงตอนนี้เหตุใดเขาถึงไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้?
“เย่ซิวตู๋ วันนี้ท่านเข้าวังมาหรือ?” เมื่อคิด ๆ ดูแล้ว อวี้ชิงลั่วก็อดไม่ได้ที่จะหาคำถามเพื่อถามเขา คนเรานี่นะ อีกฝ่ายไม่มาสร้างปัญหาให้ แต่ตนเองกลับไปยั่วให้เกิดปัญหาเสียเอง
อวี้ชิงลั่วเริ่มดูหมิ่นตัวเองอยู่ภายในใจ เริ่มรู้สึกผิดที่พูดไปแบบนั้น
เพียงแต่ เย่ซิวตู๋กลับมีความสุขมาก สตรีผู้นี้รู้จักเป็นห่วงเขาก่อนแล้วหรือ? นี่ถือเป็นสัญญาณที่ดี ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้ไม่แยแสเขาแล้ว
“อืม ข้าเข้าวังมา ในวังยังสงบดี ไม่มีเรื่องใหญ่เกิดขึ้น หนานหนานก็อยู่ในเรือนของเย่หลานเฉิงอย่างชาญฉลาด”
ระหว่างที่เขากำลังพูด ก็คีบเนื้อปลาเนื้อนุ่มและสดหนึ่งชิ้นวางลงในถ้วยของอวี้ชิงลั่ว
อวี้ชิงลั่วรู้สึกไม่ดีแล้ว นี่เขาคิดจะทำอะไร? นั่งคุยอยู่ดี ๆ กลับคีบอาหารให้นาง เขาไม่รู้หรือว่าพฤติกรรมเช่นนี้มันน่าสยอง? เขาเป็นถึงท่านอ๋องเชียวนะ
“เสิ่นอิงได้รับการรักษาแล้ว ไม่ได้มีปัญหาใหญ่อะไร” เย่ซิวตู๋มองนางปราดหนึ่ง “ไม่กินหรือ?”
อวี้ชิงลั่วมองเนื้อปลาชิ้นนั้นราวกับมีความแค้นกับเขา นางกลืนน้ำลายท้ายที่สุดก็วางตะเกียบในมือลง ยิ้มเจื่อน “ข้าอิ่มแล้ว”
“อิ่มแล้ว?” เย่ซิวตู๋หรี่ตาลงเล็กน้อย วางตะเกียบลงบนโต๊ะเช่นเดียวกัน มุมปากกระตุกยิ้มเล็กน้อยกล่าวว่า “ในเมื่อกินอิ่มแล้ว เช่นนั้นพวกเราก็ควรจะคุยเรื่องที่เจ้าไปจวนอวี๋ในวันนี้ได้แล้ว”
รอยยิ้มมุมปากของอวี้ชิงลั่วแข็งทื่อ เป็นอย่างที่คิดไว้…เป็นอย่างที่คิดไว้จริง ๆ…รอนางอยู่แล้วจริง ๆ ด้วยสินะ
………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ชิงลั่วตามอารมณ์ท่านอ๋องไม่ทันแล้วนะ เดี๋ยวดีเดี๋ยวบ้า น้ำส้มคลุ้งทั้งตำหนักแล้วมั้งพ่อ
ไหหม่า(海馬)